ทุกข์เพราะความคิด สุขเพราะความคิด


ทุกวันนี้เราจมอยู่กับสภาวะสุขหรือทุกข์เพราะความคิดเป็นอย่างมาก ลองพิจารณาดูให้ดีๆ จะเห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว จะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่สิ่งที่ยังไม่เกิด จะควบคุมไม่ได้

ชวนชม  

เมื่อวันก่อนฟังเทปคำเทศน์ของหลวงปู่ชา  ท่านยกตัวอย่างเรื่องหนึ่งซึ่งทำให้ดิฉันสะดุดใจ (อีกแล้ว) ท่านเทศน์โดยยกตัวอย่างเรื่องปากกา  แต่ดิฉันจะขอยกตัวอย่างที่เคยประสบกับตัวเองดังนี้

ทุกวันเวลาดิฉันออกจากบ้าน ก็จะทำการปิดประตูบ้านเหมือนทุกๆ ครั้ง แล้วก็ขับรถออกจากบ้านไปทำงาน

แต่มีอยู่วันหนึ่ง ขาดสติ จำไม่ได้เลยว่าได้ไขกุญแจปิดบ้านหรือไม่ หรือปิดประตูเฉยๆ แต่ไม่ได้ไขกุญแจเพื่อล๊อค

เอาล่ะสิ ที่บ้านก็ไม่มีคนอยู่เสียด้วย... 

คราวนี้แหละค่ะ ใจหายแว๊บ...ทุกข์เกิดทันที...  กังวลสารพัด  พยายามนึกตลอดเวลาว่าเมื่อเช้าเราไขกุญแจปิดบ้านหรือเปล่านะ ไม่มีคนอยู่บ้านด้วยซิ....ทำไงดี ทำไงดี... กลัวขโมยขึ้นบ้าน...คิดว่าเดี๋ยวจะต้องขับรถกลับบ้านไปตรวจให้ได้.....

ดิฉันก็นั่งคิดสักพักใหญ่ ระหว่างนั้นก็กลุ้มใจมาก พยายามคิดว่าตัวเองได้ไขกุญแจปิดหรือเปล่า นึกไปนึกมา .... จำได้ว่าวางกระเป๋าคอมพ์กับพื้น หยิบกุญแจ แล้วก็ไขกุญแจปิดประตูแล้ว...

เท่านั้นแหละค่ะ โล่งอก... เป็นสุขแล้ว ไม่ต้องขับรถกลับบ้านไปตรวจ...ของไม่หาย...คนเข้าบ้านไม่ได้แน่ๆ...

นี่แหละค่ะ ทุกข์เพราะความคิด และสุขเพราะความคิด แท้ๆ ทีเดียว เพราะในความเป็นจริงแล้ว ประตูก็ถูกปิดอยู่ หรือถ้าลืมปิดประตู ก็ช่วยไม่ได้อยู่ดี เพราะอยู่ถึงที่ทำงาน กังวลไปก็ป้องกันไม่ให้ขโมยไม่ขึ้นไม่ได้  

ถ้าประตูถูกไขกุญแจปิดอยู่...มันก็อยู่อย่างนั้น

ถ้าลืมล๊อคประตู...มันก็อยู่อย่างนั้น

เหตุการณ์ในอดีตที่เกิดขึ้นแล้ว มันเปลี่ยนไม่ได้เพราะความคิดของเรา... เพราะมันเกิดขึ้นแล้ว... 

แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาก็คือ"ความคิด"ต่างหาก  ดังนั้นที่ทำให้เราทุกข์หรือสุขในขณะนั้นคือความคิดเท่านั้น  นั่นคือ...

เรากำลังถูก"ความคิด"หลอกอยู่    

ทีนี้เรามาลองดูว่าทำไมเราถึงถูกความคิดหลอกให้ทุกข์ได้...ก็เพราะ เรามีความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของในสมบัติพัสถาน  มีตัวเรา ของเรา เรารู้สึกเสียดายถ้าของสิ่งนั้นจะหายไป หรือไม่ได้เป็นเจ้าของอีกแล้ว....

พอเราจำได้ว่าล๊อคประตูแล้ว ความสุขก็เกิด เพราะเราคิดว่าสมบัติพัสถานของเราไม่ได้หายไปไหน เรายังเป็นเจ้าของอยู่.... 

แล้วถึงปิดประตูบ้านแล้ว แต่โดนขโมยงัดบ้าน  ถ้าตอนนั้นไม่อยู่บ้าน ไม่รู้เรื่อง จะทุกข์ไหมคะ     

ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่จมอยู่กับสภาวะสุขหรือทุกข์เพราะความคิดเป็นอย่างมาก ลองพิจารณาดูให้ดีๆ จะเห็นว่า สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่สิ่งที่ยังไม่เกิด จะควบคุมไม่ได้  แต่เราเอาความคิดถึงเรื่องนั้นๆ มาสร้างเป็นละครในหัวของเรา แล้วก็ สุข ทุกข์ ระทม ชื่นชม ฯลฯ ไปกับละครนั้นๆ   ลองดูตัวอย่างของคนในหน้าหนังสือพิมพ์ที่โดนความคิดเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ หรือการสอบ admission เข้าครอบงำดูซิคะ...น่าสงสารจริงๆ..บางคนถึงกับเสียชีวิตเพราะสอบไม่ติด...

ดังนั้น อย่าให้ความคิดชักนำเราให้ทุกข์หรือสุข แต่จงมีสติ  รู้ถึงความจริง รู้ถึงธรรม และสภาวะธรรมของสิ่งนั้นๆ เราจะได้มีปัญญาธรรม ไม่ติดกับวังวนความคิดของตัวเองอยู่แค่นี้...

ขอขอบคุณ: ตัวการ์ตูนน่ารัก อภินันทนาการจาก อ.ลูกหว้า  ที่นี่ค่ะ

หมายเลขบันทึก: 96415เขียนเมื่อ 15 พฤษภาคม 2007 16:47 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 18:00 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (14)
อ่านแล้ว ดีจังคะ ..ตัวความคิด....คิดไปล่วงหน้า

สวัสดีค่ะ คุณ P ดอกแก้ว

ดีใจที่ทำให้รู้สึกดีค่ะ

ช่วงนี้ตัวเองมีเรื่องคิดเยอะ เลยเขียนบันทึกเตือนใจตัวเองค่ะ ว่าอย่าถูก"ความคิด" หลอก : )

ต้องเจริญสติเยอะๆ ค่ะ

ขอบคุณที่แวะเข้ามานะคะ

ขอบคุณค่ะอาจารย์ กำลังพยายามฝึกสติ ฝึกไม่สร้างความคิดที่ทำให้เกิดทุกข์ค่ะ ... เรื่องล็อค ไม่ล็อคบ้าน รถ ออฟฟิส ที่ทำงานนี่เป็นประจำค่ะ บางครั้งต้องย้ำคิดย้ำทำ ...จึงแก้ไขโดยเวลาที่จะล็อคต้องมีสติ เรียกสติโดยการพูดออกมาค่ะว่า ...ล็อค แล้วนะ ล็อคแล้ว..ในขณะที่ล้อคค่ะ...สติจะได้อยู่ตรงนั้นค่ะ...ไม่ทราบว่าถูกวิธีในการมีสติรึปล่าวนะค่ะ
P

paew

    เรียกสติโดยการพูดออกมาค่ะว่า ...ล็อค แล้วนะ

เอ...เหมือนกันเลยคะ.............
 

  • จริงค่ะทุกข์หรือสุข อยู่ที่ความคิด
  • ดิฉันเคยเป็นบ่อย
  • เอ๊ะลืมถอดปลั๊กเตารีดหรือยัง
  • ดังนั้นเราต้องมีสติกำกับทุกครั้งที่ทำอะไรอยู่ค่ะ

สวัสดีค่ะ

P
P

เรื่องการเจริญสติโดยใช้เสียงกำหนดพูดว่า ล๊อคแล้ว ล๊อคแล้ว ก็เป็นวิธีหนึ่งที่ใช้ได้ค่ะ แต่ที่ดิฉันใช้คือ  จะใช้การเพ่งจิตไปที่การกระทำนั้นๆ คล้ายๆ ใช้การดู และการย้ำดู เป็นการเรียกสติ ว่าได้ทำสิ่งนั้นๆ แล้ว จะทำให้จำภาพนั้นๆ ได้... 

แต่อาจสงสัยกันอีกว่า ถ้าเราทำกิจกรรมนั้นๆ ทุกๆ วันล่ะ เช่น ล๊อครถ ทำทุกวัน วันละ ๒ เวลาเป็นอย่างน้อย (เหมือนกินยาเลย 555)  ดูภาพหรือท่องย้ำอย่างไรก็อาจสับสนได้ว่าทำแล้วหรือยัง

วิธีแก้คือ เจริญสติตลอด ให้อยู่กับปัจจุบัน ใจไม่แล่นไปอยู่กับอดีตหรืออนาคต เราก็จะทำกิจกรรมต่างๆ ในปัจจุบัน ไม่ลืมทำ  สำหรับตัวเองตอนนี้จะรู้เลยว่ามีปัญหารีบเร่งไปในอนาคต เพราะฉะนั้นจะ"ลืม" หรือ"ขาดสติ" เป็นประจำ เพราะใจไปอยู่กับอนาคต เช่น ใจวิ่งไปที่ประชุมแล้ว เพราะฉะนั้นจะลืมหยิบเอกสารการประชุมออกไปด้วย ทั้งๆ ที่เตรียมไว้แล้ว เป็นต้น

ถ้าสติอยู่กับปัจจุบัน เดินก็จะไม่สะดุดมด (ก็เดินอยู่ดีๆ ทางก็เรียบ ไหงสะดุด..)  ห้องก็จะไม่ลืมล๊อค ร่มก็ไม่ลืมหยิบไป ที่พูดไปทั้งหมดนี้เอามาจากประสบการณ์ตรงของตัวเองทั้งสิ้นค่ะ 5555

สวัสดีค่ะ คุณ
P

 

ขอบคุณที่ช่วยยืนยันค่ะ ดิฉันว่าความคิดหรือความฟุ้งซ่านในที่นี้เป็นเหตุให้สุขภาพจิตเราแย่เยอะเลยนะคะ

ถ้าคิดไม่ออกว่าลืมถอดเตารีดหรือยัง สงสัยจะนั่งไม่ติดจริงๆ เพราะถ้าเสียหายอาจไม่ใช่ของเราเพียงอย่างเดียว.... ดิฉันโชคดียังไม่เคยเรื่องเตารีด เพราะทำไม่บ่อยเท่าล๊อคบ้าน ล๊อครถ ซึ่งทำบ่อยจนมึน ถ้าไม่เจริญสติตลอดหรือขณะทำกิจกรรมสำคัญก็จะทุกข์ สุข ไปอย่างนี้แหละค่ะ...

ขอบคุณที่แวะเข้ามา ลปรร นะคะ

สวัสดีครับอาจารย์
P

 

  • ขอบคุณบทความที่ทำให้มีสติยิ่งๆขึ้นครับ
  • สุข ทุกข์ ก็เพราะความคิด เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ  
  • และความคิดที่ดีๆ คิดแบบโยนิโสมนสิการ...ก็จะยิ่งทำให้เราได้พบความสุขที่แท้จริง..(จริงยังทำได้ไม่ทั้งหมดครับ จำ(สัญญา)จากตำรา)
  • ช่วงนี้ผมรู้สึกว่าได้ฝึกสติอย่างต่อเนื่องครับ  ค่อยๆเกิดความก้าวหน้าครับ   ผมคิดว่ากัลยาณมิตรใน GTK  มีส่วนสำคัญมากๆครับ

สวัสดีค่ะ คุณหมอ kmsabai

เมื่อสักครู่ก็เพิ่งแวะไปอ่านบันทึกคุณหมอเองค่ะ สวนทางกันพอดี : )

  • ดีใจที่บันทึกเป็นประโยชน์สำหรับคุณหมอนะคะ
  • คุณหมอพูดถึง "โยนิโสมนสิการ" ดิฉันไม่ค่อยคุ้นเคย (ความรู้ปรมัติน้อยจริงๆค่ะ) แต่ไม่เป็นไร ไปเปิด dict ในinternet มาแล้ว ได้ความว่า...

ความหมาย จาก พจนานุกรมพุทธศาสตร์ โดยท่านเจ้าคุณพระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต)

โยนิโส โดยแยบคาย,โดยถ่องแท้, โดยวิธีที่ถูกต้อง, ตั้งแต่ต้นตลอดสาย, โดยตลอด

มนสิการ การทำในใจ,ใส่ใจ, พิจารณา

โยนิโสมนสิการ การทำในใจโดยแยบคาย, กระทำไว้ในใจโดยอุบายอันแยบคาย, การพิจารณาโดยแยบคายคือ พิจารณาเพื่อเข้าถึงความจริงโดยสืบค้นหาเหตุผลไปตามลำดับจนถึงต้นเหตุ แยกแยะองค์ประกอบจนมองเห็นตัวสภาวะและความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัย หรือตริตรองให้รู้จักสิ่งที่ดีที่ชั่วยังกุศลธรรมให้เกิดขึ้นโดยอุบายที่ชอบ ซึ่งจะมิให้เกิดอวิชชาและตัณหา, ความรู้จักคิด, คิดถูกวิธี

  • โดยสรุป จากการอ่านนี้ให้ดิฉันแปลเองก็จะแปลว่าเป็นการใส่ใจพิจารณาอย่างถ่องแท้ตั้งแต่ต้นโดยตลอด เพื่อให้เห้นเหตุ เห็นผล..
  • เห็นด้วยเลยค่ะที่โยนิโสมนสิการจะนำเราไปสู่ความสงบที่แท้จริงได้ ... ปัญญาน่าจะเกิด หากเราได้ใส่ใจใคร่ครวญในเหตุและผลอย่างถ้วนถี่แล้ว..
  • ดิฉันเองก็ยังปฏิบัติเจริญสติอยู่ต่อเนื่องเช่นกันค่ะ สอบตัวเองอยู่เรื่อยๆ ก็ยังทรงๆ ค่ะ มีหลุดบ้าง แล้วก็ใช้ได้บ้าง ก็คงฝึกต่อไปค่ะ
  • ขอบคุณคุณหมอที่ทำให้ได้ความรู้เรื่องโยนิโสมนสิการนะคะ : ) ลปรร กันไปเรื่อยๆ แบบนี้ดิฉันว่าความก้าวหน้าคงมีแน่ๆ ค่ะ..

ทุกข์ เพราะเป็น "ของ" เรา

ไม่ทุกข์เพราะไม่เป็น "ของ" เรา

มีทุกข์เพราะมีอัตตา

ขอบคุณนะคะ คุณ P ว่างเปล่า ที่เข้ามาให้ข้อคิดเห็นค่ะ

อ่านแล้วได้ "เจริญสติ" ดีจังเลยค่ะ  อาจารย์กมลวัลย์

ดิฉันชอบที่อาจารย์บอกว่า "เดินสะดุดมด"  น่ารักอะค่ะ        เอ่อ...คาดว่าคงไม่ทันย่างลงไปบนตัวมด    (วลีสุภาพของคำว่า เหยียบ)   : )

บันทึกธรรมะของอาจารย์  อ่านแล้วได้คิด  ช่วยเตือนสติได้จริงๆนะคะ  : )

สวัสดีค่ะ อ.P ดอกไม้ทะเล

ปรกติตัวเองเป็นคนที่เดินเร็วค่ะ หัวพุ่งไปก่อนตัวเสมอ 55555 พื้นก็เรียบๆ นี่แหละ แต่ไหงสะดุดได้..ก็เลยโทษมดค่ะ  ^ ^

ตอนหลังจากเจริญสติบ้างแล้วก็ดีขึ้นค่ะ ยังเดินเร็วอยู่แต่ช้าลงบ้าง ฝึกสติให้อยู่กับปัจจุบันมากขึ้น แต่ก็ยังมีหลุดเป็นคราวๆ ไปค่ะ

ดีใจมากนะคะที่บันทึกมีประโยชน์สำหรับคนอ่านด้วย แต่สำหรับคนเขียนนี้..รู้สึกว่าได้ประโยชน์เยอะเลยค่ะ เพราะได้ทบทวนก่อนเขียน ได้เขียนตอบเพื่อนๆ ที่ให้ข้อคิดเห็น ... บางทีกลับมาอ่านที่ตัวเองเขียน ก็เตือนสติตัวเองได้ดีเหมือนกันค่ะ ^ ^

ขอบคุณที่แวะมาชม...เอ๊ย..ให้ข้อคิดเห็นนะคะ อิอิ ^ ^

ความดีใจ ความเสียใจ มันก็เกิดจากพ่อแม่เดียวกัน บางทีเมื่อมีสุขแล้วใจก็ยังไม่สบาย ไม่สงบ ทั้งที่ได้สิ่งที่พอใจแล้ว เช่นได้เงิน ได้ลาภยศสรรเสริญได้มาแล้ว ก็ดีใจก็จริง แต่มันก็ยังไม่สงบจริงๆ เพราะยังมีความเคลือบแคลงใจว่า มันจะสูญเสียไป กลัวมันจะหายไป ความกลัวนี่แหละเป็นต้นเหตุให้มันไม่สงบ บางทีมันเกิดสูญเสียไปจริงๆก็ยิ่งเป็นทุกข์มาก นี่หมายความว่า ถึงจะสุขก็จริง แต่ก็มีทุกข์ดองอยู่ในนั้นด้วย แต่เราก็ไม่รู้จักเหมือนกันกับว่าเราจับงู ถึงแม้ว่าเราจับหางมันก็จริง ถ้าจับไม่วาง มันก็หันกลับมากัดได้ ความสุขมันดอกอยู่ในความทุกจริงๆ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท