การสื่อสารในชีวิตประจำวัน ถ้าเราสังเกตดู มีบ่อยครั้งมากที่มีความเข้าใจไม่ตรงกัน คำพูดเดียวกัน แปลความหมายไม่เหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่ภาษาคนเหมือนกัน ด้วยบริบทของคนพูด ของคนฟังต่างกัน
มาอุบลใหม่ ๆ ถามคนไข้เป็นยังไงจ๊ะป้า คนไข้บอก “ ไคแน่ “ ผมนึกในใจ ว่า “ โห ทำไมนักเลงจังจ๊ะ ( จ แทน ว ) มาถามว่าใครแน่ แถวนี้ คุณพยาบาล เห็นผมงง เลยแปลบอกผมว่า “ ไคแน่ “ แปลว่า OK ค่ะ หมอ ( แปลลาวเป็น ภาษาอังกฤษเสียด้วย )
เมื่อสัปดาห์ก่อน ตรวจที่ PCU แนะนำเรื่องการดูแลเท้า กับคนไข้ ถามป้า แกว่า ใช้อะไรตัดเล็บ แกบอก " ก็ใช้มีดแล้ว คุณหมอ " ตามจินตนาการ ของผมนึกถึงมีดปอกผลไม้ มีดปอกหมาก ขึ้นมาทันที " อ้าว ไม่ได้ใช้กรรไกรตัดเล็บเหรอ ( บ้านผมเรียกกรรไกร ตัดเล็บ บางทีก็เรียกที่ตัดเล็บ ) แกบอก " เปล่า ใช้มีดไม่ได้ใช้กรรไกร "
มีการแนะนำเรื่องการใช้ อุปกรณ์ตัดเล็บ ( ภาษาหนังสือ ใช้คำว่าอุปกรณ์ตัดเล็บ ) ว่าไม่ควรใช้มีด เพราะมันจะบาดได้ เกิดแผล คุยไปคุยมา ปรากฏว่า ที่พูดทั้งหมดเป็น อุปกรณ์ตัดเล็บเดียวกัน ที่เราใช้ปรกตินี่แหละครับ แกเรียก "มีด" เรียกทั้งบ้าน ทั้งตำบล จนพูดไปพูดมา ผมก็งงเอง ว่า เอ สงสัยที่บ้านผมจะเรียกผิดหรือเปล่า หรือว่าเขาเรียกมีดตัดเล็บจริง ๆ ก็ไม่มีใครพูดผิดหรอกครับ เค้าเรียกมีดมาตั้งแต่เกิด แม่ก็เรียก พ่อก็เรียก เพื่อนที่โรงเรียนก็เรียก จะให้เรียกกรรไกรตัดเล็บได้อย่างไร ไอ้ผมก็เรียกอย่างนี้มาตั้งแต่เด็ก เหมือนกัน หลังจากนั้นเป็นอันเข้าใจตรงกัน
ผมมีคนไข้คนหนึ่ง ชื่อลุง ไพรเวียง รักษาเบาหวานมาหลายปีแล้วครับ รักษานานจนกินยาเบาหวานชนิดเม็ดไม่ได้ผล แม้ขนาด maximum dose แล้ว fbs ยัง 300 – 400 mg% เลยต้องฉีดยา insulin ฉีดมาประมาณ 2 – 3 ปี บางช่วงมีปัญหา เดี๊ยว น้ำตาลก็สูง มาก ๆ ต่อมาอยู่ดี ๆ น้ำตาลต่ำเฉยเลย หมดสติมาหลายครั้ง เป็นอย่างนี้เรื่อยมา รักษากับอายุรแพทย์ก็หลายครั้ง ผมก็เป็นคนดูแลแกเองตอนอยู่ รพ. แต่ก็ไม่สามารถจะตามไปดูว่าแกใช้ชีวิตอย่างไร ปรับยาทีก็ต้องนัดเป็นอาทิตย์ เป็นเดือน กว่าจะเจอกันที บางทีก่อนจะเจอกัน มาadmit เสียแล้ว พอดีมาเจอแกที่ pcu ก็ได้โอกาสเสียที ผมได้มีโอกาสไปเยี่ยมบ้าน ได้คุยกับภรรยา คุยกับแม่ยาย สังเกตที่บ้านลุงไพรเวียง มีน้ำหวานอยู่ตามจุดต่าง ๆ ในบ้าน ที่ตระแกรงหน้ารถแกก็เอาน้ำตาลทรายมาวางไว้
<p> </p><p> </p><p>ระหว่างนั่งคุยกันอยู่ดี ๆ แกมองข้ามไหล่ผมตาลอย ๆ แล้วไม่พูดอะไรต่อ อยู่นิ่ง สักพัก บอก “ คุณหมอ ผมว่าน้ำตาลผมกำลังต่ำนะ “ เมียแกรีบเอาน้ำแดงข้นมาให้กิน 2-3 ช้อนแกง สักครู่ แกพูดได้ต่อ ให้ก้อย เจาะน้ำตาลดู ได้ค่า 62 mg% เมื่อเดือนก่อน ผมอ่านบันทึกเจอบันทึกของ เบาหวาน รพ.พุทธชินราช ( click ที่นี่ ) เรื่องของคุณลุงวิเชียร ถูกใจครับ ได้เอามาใช้ บอกลุงไพรเวียง ลองจด ดูซิว่ากินอะไรบ้าง ฉีดยาตอนไหน เอาละเอีดเลยนะ ว่ากินข้าวไปเท่าไหร่ แกบอก " ได้ " สัปดาห์ต่อมาแกเอาสมุดมาให้ดู ที่ pcu ครับ </p><p> </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ตรวจยาก็ฉีดถูกครับ เวลาก็ ok แถมกินน้อยมากครับ กินข้าว 3 ช้อนแกง กับป่นปลา เที่ยงกินกับปลาป่น เย็นกินข้าว 2 ช้อนแกง กับป่นเห็ด เช้ากินกับปลาป่น ป่นปลา ปลาป่น ป่นเห็ด เห็ดป่น อยู่อย่างนี้แหละครับ </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"> ผมว่า เอ ! ทำไมกินน้อยจัง สงสัยเข้าใจว่าคุมอาหารคืออดข้าวมั้ง แต่น้ำตาลก็สูง มั๊กมาก แกบอกว่าก็กินอย่างนี้มานานแล้ว เป็นอาหารในชีวิตประจำวัน ดูซิเนี่ยรักษากันมาหลายปี ทำไมไม่เคยรู้มาก่อนเลย </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">แกบอกว่า ปรกติกินข้าวเหนียว เดี๊ยวนี้เอาข้าวเหนียว 1 ส่วน ข้าวจ้าว 2 ส่วน วันไหนเบื่ออาหาร ก็กินแค่ 1 – 2 ช้อน วันไหน กินข้าวแซบ ( แปลว่า อร่อย ) กินได้มื้อละ 4 ช้อน ผมว่า โอ้ ! นี่ขนาดกินอร่อยนะเนี่ย มิน่า Hypoglycemia มาบ่อย ๆ เดี๊ยวสูง เดี๊ยวต่ำ อย่างนี้นี่เอง ! แต่เดียวก่อน ! ( เหมือน โฆษณา tv direct ชอบกล ทำนอง ซื้อตอนนี้แถม อีก หนึ่ง )</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">สัปดาห์ก่อน ไปเยี่ยมบ้านกับนักศึกษาพยาบาลที่จะทำงานที่ pcu ครับ พาไปเยี่ยมแกที่บ้าน นักศึกษา ถามว่า วัน ๆ กินยังไงจ๊ะลุง แกเอาช้อนกินข้าวให้ดู </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p> เดินไปตัก ข้าวให้ดู เป็นอย่างเนี้ยครับ</p><p></p><p> </p><p>จานนี้ 2 ช้อน ครับ จานนี้ 3 ช้อน คิดดู 4 ช้อนจะขนาดไหน </p><p></p> ผมต้องมาตั้ง สติ สตัง ใหม่ ต้องทบทวนกันใหม่อีกแล้ว ที่เข้าใจมาน่ะมันไม่ใช่อย่างที่คิด บ้านนี้ไม่ใช้ทัพพีตักข้าวครับ ใช้ช้อนเลย ที่แกเขียน 3 ช้อน มันเท่ากับ 3 ทัพพีใหญ่ ที่บ้านผมเลยครับ ภาษาพระเรียก สมมุติ สิ่งเคียวกันในธรรมชาติมันเกิดมันมีปรกติของมัน เราไปสมมุติมัน สมมุติไม่เหมือนกัน เพราะต่างความเป็นอยู่ ต่างกรรม ต่างวาระ จะไปยึดถือ ใครผิดใครถูกได้ลำบาก เรียก น้ำ เรียก water เรียก จุ๊ย มันก็อันเดียวกัน หมอจะไปบอกว่าแก พูดไม่ถูกก็ไม่ได้ ก็หมอพูดไม่เหมือนเขาเอง <hr>
พูดภาษาไทยเหมือนกัน คำว่า ช้อน ว่ามีด เหมือนกัน เวลาแปลความหมาย มันยังต่างกันพอสมควรทีเดียว สิ่งหนึ่งที่ นักสื่อสารสุขภาพ ที่ดี อย่างหนึ่งที่ต้องมีคือ การเป็นผู้ให้ที่ดี การรับฟัง และการถอดรหัสคำพูด ทั้งของตนเอง และผู้รับ ทุกวันนี้ผมก็ยังฝึกอยู่ งานสุขศึกษาประชาสัมพันธ์ที่ผมได้สัมผัสมา ( เฉพาะที่ได้สัมผัสมานะครับ ) เป็นการสื่อสารทางเดียว ซะส่วนใหญ่เลยครับ การรับ และการปรับเข้าหากันน้อยมาก ความสำเร็จที่ยั่งยืน ก็ยังไม่เกิด แต่เราก็ยังต้องเดินหน้าต่อไป
</span><p> </p>
ก๊าก เลยค่ะ
ช้อบ ชอบ ช้อนลุง
วันหลังใครถาม พี่จะบอก กินข้าวแค่ช้อนเดียวเท่านั้น
วันหนึ่งกินไม่ถึง 3 ช้อน เลยนะ เนี่ย
เป็นตัวอย่างที่ดีมากเลยค่ะคุณหมอจิ้น
พญ รวิวรรณ หาญสุทธิเวชกุล เมื่อ พฤ. 10 พฤษภาคม 2550 |
ตอนหลัง ผมกะว่าจะให้แกเขียนว่ากินกี่คำ ยังนึก ๆ อยู่เลยว่า คำของแก กับคำของผม มันจะเท่ากันหรือเปล่าเนี่ย
Ranee เมื่อ พฤ |
น่านนะซี ครับ
โรจน์ เมื่อ พฤ. |
อยากให้โรจน์ เอาเรื่องมาเล่าให้ฟังบ้างครับ
วัลลา ตันตโยทัย เมื่อ พฤ. 10 พฤษภาคม |
ขอบคุณครับอาจารย์
สวัสดีครับ
ป่นปลา ปลาป่น ป่นเห็ด เห็ดป่น
...เมนูอาหาร น่ารักดีคะ....คนไข้หมอ น่ารักด้วยคะ
บอกให้จดก็จดให้อ่านอย่างดี
เราเจออย่างนี้บ่อย ๆครับ
เพื่อนร่วมทาง เมื่อ พฤ. 10 พฤษภาคม |
การคุยกับคนไข้ หรือชาวบ้านให้รู้เรื่อง ต้องคุยกันให้เห็นของจริงๆ และไปดูการกระทำเขาจริงๆ ด้วยนะคะ
ใช่เลยครับพี่ นี่แหละประโยชน์ของการเยี่ยมบ้าน
kmsabai เมื่อ ศ. 11 |
อยากให้สุพัฒน์ หาเรื่องมาเล่าให้ฟังอีก
ใช่เลยครับ คนไข้ดีมากครับ พยายามปฏิบัติตัวดีมาก เพียงแต่มันยังคุมไม่ได้ กับสับสนนิดหน่อย
ขอบคุณ คุณหมอครับ
อ่านสนุก และได้เรียนรู้จากผู้ป่วยตลอดเวลา
ผมจะใช้ข้อสังเกตแบบคุณหมอ เวลาเจอคนไข้มั่งครับ
สวัสดีค่ะคุณหมอจิ้น ตามมาขอบคุณที่อนุญาตให้ใช้เรื่องนี้ไปใส่เป็นส่วนหนึ่งของหนังสือ "มหัศจรรย์ KMเบาหวาน"ค่ะ ที่จริงชอบอ่านที่คุณหมอเขียนมาก ตามอ่านมาระยะหนึ่ง ก่อนที่จะต้องเขียนหนังสือนี้เสียอีกค่ะ แต่ยังไม่เคยร่วมแสดงข้อคิดเห็น
วันนี้เพิ่งเขียนต้นฉบับเสร็จเรียบร้อย ได้อ่านแน่ในงานมหกรรมเบาหวานเดือนหน้าค่ะ
คุณนายดอกเตอร์ เมื่อ พฤ. 21 มิ.ย. 2550 |
ฟังเรื่องช้อนของอาจารย์ แล้วคิดถึงเรื่องโรตี ที่นราธิวาส
คนไข้เบาหวานเมื่อพยาบาลถามว่าปกติมื้อเช้าทานอาหารอะไรบ้างคะ
คนไข้ "กินโรตี"
ถามว่าเวลากินใส่น้ำตาล ใส่นมข้นหรือเปล่าคะ
คนไข้ "บางที่ก็ใส่บางทีก็ไม่ใส่"
แล้วเวลาที่ไม่ใส่ทานอย่างไรคะ
คนไข้ "บางทีมันมีใส้มะพร้าว ใส้สังขยาก็มี"
พยาบาลชักงง ทีแรกนึกว่าจะเป็นพวกมะตะบะ หรือพวกที่ทานกับแกงคล้ายน้ำจิ้มสะเต๊ะ
หรือว่ามะตะบะที่นี่มีไส้หลากหลาย เลยถามใหม่ "โรตีใส่ไส้ที่ว่าไช่มะตะบะหรือเปล่า"
คนไข้ "มะตะบะก็กิน แต่เขาขายตอนเย็นๆ"
เอาละมาถามเรื่องจำนวน ปริมาณ ต่อดีกว่า ท่าจะมีอีกเยอะ เวลาผ่านไปหลายวันมีประชุมของ รพ.พยาบาลถามน้องที่จัดอาหารว่างประชุมว่าวันนี้เลี้ยงอะไรจ๊ะ
น้อง "เลี้ยงโรตีกับนมเปรี้ยว"
นึกในใจว่าแปลกดีเพิ่งเคยทานโรตีเป็นอาหารว่างประชุม คงคล้ายๆกับพวกเดนิชที่เขาเลี้ยงๆกันก็ช่างคิดดัดเปลงไอเดียไม่เลว ชักอยากลองชิมอยู่เหมือนกัน พอประชุมเข้าจริงเจอขนมปังใส้สังขยาก็เลยถามน้องว่าอุตส่าดีใจเห็นว่าจะเลี้ยงโรตีแล้วไงเป็นขนมนี้หละ
น้อง "นี่แหละพี่เค้าเรียกโรตี"
เอ้าแล้วที่เป็นแผ่นบางๆกลมๆทอดกับมาการีนในกะทะแบนๆหละเรียกอะไร
น้อง"ก็เรียกโรตีเหมือนกัน"
แล้วยังมีอย่างอื่นอีกไหม
น้อง "ขนมส่วนใหญ่ก็เรียกโรตีทั้งนั้นแหละ"
เป็นงั้นไป นึกถึงคนไข้DMทันทีเลยวันหลังต้องซักใหม่แล้วไม่ได้การซะแล้ว
อ่านแล้วได้สติเยอะครับ
ทุกอย่างคือสิ่งสมมติ