นักเรียนไทย


พบเพื่อนใหม่

วันที่ 12 พฤษภาคม 2550

เมื่อคืนผมหลับเป็นตายเลยครับ อาจจะเริ่มชินกับเสียงดังหรือว่าง่วงมากก็ไม่ทราบ เสียงนาฬิกาดังตี๊ดๆในเวลา 5.50 น. ผมจึงตื่นขึ้นมา มันยังมืดสนิทอยู่เลย กลิ้งไปมาอยู่อีก 20 นาทีจึงสามารถลุกขึ้นจากเตียงได้ หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็รีบออกไปทันที สภาพภายนอกเหมือนฝนเพิ่งหยุดตกหมาดๆ อากาศกำลังดีทีเดียว ผมขึ้นรถหมายเลข 48 เหมือนเดิมโดยใช้เวลาประมาณ 15 นาทีก็ถึง KKH แล้ว ผมตรงไปยัง Kopitiam เพื่อหากาแฟใส่ท้อง ผมเลือกซื้อเซ็ตที่มีกาแฟ ขนมปังและไข่ลวก 2 ฟอง ในราคา 2 เหรียญแต่ลดลงเหลือ 1.6 เหรียญ อยากกินไข่ลวกบ้างเพราะว่าไม่ได้กินมานานแล้ว จำได้ว่าสมัยเรียนอยู่ชั้นมัธยม ตื่นเช้าขึ้นมาแม่ก็ทำไข่ลวกให้กินเกือบทุกวัน ใส่เกลือบ้าง ซอสแม๊กกี้บ้าง (ไม่เข้าใจจริงว่าทำไมจึงต้องเป็นแมกกี้) แต่ไข่ลวกที่นี่มันลวกจริงๆ สงสัยว่าแค่ผ่านน้ำร้อนมา เพราะเมื่อตอกใส่จานก็พบว่าไข่ขาวยังใสอยู่เลยเป็นส่วนใหญ่ ก็กล้ำกลืนฝืนกินไปจนเกือบหมด นึกถึงน้องแป้ง ก่อนจะมาที่นี่ประมาณ 2 เดือน ผมจะทำอาหารเมนูไข่ให้ลูกกินทุกวัน (เพราะเธอเป็นเด็กขาดสารอาหาร) หลายๆครั้งก็ทำไข่ลวก ดูท่าทางจะชอบหากพ่อลวงนานจนกระทั่งไข่ขาวเริ่มพอแข็งๆเละๆ แต่บางวันก็เป็นน้ำใสมากไปหน่อย แต่ทุกวันผมจะพยายามให้เธอกินจนหมด เห็นหน้าลูกตอนนั้นแล้วก็คิดถึงตัวเองยามนี้จัง เธอคงจะทรมานน่าดู ผมมักจะอ้างเสมอว่า เมื่อก่อนพ่อก็กินแบบนี้แหละ 

                เมื่อจัดการเรื่องปากท้องเสร็จเรียบร้อยก็ขึ้นไปที่ชั้น 6 เพื่อรอรุ่นพี่มา round ที่นี่ในวันเสาร์ อาทิตย์ เขาจะผลัดกันมาครับ แต่ดูไปไฉนเงียบจังเลย ผมจึงเข้าไปนั่งรอในภาควิชาที่เปิดไว้ตลอด 24 ชั่วโมง ใครมีบัตรและรหัสก็สามารถเข้าไปนั่งทำงานได้เลย นั่งรอไม่นานก็ได้ยินเสียง ตุ๊ดตุด ตุ๊ดตุด ดังแว่วมาเรื่อยๆ ใกล้เข้ามาจนเริ่มได้ยินชัดขึ้น ฉับพลันผมก็ได้เห็นรถเข็นที่มีขนาดเท่ารถใส่อาหารที่โรงพยาบาลบ้านเรา มันวิ่งเองโดยไม่มีคนเข็น ตอนนั้นขนทุกเส้นในร่างกายก็พร้อมกันลุกตั้งโดยไม่ได้นัดหมาย ผีหลอกผมตั้งแต่เช้าเลยเหรอเนี่ย แต่มันก็ยังวิ่งไปช้าๆ แล้วหยุดแล้วเลี้ยวเข้า ward ไป มันน่าจะเป็นรถหุ่นยนต์ แต่บรรทุกอะไรนั้นก็ยังไม่ทราบ เดี๋ยวค่อยสืบเอา นั่งรออยู่พักใหญ่ก็ไม่เห็นใครมา จึงขึ้นๆลงๆชั้น 4 กับชั้น 6 รอไปรอมาก็ปาเข้าไป 8 โมงผมจึงกับ SIC ดีกว่า               

ผมนั่งเขียนบันทึกบ้าง อ่านหนังสือบ้างจนกระทั่ง 11.45 จึงได้เวลาออกไปในเมืองเพื่อกินเลี้ยงตามที่นัดเอาไว้ ผมจับรถบัสไปลงที่ Little India MRT ไปเปลี่ยนสายที่ Dhoby Ghaut แล้วลงที่ City Hall MRT ผมสายไปประมาณ 5 นาที ขึ้นไปที่ทางออกสู่ Raffles Plaza ผมก็พบกับ Jessica และหมอหนุ่มคนไทยอีก 4 คนยืนอยู่แล้วหลังจากทักทายกันเล็กน้อยเราก็เริ่มออกเดินไปยังร้านอาหารไทยซึ่งอยู่ใกล้ๆกัน ผมจึงเริ่มทำความรู้จักกับทุกคนทันทีครับ               

พี่โต้ง เป็นหมอเอกซเรย์ มาจากโรงพยาบาลเลิศสินได้ 2 เดือนแล้ว กำลังเรียน intervention อยู่ที่ Singapore General Hospital (SGH) คนนี้เป็นคนเดียวที่อายุมากกว่าผม               

 เท้ง เป็นหมออายุรกรรมโรคหัวใจ มาจาก มศว.องครักษ์ เพื่อเรียน intervention ตอนนี้มาอยู่ได้ประมาณ 6 เดือนเห็นจะได้ และจะอยู่ต่ออีก 6 เดือน เนื่องจากอาจารย์ที่สิงคโปร์ส่งจดหมายกลับต้นสังกัด บอกว่า 6 เดือนนั้นน้อยไป คนนี้รุ่นเดียวกับผม               

เซี้ยง เป็นศัลยแพทย์ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก จากม.ช. เขามาเรียนด้านเดียวกันนี่แหละ รู้สึกว่าจะเรียกว่า minimal invasive surgery มาอยู่ได้ 3 เดือนแล้ว คนนี้เป็นรุ่นน้องผม 2 ปี               

หนุ่ม อายุน้อยที่สุด เพิ่งมาได้ 2 สัปดาห์ เขาเป็นประสาทศัลยแพทย์จากโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เพื่อมาเรียนการผ่าตัดกระดูกสันหลัง เป็นคนที่ชอบถ่ายรูปมาก เลยหิ้ว Nikon D80 ที่ผมเคยหมายตาไว้มาด้วย                

เราเข้ากันได้เร็ว คงจะเป็นเพราะจากบ้านมาไกลเหมือนกัน (ก็แค่สิงคโปร์เท่านั้น) คุยกันที่โต๊ะอาหารอย่างออกรสชาติตั้งแต่ต้นเลย 3 คนแรกเขานัดเจอกันบ่อยเกือบจะทุกสัปดาห์ วันนี้ผมจึงเป็นน้องใหม่ที่สุดที่จะเข้ารวมกลุ่มในอนาคตนี้ มื้อนี้เรากินอาหารไทยด้วยความอร่อย อารามกินของจืดมา 5 วัน ร้านนี้เจ้าของร้านเป็นชาวสิงคโปร์ แต่พ่อครัว (หรือแม่ครัวก็ไม่รู้) เป็นคนไทย อาหารจึงเป็นไทย 100% เราตบท้ายด้วยข้าวเหนียวมะม่วงคนละจาน เรานั่งคุยกันที่นี่อีกพักใหญ่หลังมื้ออาหาร แต่ละคนก็บ่นอุบเรื่องค่าครองชีพที่สูงและแทบจะไม่พอใช้ Jessica ก็คงได้แต่นั่งรับฟังเพราะเขาเป็นลูกจ้างเหมือนกัน (แต่ก็ระดับสูงพอใช้เลยทีเดียว)                

Jessica ขอตัวกลับก่อน เนื่องจากต้องไปให้นมลูกคนสุดท้องที่มีอายุ 3 เดือน จากนั้นหมอไทยหนุ่มๆ (ที่อายุมากกว่า 30 ทุกคน) ก็คุยกันว่าจะไปเดินเล่นกันก่อน ถือโอกาสรับน้องใหม่ไปด้วย เรากลับไปที่ City Hall MRT อีกครั้ง แล้วลงเดินไปตามทางใต้ดินที่มีร้านขายของเรียงรายเต็มไปเสียหมด เท้งกับพี่โต้งดูเป็นผู้ชำนาญการมากเพราะว่าสามารถเดินไปได้ถูกทางอย่างคล่องแคล่ว ไม่นานเราก็มาโผล่ที่ตึกทุเรียน ตึกนี้มีชื่อว่า Esplanade มันเป็นสถานที่จัดการแสดงได้หลายอย่างทั้งละครเวทีไปจนถึงออร์เคสตรา มันมีลักษณะเหมือนทุเรียนผ่าซีกตั้งคว่ำลง 2 ซีกยังไงยังงั้นเลยครับ เราเดินเลยออกไปยังสนามข้างๆก็พบว่า เขาเตรียมตัวแสดงคอนเสิร์ตตอนกลางคืน  ทราบมาว่ามีการจัดแสดงกลางแจ้งบ่อย ออกจากตรงนี้เราก็จะเดินไปยัง Merlion หรือคุณสิงโตเงือก (หากนำมาผสมกันก็น่าจะอ่านเป็นสิงเตื๊อก) ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก เราต้องเดินไปยังสะพานเพื่อข้ามแม่น้ำสิงคโปร์ และที่นี้เราก็ได้พบกับรถขายไอศกรีมซึ่งคนขายสองแม่ลูกเป็นคนไทย พอดีตอนนั้นแม่กำลังโกรธอยู่เลยให้ลูกขายไปก่อน เราจึงเย้าแม่หนูน้อยให้เขายิ้มเลกน้อยก่อนจะจ่ายเงินแล้วจากไป ทุกคนเห็นว่ามีสติ๊กเกอร์ เรารักในหลวง ติดอยู่ด้วย เราเดินข้ามสะพานทอดไปยังอีกฝั่ง เพื่อถ่ายรูปกับสิงเตื๊อกทั้งตัวเล็กและตัวใหญ่ พบคุณลุงกับคุณป้าคู่หนึ่งเป็นคนไทย ที่รู้ก็เพราะว่าทั้งคู่สวมเสื้อเหลือง จึงขอให้ท่านช่วยถ่ายรูปหมู่ของเราทั้ง 5 คนให้ พูดถึงเสื้อของคนไทยตอนนี้มันช่างโด่งดังเสียจริงๆ วันก่อนที่พาอ.เต็มศักดิ์ไปทานอาหารเท่ยงที่ Maxwell food center อาจารย์สวมเสื้อสีขาวที่มีตราสัญลักษณ์ครองราชย์ 60 ปี ก็มีป้าแก่ๆคนหนึ่งเดินเข้ามาทักเป็นภาษาจีน แล้วชี้ที่กระเป๋าเสื้อ เราทั้งคู่ฟังไม่รู้เรื่องหรอกครับ แต่เธอบอกว่า ไทยลา ไทยลา งานนี้ภูมิใจครับ ศรีภรรยาของผมก็จัดใส่กระเป๋ามาให้ 1 ตัวครับ               

บอกลาคุณสิงเตื๊อกแล้วก็ข้ามสะพานกลับมาฝั่งเดิม คราวนี้เราวางแผนจะไปที่ Little Thailand ชื่อนี้เป็นชื่อที่พี่โต้งตั้งขึ้นมาเอง เพราะเป็นแหล่งชุมชนชาวไทยที่ใหญ่ที่สุดของที่นี่ มันตั้งอยู่ที่ Golden mile ครับ เราต้องเดินผ่านเข้าไปใน Suntec City ที่ซึ่งมีน้ำพุงที่ใหญ่ที่สุด และเป็นสุดยอดของการก่อสร้างตามหลักฮวงจุ้ยเลย เราเดินลงไปชั้นใต้ดิน แล้วเดินเข้าไปในศูนย์กลางของน้ำพุ เดินรอบน้ำพุเล็ก 1 รอบ เขาเล่ากันว่าใครมาที่นี่ต้องมาตรงนี้ แล้วจะโชคดี ออกจากตึกนี้แล้วก็ไปยังถนน Beach road เราผ่าโรงพยาบาล Raffle ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเอกชนสุดหรู หากใครเคยดูข่าวจะพบว่า ที่นี่แหละที่ผ่าตัดแยกหัวให้กับแฝดอิหร่าน เขาออกข่าวดังไปทั่วโลก แต่ตาย สู้ของเราไม่ได้ ศิริราชผ่าตัดแยกหัวใจให้หนูน้อย ปานตะวัน ปานวาด จนสำเร็จเป็นรายแรกของโลกเชียว               

มาถึงตรงนี้ก็นึกใจหาย ทำไมพวกเราจึงต้องมาเรียนกันที่สิงคโปร์ ก็เพราะว่าโรงพยาบาลที่นี่มีความทันสมัยอย่างมาก เทคโนโลยีมีให้ใช้ได้ไม่จำกัด เพื่อนทั้ง 3 คนที่มาเรียนอยู่ก่อนบอกว่า อุปกรณ์ผ่าตัดหลายอย่างใช้แล้วทิ้งทั้งนั้น ต่างจากบ้านเรานึ่งแล้วนึ่งอีกจนพลาสติกด้านไปแล้ว อย่างเครื่องมือส่องกล้องของหน่วยผมที่ ม.อ.นั่นปะไร บริษัททำมาให้ใช้ 5 ปี มันมาพังเอาปีที่ 11 นู่น ทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะครับ ใครตอบได้บ้าง เท่าที่ผมทราบก็คือ โรงพยาบาลทุกแห่งของที่นี่ดำเนินกิจการแบบบริษัทจำกัด ที่มีรัฐบาลเข้ามาถือหุ้นครับ คนไข้ทุกคนสามารถเลือกการรับบริการ แบบว่าจะจ่ายเองทั้งหมด (เกรดเอ) หรือให้รัฐจ่ายให้ แล้วต่อไปจะศึกษาแล้วนำมาเล่าให้ฟังนะครับ เงินจึงไหลเข้าโรงพยาบาลมากมาย อย่างพวกผมมานี่เขาก็เก็บค่าเล่าเรียนนะครับ เพียงแต่เราไม่รู้ว่าในราคาเท่าไหร่เท่านั้นเอง มาเทียบกับของเราสิครับ ใครมีก็ไม่จ่ายครับ รัฐจ่ายให้ทั้งหมด เงินหมุนเวียนก็ลดน้อยถอยหาย จะหาของมาใช้หรือซื้อของใหม่ก็ต้องขอแล้วขออีก เรียกว่าโรงพยาบาลรัฐบาลจนลงทุกวันครับ แต่เอกชนสิ รวยเอารวยเอา คนมีเงินเขาก็เข้าโรงพยาบาลเองชน ที่ซึ่งมีเทคโนโลยีให้ใช้มากมาย ต่อไปภายภาคหน้าเราอาจจะต้องไปฝึกงานกันที่บำรุงราษฎร์ก็ได้

จากนั้นเราต่างก็มุ่งหน้าเข้าสู่ย่านอาหรับ สภาพความเป็นอยู่ก็เหมือนชื่อครับ นึกว่ามาเดินแถวพาหุรัด มีแต่แขกเปอร์เซียเต็มไปเสียหมด พี่โต้งเดินเดินผ่าน Sultan Mosque ซึ่งเป็นมัสยิดใหญ่ใจกลางชุมชน เดินจนเหงื่อเริ่มชุ่มเพราะไกล ร้อน ชื้น และเริ่มเจ็บเท้า (ก็รับน้องใหม่ไงล่ะครับ..ล้อเล่น) สักพักก็ถึง Golden mile หรือ Little Thailand ของพี่โต้ง เห็นแล้วก็ทึ่งครับ คนไทยทั้งนั้น เพลงไทย พูดไทย ร้านขายของ ร้านอาหาร กลิ่นกะปิ พริกสด คิดถึงบ้านเป็นที่สุด นอกจากนั้นที่นี่ยังเป็นแหล่งจอดรถทัวร์กลับเมืองไทยและมาเลเซียอีกด้วย พวกผมเดินหาซื้ออาหารแห้งกลับไป (ผมไม่ต้อง เพราะไม่มีครัว) และต้องเตร็ดเตร่อีกสักพัก เพราะฝนตกหนัก เมื่อมันเริ่มซาลงก็ออกเดินทางต่อไปที่จัตุรัส Bugis ที่นี่เป็นสถานีรถไฟฟ้าและศูนย์การค้า เขาทำหลังคาระหว่างอาคารทุกหลังจนดูเกือบจะไม่ออกเลยว่าเป็นตึกต่างๆรวมกัน เหมือนเดินในห้างเลยครับ เราลงไปกินอาหารที่ food center ที่ชั้นใต้ดิน ผมเลือกที่จะกินซุปที่เลือกกับเองและใส่เส้นก๋วยเตี๋ยวลงไป สนนราคาอยู่ที่ 4 เหรียญ กินไม่หมดครับเพราะเส้นมันอืด แต่น้ำซุปอร่อยมาก เสร็จมื้ออาหารก็นั่งคุยกันอีกเกือบชั่วโมงจึงแยกย้ายกันกลับ งานนี้ผมเดินหาป้ายรถบัสเองจนเจอสายที่นั่งประจำ ตอนแรกว่าจะขึ้น MRT ไปลงที่ Little India แต่คิดดูแล้วประหยัดไว้บ้างก็ดี

กว่าจะถึง SIC ก็ปาเข้าไปสามทุ่มครึ่ง อาบน้ำแล้วนั่งหน้าคอมพิวเตอร์พักใหญ่ อ่านหนังสือ แล้วก็หลับไป

หมายเลขบันทึก: 96021เขียนเมื่อ 13 พฤษภาคม 2007 21:51 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 18:35 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)
มุมมองเรื่องของใช้ในโรงพยาบาลนี่ เหมือนกับประสบการณ์ที่ตัวเองเจอในห้องแล็บของบ้านเรากับที่ Perth เลยค่ะ

ว่าไงล่ะ เพิ่งทักในบันทึกก่อนหยกๆ พูดไทย กินอาหารไทย แล้วก็ little Thailand

ระวังยิ่งคิดถึงบ้านนะครับ 

คิดถึงบ้าน เป็นสิ่งที่พึงเกิดขึ้นได้กับทุกคนอยู่แล้วครับ

ส่วน Little Thailand อยากไปให้เห็นว่าเป็นอย่างไร เลยได้รู่ว่าเขาขึ้นรถบัสไปหาดใหญ่จากที่นี่ครับ โชคดีจริงๆ

เมื่อวานไปซื้อตั๋วแล้ว ราคา 32 เหรียญ ถือว่าถูกครับ ไม่รู้ว่าสภาพรถจะเป็นอย่างไรครับ

หวัดดี ผมเอง

ทำงานบ้างอย่าเอาแต่เขียนเวป

 

หลงทางเข้ามานะ

บาย

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท