เราไปสนทนาธรรมกับ “วัน” ครั้งที่สาม เส้นผมของเธอได้ร่วงหมดแล้ว เธอใช้ผ้าโพกศีรษะเอาไว้ตลอดเวลาที่สนทนากัน การพบกันครั้งนี้ก็เช่นเดิม “วัน”ยังคงมีสีหน้าและแววตาที่แจ่มใส แม้ร่างกายจะมีร่องรอยของความเจ็บปวดจากมะเร็งอยู่บ้าง เธอรู้สึกดีใจกับการมาเยือนของเราเป็นอย่างมาก เพราะมีเรื่องการปฏิบัติธรรมของเธอที่อยากจะเล่าให้เราฟัง เธอบอกกับเราว่าเธอรู้(แจ้ง)แล้วว่า “การอยู่กับปัจจุบัน” หมายถึงอะไร? มีความสำคัญเพียงใด? ผมกับอาจารย์กมลวัลย์มีความรู้สึกดีมากที่เห็นความกระตือรือร้นของ “วัน”
“ตั้งแต่ย้ายไปรับตำแหน่งใหม่ที่กำแพงเพชร หนูรู้สึกเครียดมาก มีความกังวลมาก เพราะมี ๑๐ กว่าโครงการที่ต้องรับผิดชอบดำเนินการให้แล้วเสร็จ” เธอเล่า “รู้สึกแบกทุกข์เอาไว้ตลอดเวลา....เพราะเกรงว่าจะเสร็จไม่ทันกำหนด... มีอยู่วันหนึ่งเป็นเวลากลางวัน หนูถือถาดอาหารเดินขึ้นบันได จิตมัวแต่ไปคิดเรื่องโครงการต่างๆ จนเดินสะดุดเกือบตกบันได” “แต่ในชั่วเวลาที่เกิดสะดุดนั้นเอง... จิตก็รู้ขึ้นมาว่า...เกือบแล้วไหมล่ะ....เพราะสติไม่อยู่กับการเดินขึ้นบันไดซึ่งเป็นปัจจุบัน กลับไปอยู่กับความคิดเรื่องโครงการที่ยังมาไม่ถึง...ยังไม่ได้ลงมือทำด้วยซ้ำ...ก็เป็นทุกข์ซะแล้ว” “ฉับพลัน...จิตก็คลายจากความกังวล...กลายเป็นปลอดโปร่งโล่งสบายขึ้นมาแทนที่อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน” “ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา หนูไม่มีความทุกข์กังวลใจเรื่องงานอีกต่อไปแล้ว เพราะหนูพยายามอยู่กับปัจจุบัน” ผมกับอาจารย์กมลวัลย์รับฟังเรื่องราวที่ “วัน” เล่าให้เราฟังอย่างมีความสุข และชื่นชมกับการ “รู้แจ้ง” ในคำว่า “อยู่กับปัจจุบัน” ของเธอ
ปัจจุบัน “วัน” ได้จากพวกเราไปแล้วอย่างสงบ เหลือไว้แต่ความทรงจำที่ดีงามให้เราระลึกถึง
“วัน” มิเพียง “เห็นโลงศพ” แล้ว “มิหลั่งน้ำตา” แต่ “ลมหายใจสุดท้ายของเธอ” หมดลงในขณะที่ใบหน้าของเธอยังฉาบด้วย “รอยยิ้ม”ขอร่วมไว้อาลัยกับการจากไปของ"วัน"ครับ
สวัสดีค่ะอ.ศิริศักดิ์
อ่านที่อาจารย์เล่าแล้วทำให้นึกย้อนถึงคุณวันจริงๆ ตลอดเวลาที่เราไปหาเขาที่บ้าน ดิฉันไม่เคยรู้สึกเลยว่าเขาเป็นคนป่วย เวลาคุยด้วยจะรู้สึกสบายใจโดยตลอด ก็เลยสามารถสนทนาแลกเปลี่ยนธรรมะกันได้ดีมากๆ
ดิฉันนับถือเธอมากๆ เลยค่ะ ที่สามารถใช้ชีวิตในช่วงสุดท้าย ทั้งๆ ที่รู้ว่าโอกาสมีน้อย ได้อย่างคุ้มค่าจริงๆ เพราะได้รู้และเข้าใจถึงปัจจุบันธรรม จากการที่ได้พบกัน ดิฉันไม่พบว่าเธอเกิดเวทนาอารมณ์ของคนที่รู้ตัวว่าจะต้องตายแต่อย่างใดเลย เราไปคุยด้วยก็รู้สึกเหมือนพูดคุยกับเพื่อนฝูงเรื่องการเจริญสติ และการปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน
ทุกวันนี้ดิฉันมีภาพความทรงจำที่ดีๆ ของวันอยู่ในใจ ไม่รู้สึกเลยว่าเธอได้จากไปแล้วค่ะ..เพียงแค่อยู่กันคนละที่เท่านั้นเอง..
สวัสดีครับอาจารย์กมลวัลย์
ผมก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกับอาจารย์ครับ รู้สึกเหมือนว่า "วัน" กำลังดูพวกเราที่กำลังเดินสู่ "จุดหมายปลายทาง" อยู่อย่างเอาใจช่วย
"สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดีเสมอ"
พลังจิตสามารถรักษาโรคมะเร็งได้ โดยใช้พลังจิตกำจัดเชื้อโรค
สวัสดีครับคุณ
man in flame |
สำหรับผู้เดินทางสายกลางแล้ว ย่อมตระหนักว่า "เกิดก็ดีนะ" "ไม่เกิดก็ดีนะ" ขอบคุณที่เข้ามา ลปรร
ธรรมะสวัสดีครับ
- ดีใจครับที่จะมีคนมาฝากตัวเป็นศิษย์ แต่คงรับไม่ได้เพราะผมเองก็ยังเดินไม่สุดปลายทาง
- เป็นเพื่อนร่วมทางกันดีกว่าครับ เหมือนอาจารย์กมลวัลย์ ได้ประสบการณ์อะไรใหม่ๆแปลกๆก็เอามาแลกเปลี่ยนกัน
- ผมเริ่มปฏิบัติเนื่องจากตอนที่จบ ป.เอก กลับมาใหม่ๆ มาอ่านหนังสือ "ความมหัศจรรย์ของจิต" ของ อ.บุญมี ปรากฏว่าเข้าใจ รู้สึกซาบซึ้งมาก ทั้งๆที่หนังสือเล่มนี้ซื้อไว้และอ่านตั้งแต่สมัยที่เรียน ป.ตรี แต่ไม่เข้าใจอะไรมากนัก จิตก็เลยรู้สึก "แปล๊บ" ขึ้นมาว่า "โอ้โห ธรรมของพระพุทธเจ้าต้องอาศัยความรู้ระดับ ป.เอก จึงจะอ่านรู้เรื่องหรือนี่"
- การปฏิบัติของผมเริ่มต้นโดยมี"นักการภารโรง"ซึ่งเคยบวชเรียนมา ๕ พรรษาเป็นอาจารย์อาจารย์สอนให้นั่งสมาธิ โดยภาวนาพุทโธ แล้วให้เห็น"ความว่าง"ก่อน หลังจากนั้นให้จับ"ตัวรู้"ที่รู้ว่าว่าง ผมทำอยู่หลายสัปดาห์จึงสามารถทำได้ ต่อจากนั้นก็หาหนังสืออ่านเอง เพราะอาจารย์สอนได้แค่นั้น
- ก็อ่านทุกตำรา ทุกวิธีได้ลองมาหมด ทั้งพุทโธ ยุบหนอ...พองหนอ สัมมา...อรหัง มโนมยิทธิ การดูจิตของหลวงปู่ดูลย์ การสร้างจังหวะแบบหลวงพ่อเทียน สุดท้ายพบว่าการประยุกต์วิธีของหลวงปู่ดูลย์กับวิธีของหลวงพ่อเทียนเป็นการทำ"มหาสติปัฏฐาน ๔"ที่ให้ผลก้าวหน้าที่สุด(สำหรับผมนะครับ) ส่วนการนั่งสมาธิเพื่อพักจิตจะใช้การภาวนาพุทโธหรือไม่ก็อาณาปาณสติ แล้วแต่จิตจะพาไป
- ผมว่าคุณธรรมาวุธมาถูกทางแล้วครับ แนวทางปฏิบัติธรรมที่เหมาะสำหรับเรานั้นจะทำให้เรารู้สึกสนุก ไม่อึดอัด ไม่เบื่อ จะเห็นความก้าวหน้าของตนเองคือ เห็นการเกิดดับของอารมณ์ชัดเจนมาก
- ในโลกนี้ไม่มีปาฏิหารย์หรอกครับ ไม่มีเหตุบังเอิญด้วย สิ่งเหล่านี้พอถึงเวลาจะรับรู้ได้เอง
- ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปนะครับ
- ขอบคุณนะครับที่เข้ามา ลปรร
- ไม่ทราบเป็นอะไรกับอาจารย์จํวง(อ.ไมตรี จํวงพานิช)ครับ ผมไปใช้ทุนที่ คณะวิศวฯ มข. อยู่ ๘ ปีจึงขอย้ายเข้า กทม. เลยรู้จักกับ อ.จ๋วง
- คุณวันเธอไปดีแล้วจริงๆครับ เพราะเธอก็ไม่อยากกลับมาเกิดอีก
- ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งถ้ารู้ตัวแต่เนิ่นๆ มีเวลา"ทำใจ" ก็จะทำใจได้ แต่ถ้ารู้ปุบปับว่าเป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย ไม่มีเวลาพอที่จะทำใจ ก็แย่หน่อย คงจะไปดียากครับ
- การ"ทำใจ"เป็นการยอมรับสภาพตามความเป็นจริงครับ ต่างจาก"ความเข้าใจหรือรู้แจ้ง"สภาพความเป็นจริง นักปฏิบัติจะรู้แจ้งสภาพความเป็นจริง ทำให้ไม่มีทุกข์