ฝนตกมาอย่างต่อเนื่องกว่าสัปดาห์แล้ว ตกราวกับเป็นฤดูฝน ทั้งที่ควรเป็นหน้าแล้งและย่างเข้าสู่หน้าไถแปร เป็นอย่างนี้ต่อเนื่องมาสองปีแล้ว ผมโทรถามเพื่อนและคนรู้จักหลายที่ตามภาคต่างๆ ก็พบว่าฝนตกอย่างมากมายทั้งภาคใต้ ภาคกลาง และภาคเหนือ เรียกว่าเกือบทั้งประเทศ
ผมนึกถึงเมื่อตอนเป็นเด็กและต้องทำนาช่วยพ่อแม่ บทเรียนชีวิตที่อยู่กับการทำนาทำไร่บอกให้ผมรู้ว่า ฝนที่ตกกระหน่ำแบบผิดฤดูกาลและเทลงมามากมายแบบนี้ ชาวนาและเกษตรกรไทยจะเจอกับวิกฤติแน่ เพราะจะเกิดความเสียหายมากมายที่สำคัญ 3 เรื่อง
1) นาปรังจะล่มสลาย
ช่วงนี้ ข้าวนาปรังในทุกพื้นที่จะกำลังสุกและรอการเก็บเกี่ยว ฝนตกแบบนี้นอกจากรวงข้าวจะหักเสียหาย เก็บเกี่ยวด้วยความยากลำบากแล้ว ข้าวจะชื้นและขึ้นรา ขายไม่ได้ราคา และถ้าหากฝนยังตกอย่างนี้อีก น้ำก็จะท่วมให้ผลผลิตต้องเสียหาย ชาวนาปรังน้ำตาตกแน่นอนครับ
2) การไถแปรนาปีเหนื่อยยากและต้นทุนจะสูงขึ้นมากมาย
ช่วงนี้สำหรับข้าวนาปีนั้น จะเป็นการพักดินและเตรียมไถแปร แต่ฝนแบบนี้จะทำให้ชาวนาทำนาไม่ได้ เพราะหญ้าจะขึ้นอย่างงอกงาม ไถนายาก ไถมือก็เหนื่อย ไถเครื่องก็เปลืองทั้งน้ำมันและความสำบุกสำบันของเครื่องมือซึ่งต้องมากกว่าภาวะปรกติ และถ้ามากกว่านี้อีก ผืนนาก็จะเละเป็นดินโคลน ไม่เป็นขี้ไถและก้อนดิน
นัยของการไถแปรนั้น มีความสำคัญมากต่อวิถีการผลิตของเกษตรกรที่มีความเอื้ออาทรต่อถิ่นฐานและปัจจัยเกื้อหนุนจากธรรมชาติอยู่ในการปฏิบัติ เป็นการพลิกหน้าดินและผึ่งแดดไว้สักระยะหนึ่งก่อนจึงจะสามารถทำนาในฤดูกาลต่อไปได้ หญ้าและซังข้าวในท้องนาจะยังไม่ขึ้นมากเพราะเป็นฤดูร้อนแล้ง อีกทั้งฝนต้องตกลงมาเพียงเล็กน้อยแค่พอให้ดินอ่อนนุ่มสะดวกแก่การไถแปร ทว่า ฤดูฝนแบบตกหนักๆอย่างนี้ ชาวนาและเกษตรกรจะทำอย่างนั้นไม่ได้ เมื่อต้องทำไปโดยรอให้ผืนนามีการเตรียมดินที่ดีไม่ได้ เชื่อได้เลยว่าต้องนำไปสู่การอัดปุ๋ยเคมี ล้มละลายต่อเนื่องแน่เลย
3) การเพาะปลูกข้าวนาปีจะเสียหายนับแต่เริ่มต้น
นอกจากเตรียมผึ่งหน้าดินแล้ว ผืนนาบางแปลงที่ดีที่สุดและมีทำเลเหมาะสมที่สุด ชาวนาต้องเจียดให้เป็นแหล่งเตรียมต้นกล้า และถ้าหากไม่ใช่นาดำ แต่เป็นนาหว่าน ชาวนาก็ต้องเตรียมที่จะหว่านข้าว ซึ่งหากฝนตกไม่มาก ข้าวก็จะเริ่มงอก และเมื่อเริ่มโต ฤดูฝนและน้ำหลาก ก็จะมาถึงพอดี
แต่เมื่อผิดฤดูกาลอย่างนี้ นอกจากข้าวพันธุ์จะไม่สามารถงอกและหยั่งรากลงดินให้มั่นคงได้ทันก่อนน้ำหน้าดินจะหลากมาแล้ว เมล็ดข้าวของชาวนาที่หว่านลงไป ก็กลับจะลอยและถูกน้ำหน้าดินจากฝนตก พัดไปกองรวมกัน เสียหายแน่นอน หากจะรอไปอีกสักระยะ ฝนที่เหมาะกับการเพาะปลูกก็จะหมดไปอีก
สำหรับปีนี้ ชาวนาและเกษตรกรแย่แน่ครับ ให้ความรู้เพื่อการตัดสินใจของชาวนา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมรับมือกับวิกฤติที่ต่อเนื่องได้แน่เลย
ผมสังเกตมาหลายปีแล้ว ทฤษฎีแบบเบ็ดเสร็จที่บอกว่า ฝนตกและน้ำท่วม เกิดจากการตัดไม้ทำลายป่านั้น น่าจะมีอะไรที่ต้องเรียนรู้ตัวเองใหม่ของสังคมไทย น่าจะมีเงื่อนไขแวดล้อมที่ต้องคิดกันใหม่มากกว่านั้น
หากสังเกต...ครั้งแรกที่ฝนเริ่มตกของปีนี้ หากเรียกแบบพายุและทะเลคลั่งแบบใน อุกาฟ้าเหลือง หนังของ ส.อาสนจินดา ซึ่งผมเคยดูเมื่อกว่า 20 ปีก่อน การเริ่มตั้งเค้าและกระหน่ำลงมาอย่างรวดเร็วของฝนในปีนี้ก็เป็นแบบนั้นเลย
ในพื้นที่เขตเมือง ฝนจะเริ่มตั้งเค้า ก่อตัวเมฆฝน และตกลงมาอย่างรวดเร็ว บางครั้ง แม้ในฤดูร้อนแล้ง ก็มีกระบวนการเหมือนอย่างเป็นฤดูฝนแบบนี้
เป็นไปได้หรือไม่ ที่สัดส่วนพื้นที่หน้าดินซึ่งเป็นคอนกรีตมีน้ำขังมากกว่าเดิมตามแหล่งต่างๆของเมือง โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร เมื่อถูกแสงแดดแผดเผา ก็จะเป็นเหมือนแอ่งกะทะ ก่อให้เกิดไอน้ำจากน้ำที่ท่วมขัง ระเหยในปริมาณที่มากและรวดเร็วกว่าปรกติ เมื่อมีความหนาแน่นและเริ่มกรองความร้อนจากแสงแดด ก็จะทำให้ผืนดินเย็นตัวเร็วกว่าปรกติเช่นกัน
ทำให้เกิดปริมาณน้ำฟ้าเป็นเมฆฝน ขณะเดียวกัน พื้นดินก็คลายความร้อนและผันเป็นความเยือกเย็นให้เมฆกลั่นตัวเป็นหยาดฝนทั้งรวดเร็วและฉับพลันกว่าในพื้นที่ป่าเขา ผมรู้สึกว่าหลายปีมานี้ ฝนตกในกรุงเทพฯง่ายและมากกว่าในพื้นที่ชนบทหรือในพื้นที่ป่าเสียอีก ผมใช้เรียนรู้เอาจากการเป็นอยู่ ซึ่งก็ไม่แน่ใจเสียแล้ว ไม่เหมือนเมื่อวัยเด็ก ผมเป็นคนหนึ่งที่รู้เรื่องฝนฟ้าได้ดี เพียงดูลักษณะก้อนเมฆและผ่าวชื้นไอดิน ผมก็สามารถออกไปหาแหล่งของเห็ดบานค่ำจากโคนไม้ท้องนา มาให้แม่ผัดกับใบโหรพาให้กินได้
ในฤดูหนาวก็เช่นกัน หากเป็นชนบทและแหล่งที่มีสัดส่วนของผืนดินมาก เวลาเดินกลางแจ้งหรือเวลาลมหนาวพัดมา เราจะสัมผัสได้ถึงไอผ่าวของผืนดิน ทว่า ในชุมชนเขตเมืองและในกรุงเทพมหานคร ก็กลับจะรู้สึกหนาวเหน็บอย่างรวดเร็วเช่นกัน
ถิ่นฐานประเทศไทยเป็นเมืองร้อนชื้น นอกจากการมีป่าและพื้นที่ชุ่มน้ำเป็นตัวกำกับฤดูกาลและความเป็นไปของฝนตกแล้ว การจัดการน้ำฝน น้ำหลาก และน้ำหน้าดิน น่าจะมีเหตุปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะ อีกทั้งจะเป็นความเสียหายที่ต้นทุนและความสูญเสีย นอกจากจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนในทุกๆปีแล้ว อาจจะเพิ่มมากขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น การที่หน้าร้อนแล้งกลับกลายมาเป็นหน้าฝนและน้ำท่วมขัง โอกาสที่ผืนดินควรจะได้ผึ่งแสงแดด และเมื่อน้ำหลาก หน้าดินก็จะได้รับการชะล้าง ก็กลับเป็นการมีน้ำท่วมขังมากมายหลายแห่งอย่างต่อเนื่อง สภาพแวดล้อมอย่างนี้ เอื้อต่อการเกิดแหล่งเพาะเชื้อโรคและเป็นช่องทางในการแพร่ระบาดของเชื้อโรคอีกมากมาย
เมื่อเช้านี้ผมเดินออกจากห้องพัก แวะรดน้ำให้กับต้นพลูด่างที่อยู่ในกระถางเล็กๆมุมตึก แล้วผมก็คุยกับต้นพลูด่างอยู่ในใจ.....สังคมยังมีอนาคตร่วมกัน เรื่องส่วนรวม และความทุกข์ร้อนร่วมกันรออยู่ข้างหน้ามากมาย เกินกว่าจะเผชิญด้วยความเป็นตัวกูของกู และการมองเพียงการอยู่รอดเฉพาะหน้าแบบของใครของมัน สังคมไทยหัวใจจตุคามฯ และรัฐธรรมนูญฉบับต้องสามารถกินได้แต่จะต้องเจอกับความไม่มีให้กิน จะเป็นอย่างไรบ้างนะ.... ผมคิดและเสียดสีตนเองแบบโพสต์โมเดิร์น.
ไม่มีความเห็น