วันสุดท้ายของการอบรม KM ธรรมชาติ เราตื่นนอนกันแต่เช้า เตรียมรับความสนุกสนานและประสบการณ์ใหม่ๆอย่างเต็มที่ อาหารเช้าวันนี้เป็นก๋วยจั๊บแสนอร่อยซึ่งต้องยกนิ้วโป้งแถมนิ้วก้อยให้กับแม่ครัวที่โชว์เสน่ห์ปลายจวักชนะใจคนฝากท้องเรื่อยมา หลังจากที่ทุกคนต่างอิ่มหนำสำราญกันเรียบร้อยแล้วความตื่นเต้นก็เริ่มขึ้นกับการฝึกO&Mในสวนป่าภายในมหาชีวาลัย เริ่มต้นจากครูเปี๊ยกมาแนะนำวิธีการนำทางคนตาบอดที่ถูกต้อง ตลอดจนการใช้ไม้เท้าขาว ต่อจากนั้นก็จะให้ทุกคนได้สำรวจเส้นทางและสิ่งแวดล้อมรอบตัว ว่ามีจุดสังเกตอะไรบ้างที่น่าจดจำเพื่อเป็นประโยชน์ในการเดินเวลาที่เราจะต้องแสดงบทบาทสมมุติเป็นคนตาบอด
จุดหมายปลายทางที่เราจะต้องไปคือคอกวัวและคอกนกกระจอกเทศ โดยมีกติกาว่า เมื่อเราไปถึงคอกวัวแล้วก็จะต้องหยิบฟาง 1 เส้นติดไม้ติดมือมาด้วย และเมื่อเราเดินไปถึงคอกนกกระจอกเทศแล้วก็ต้องเด็ดใบจามจุรีติดมือมาด้วยเช่นกัน
มด ทิพ และคุณจักรเองก็ได้ร่วมฝึกO&M กับเพื่อนๆอาสาสมัครเพื่อนช่วยเรียนด้วยเช่นกัน เพราะถึงแม้ว่าเราจะมองเห็นเลือนรางอยู่บ้าง แต่ ก็ไม่เสียหายอะไรที่เราจะเรียนรู้โลกมืดอีกโลกหนึ่งของเพื่อนนิสิตพิการร่วมสถาบันอย่างพี่เล็กกับพี่นะ และถ้าหากสักวันหนึ่งเราจะต้องมาใช้ชีวิตอยู่ในโลกมืดบ้าง เราจะได้รู้สึกมีความสุขกับชีวิตดังเช่นชีวิตในโลกใบเล็กที่เลือนรางใบนี้แม้การฝึกO&M ในครั้งนี้จะเป็นการฝึกครั้งที่ 2 ของอาสาสมัครเพื่อนช่วยเรียนแล้ว แต่ความสนุกสนาน ตื่นเต้น และท้าทายก็ยังไม่จบเพียงแค่ที่พิพิธภัณฑ์ มหาวิทยาลัย แต่มันได้มาเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งที่นี่ หลายคนยังคงเดินหลงทางไปไหนไม่ถูกเหมือนเดิม บางคนก็ถูกเพื่อนแกล้งให้เดินออกนอกเส้นทาง กว่าจะใช้ไม้เท้าขาวเดินไปยังจุดหมายก็ด้วยความชุนละมุนและทุลักทุเลไม่น้อย เลยทีเดียว แต่ก็ใช่ว่าความสนุกจะจบลงเพียงเท่านั้น เพราะหลังจากที่เรากลับมานั่งพักกันจนหายเหนื่อย ก็ได้เวลาอาหารกลางวันที่ทุกคนรอคอย แต่ทว่าอาหารมื้อนี้จะ พิเศษกว่ามื้ออื่นๆ เพราะเราทุกคนจะได้กินข้าวในโลกมืดเป็นเพื่อนพี่เล็กกับพี่นะ ที่เสียเปรียบคู่ต่อสู้ในเรื่องความเร็วในการทำลายล้างมาหลายวันแล้ว วันนี้จะเป็นวันที่พี่ๆทั้งสองคนจะเป็นฝ่ายได้เปรียบบ้าง
อาหารมื้อนี้มีผัดกระเพรา แกงเห็ดใส่ไก่ ผัดผักบุ้งและของหวานเป็นต้มถั่วเขียว เป็นอุปสรรคแก่การกินของใครหลายคน จะเห็นได้จากเพื่อนหลายคนจะกินข้าวได้น้อยกว่ามื้ออื่นๆที่แล้วมา เพราะการมองไม่เห็น อาหารที่อยู่ตรงหน้านั่นเอง
ทิพบอกว่า “ การปิดตากินข้าว เป็นความรู้สึกที่ดี เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศไปอีกแบบหนึ่ง บางทีมีการ
ประสานงาของช้อนส้อม ทำให้อนุภาพในการทำลายลดความเร็วลง”
แต่สำหรับมดแล้ว จะปิดตากินข้าวหรือไม่ปิดตา ความเร็วในการทำลายล้างก็ไม่มีทางตกลงไปได้ แต่ก็รู้สึกแปลกดีที่ได้กินข้าวในบรรยากาศที่แปลกใหม่”
ช่วงบ่าย ก็มีกิจกรรมกันต่อ คือการปลูกต้นไม้ เรียกได้ว่าเป็นการปลูกต้นรักเลยก็อาจจะว่าได้ เพราะเราได้สร้างความรักความผูกพันให้ก่อตัวขึ้นที่นี่ และมันก็จะมีความแน่นแฟ้นขึ้นเรื่อยๆไปพร้อมกับการเติบโตของต้นไม้
น่าเสียดายที่ มด ทิพ พี่นะ และคุณจักรไม่ได้ไปร่วมกิจกรรมด้วย เพราะพอเพื่อนๆไปขุดต้นไม้กัน เราก็ยืนให้กำลังใจอยู่ห่างๆ พอเพื่อนขึ้นรถไปปลูกต้นไม้เราจึงไม่รู้ว่าเพื่อนๆไปกันตั้งแต่เมื่อไหร่ และไปที่ไหนกัน เรานั่งคุยกันไปเรื่อยๆซักพักก็มีครูเปี๊ยกกับใครก็ไม่รู้เราก็จำสียงไม่ได้มาคุยด้วย จนกระทั่งเรารู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างรอบตัวแปลกไป นั่นคือมีแมลงตัวเล็กๆ เสียงเหมือนแมลงวันมาตอมเรา จนเราคิดว่าเป็นแมลงวัน
“ทำไมแมลงวันแถวนี้เยอะจัง” มดพูด
“นั่นสิ” ทิพเห็นด้วย
“มันไม่ใช่แมลงวันเด๊ะ มันเป็นมิ้ม ระวังมันตอดโบกตาเอาเด๊ะ”ครูเปี๊ยกบอก เราจึงเดินเลี่ยงออกมาจากที่นั่น โดยพยายามที่จะไม่เอามือปัดไปโดนเจ้าตัวมิ้ม เราเดินเลี่ยงเจ้าตัวมิ้มเข้ามาในบ้าน ไม่นานเพื่อนๆก็กลับมา
ความอบอุ่นแฝงไปด้วยความประทับใจก่อนการร่ำลา เริ่มขึ้น เพลงฝันมีชีวิต ที่เพื่อนๆอาสาสมัครเพื่อนช่วยเรียนร่วมกันขับขานทำให้คนฟังอดที่จะขนลุกไม่ได้ เพราะมันเป็นเพลงที่ร่วมกันร้องออกมาด้วยใจ เป็นพลังแห่งความสามัคคีที่ยิ่งใหญ่จริงๆ
วันนี้ เรานิสิตพิการทุกคนได้หอบความประทับใจกลับบ้านกันเต็มกระเป๋าหัวใจ และเราทุกคนก็ต่างหวังว่าจะได้กลับมาเยือนที่มหาชีวาลัยแห่งนี้อีกครั้ง…ขออนุญาต ย้ายมารวมกันเพื่อเป็นหมวดหมู่ค่ะ
เมื่อ พ. 16 พฤษภาคม 2550 @ 12:26 จาก 202.28.35.2 ลบ [261912]