เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เทศบาลนครพิษณุโลกและเครือข่ายประชาชนต่าง ๆ ในชุมชนเขตเมืองพิษณุโลก ได้เข้าร่วมในเวลาการแสดงความคิดเห็นในการร่างรัฐธรรมนูญ ในช่วงโค้งสุดท้ายก็ว่าได้ ในเวทีดังกล่าว มีการพูดถึงการสนับสนุนและเสนอแนวทางแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ ในหลาย ๆ ประเด็น แต่มีประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจซึ่งมีการถกเถียงกันอย่างมากซึ่งจะเห็นได้จากสื่อต่าง ๆ ที่มักจะกล่าวถึงประเด็นนี้อยู่เสมอ นั่นคือ การบรรจุศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติไทย ในที่ประชุมในวันนั้น มีผู้อภิปายหลากหลายคน อาทิเช่นอาจารย์จาก โรงเรียนสังกัดเทศบาล ผู้แทนชุมชน และ อดีต กกต.ท่านหนึ่งของจังหวัดพิษณุโลก บ้างก็เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการบรรจุพุทธศาสนาเข้าในรัฐธรรมนูญ ซึ่งความคิดเห็นของท่านเหล่านั้นชี้เหตุอันน่าภูมิใจได้หลายอย่างนั้นคือ
หนึ่ง การที่ให้โอกาสให้ประชาชนได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็น(ส่วนตัว) เป็นการแสดงถึง โลกทัศน์ในมุมมองของคนไทยรุ่นใหม่ซึ่งน่าภูมิใจว่า คนไทยในยุคนี้กล้าคิด กล้าแสดงออก และกล้าแสดงความคิดเห็น
สอง เป็นการแสดงถึง การให้โอกาสและการเสนอโอกาสแก่ผู้ที่แสดงความคิดเห็น ไม่แสดงอาการโต้แย้งและไม่แสดงอาการคัดค้านทุกคนที่เวทีดังกล่าว ให้เกียรติแก่คนที่แสดงความคิดเห็น ปรบมือแก่ความคิดที่เป็นอิสระของทุกท่านและแสดงความคิดเห็นส่วนตัวก็ต่อเมื่อ การขอสนับสนุนประเด็นโดยการยกมือเพื่อเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยเท่านั้น
และในส่วนของ ดิฉันเอง ดิฉันได้ยกมือเพื่อขอแสดงความเห็นในเรื่อง การบรรจุศาสนาพุทธเข้าเป็นศาสนาประจำชาติไทย ความว่า"ดิฉันคิดว่า การบรรจุศาสนาพุทธเข้าเป็นศาสนาประจำชาติไทยนั้น สาระสำคัญ ดิฉันคิดว่า คงไม่ใช่ว่าจะบรรจุหรือไม่บรรจุ แต่น่าจะอยู่ที่ บรรจุแล้วจะได้อะไร หรือ ถ้าไม่บรรจุแล้วได้อะไร หากบรรจุศาสนาดังกล่าวแล้ว รัฐบาลจะมีแนวนโยบายในการดูและ ทำนุบำรุงเช่นไร และหากไม่บรรจุศาสนาพุทธ รัฐบาลจะมีแนวนโยบายดูแลอย่างไร อีกทั้งการดูแลศาสนาอื่น ๆ ที่อยู่ในประเทศไทยด้วย "
ในความคิดเห็นส่วนตัวของ ดิฉัน การบรรจุหรือไม่บรรจุ ไม่น่าจะมีส่วนสำคัญมากนัก แต่เนื่องจากมีเหตุการณ์ในภาคใต้ซึ่งเป็นเหมือนไฟไหม้ลามไปเรื่อย ๆ จนยากจะดับจนถึงขนาดนั้น ทำให้เราคนไทยทั้งชาติต้องหันกลับมาทบทวนเรื่องการบรรจุศาสนาเข้าในรัฐธรรมนูญในฐานะคนไทยคนหนึ่ง ซึ่งรักชาติไทยเท่า ๆ กับทุกคนในชาติ การปรองดองในชาติและการเข้าใจหัวอกหัวใจของคนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังเป็นสิ่งที่คนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้โหยหาอยู่ หากเราทุกคน ยังอยากเห็น ขวานทองมีด้ามขวานที่งดงามไม่แหว่งหรือหายไป เราคนไทยทุกคนต้องสามัคคีกันและ มองผลประโยชน์ส่วนร่วม และรักประเทศชาติให้มากกว่าที่เป็นอยู่ และนึกถึงส่วนรวมก่อนเสมอ ก่อนนึกถึงตัวเอง.....
เทศบาลนครพิษณุโลกเห็นความสำคัญเลยจัดเวทีนี้ขึ้น
ดีใจที่พนักงานเทศบาลนครพิษณุโลกและประชาคมเทศบาลนครพิษณุโลก ให้ความสนใจและมาร่วมกันแสดงความคิดเห็น
เสียดายที่เทศบาลนครพิษณุโลกจัดได้เพียง 5 ครั้ง เพราะคณะทำงานจะต้องรีบสรุปเป็นความคิดเห็นระดับจังหวัดเพื่อส่งต่อภายในเวลาที่กำหนด