การเกิดระเบิดที่ London ที่กลายเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลกเมื่อวานน่าตกใจมากครับ แต่หลังจากหายตกใจแล้ว ผมก็กลับมานั่งคิด คิดไปคิดมาก็ได้คำตอบที่ภาษาฝรั่งเรียกว่า conspiracy theory แปลเป็นไทยว่าทฤษฎีฝันเฟื่องก็ได้
จุดที่ทำให้ผมคิดก็คือ ทำไมระเบิดเกิดขึ้นหลังจาก London ถูกประกาศว่าได้เป็นเจ้าภาพโอลิมปิคฤดูร้อนต่อจากจีนแล้ว? ทำไมไม่ระเบิดก่อน? แสดงว่าผู้ก่อการร้ายกลุ่มนี้โดยลึกๆ แล้วมีความหวังดีต่อ London อยู่เหมือนกันโดยไม่อยากให้ London "เสียงาน" เนื่องจากถ้าระเบิดก่อน London ก็เสียงานโอลิมปิค เพราะแสดงว่ารักษาความปลอดภัยไม่ดี แต่เมื่อระเบิดหลังอย่างนี้ ก็ไม่เสียงาน แต่จะได้งานด้วยซ้ำ
ผมมองว่า "ได้งาน" เพราะผมทราบมาว่ามีคนอังกฤษต่อต้านการที่ทหารอังกฤษไปบุกประเทศอิรัคเยอะขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีการระเบิดอย่างนี้ คนอังกฤษกลุ่มที่ต่อต้านการบุกอิรัคนี้อาจจะกลับมาเห็นด้วยในการปราบก่อการร้ายด้วยการใช้กำลังทหารของอังกฤษในฐานะลูกน้องอเมริกาก็ได้ ถ้าได้ผลอย่างนี้จริงการระเบิดครั้งนี้ก็มีส่วนช่วยอังกฤษมากทีเดียว
วิธีอย่างนี้ไม่ใช่วิธีใหม่ ผมเองเคยเจอมาแล้ว สมัย Anthrax Virus บุกอเมริกาหลังจาก 9/11 นั่นไง ตอนนั้นผมยังเรียนหนังสืออยู่ จำได้ว่าช่วงนั้นคนแถวบ้าน (Baltimore, MD) จะเปิดกระป๋องเมล์กันทีนี่ถึงขั้นเอาเท้าเขี่ยกันเชียว ผมจำได้ดีว่าหลังจาก Anthrax ไปโผล่ที่โน่นที่นี่เป็นเวลาพักใหญ่โดยหาต้นตอไม่ได้ ในที่สุดอเมริกาก็สามารถผ่านกฎหมาย Patriot Act ซึ่งริดรอนสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงได้ หลังจากกฎหมายผ่านแล้ว Anthrax ก็หายเข้ากลีบเมฆไปในชั่วข้ามคืนไม่เคยก่อนความเดือดร้อนให้ชาวอเมริกันอีกเลย
ถ้าเดือนหน้ามีไวรัสอะไรสักอย่างโผล่ที่ London งานนี้ก็ "สูตรเดิม" ครับ
แล้วผู้ก่อการร้ายในประเทศไทยล่ะค่ะ เป็นที่รักของใครหรือเปล่า อาจารย์ลองวิเคระห์หน่อย
คุณ bact' วิเคราะห์ลึกซึ้งครับ ชัดเจนจากสถานที่เกิดเหตุอีกต่างหาก ผมเห็นด้วยครับ terrorist ยุคนี้ใช้สื่อ "เป็น" อย่างมาก
วันที่ 9/10 ผมยังอยู่ New York อยู่เลย ออกจาก New York เกือบเที่ยงคืนกลับถึง Baltimore ก็ตอนตีสอง ตื่นเช้ามาเปิด TV ก็เห็นถ่ายทอดสดเครื่องบินชนตึก รับอรุณ...
นี่ว่าจะ blog ประสบการณ์ชีวิตเสียหน่อย จะตั้งชื่อเรื่องอะไรดีนะ... "จาก 9/11 ถึง 3 จังหวัดภาคใต้ ธวัชชัยเจอมาหมดแล้ว" อะไรประมาณนี้ คอยอ่านนะครับ
อ่า บอกไว้ก่อน เดี๋ยวเข้าใจผิด ตอน 9/11 ผมนั่งดู (จริง ๆ ยืน) อยู่เมืองไทยครับ CNN (ชีวิตนี้ยังไม่เคยไปแผ่นดินใหญ่ของสหรัฐเลย)
ส่วนตอนที่ลอนดอนนี่ ผมอยู่ที่เบอร์ลินแล้วครับ เพื่อน text มาบอกตอนอยู่บนรถไฟตอนเช้า กำลังไปทำงาน กลับมาบ้านค่อยเปิดทีวีดู (แต่สองอาทิตย์ก่อนหน้านี้น่ะ ยังป้วนเปี้ยนอยู่แถวนั้นเลย กลับไปขนของที่เหลือ ก่อนวีซ่าจะหมด)
มีรุ่นน้องเรียนอยู่ UCL ห่างจาก Russell Square ไป .. 200 เมตรได้มั้ง มันบอกเพิ่งลงจากรถ ตรงป้ายใกล้ ๆ ที่ระเบิดน่ะ แค่ 15 นาทีก่อน ... หวิดตายเหมือนกัน -_-"
ตอนที่เพื่อนเพิ่ง text มาให้นี่ โทรหาคนที่รู้จักทุกคนในลอนดอนใหญ่เลย ปรากฏว่า โทรไม่ติดซักราย เน็ตเวิร์กล่ม -_-"
(ข้อควรจำ: ถ้าเกิดมีเหตุการอะไรแบบนี้ขึ้นมา ให้งดใช้โทรศัพท์ถ้าไม่จำเป็น เพื่อเปิดช่องสัญญาณให้คนอื่น / ถ้าอยู่ในบริเวณเกิดเหตุ ก็ให้รีบ ๆ โทรไปบอกคนทางบ้านด่วน ๆ แล้วให้เค้าช่วยบอกต่อคนอื่น ๆ ด้วย ว่าไม่ต้องเป็นห่วง และไม่ต้องโทรมาในช่วงนั้น)
แต่สื่อก็ออกมาชมเจ้าหน้าที่ว่าทำงานกันดีมาก รวดเร็ว และเป็นระบบ สมกับที่ได้มีการซักซ้อมอยู่บ่อย ๆ (ดู BBC เค้าบอกว่า โรงพยาบาล Royal London Hospital ตรงนั้นนี่ มีการประชุมทำความเข้่าใจเรื่องการรับมือเหตุฉุกเฉินทุก ๆ เดือน .. โห (โม้ป่าวเนี่ย))
พร้อม ๆ กับชมประชาชน ทั้งในที่เกิดเหตุ และผู้คนทั่วไปด้วย ว่ามีสติ ไม่ตื่นเต้นตกใจเกินกว่าเหตุ และให้ความร่วมมือปฎิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ดีมาก เหตุการณ์จึงไม่บานปลาย (อย่างกรณีรถไฟใต้ดินนี่น่ากลัว เพราะตรงสาย Piccadilly นั้น อยู่ลึกลงไปมากพอสมควร แล้วมันระเิบิดกลางทาง ไฟฟ้าดับ มืดหมด ถ้าผู้โดยสารตกใจเกินเหตุ ไม่ทำตามที่เจ้าหน้าที่แนะนำ ก็อาจจะเหยียบกันตายได้)
----
เห็นแล้วก็สะท้อนใจนิดหน่อย เพราะตอนที่รถไฟฟ้าใต้ดินที่เมืองไทยชนกัน กว่าเจ้าหน้าที่จะเข้าไปทำการช่วยเหลือได้ ก็กินเวลาไปมากกว่า 15 นาที :(
ไม่เป็นไร ของเราเพิ่งมี ค่อย ๆ ทำไปละกัน เอาใจช่วย
(แต่ระหว่างนั้นก็อย่าให้มีใครเป็นอะไรเลยนะ)
----
เมื่อเช้าพ่อโทรมา บอกว่า ไปไหนมาไหนก็ระวังตัวด้วยนะ
เราก็ อือ ๆ ไป เค้าก็เป็นห่วงแหละ
แต่ในใจก็คิด .... จะระวังยังไงล่ะ เฮ้ย ป๊า เค้าไม่ได้บอกล่วงหน้าเวลาจะระเบิด ! -_-"
----
เรื่อง blog ประสบการณ์ระทึกนี่ เอาเลยครับ อยากอ่านจากที่เกิดเหตุ :)