คนไม่เอาไหน


คนไม่เอาไหน

สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่าน หลังจากที่ได้ห่างหายไปนานพอสมควร ครั้งนี้ sundayweekly ได้นำบทความดีมามอบให้ท่านผู้อ่านอีกเช่นเคย บทความในครั้งนี้เป็นบทความที่เล่าถึงเรื่องราวของคำว่า “คนไม่เอาไหน” ไว้อย่างน่าติดตาม คนบางคนเป็น “คนไม่เอาไหน “ จริงหรือเปล่า

 

 

คนไม่เอาไหน

 ตาแก่แกชั่งเป็นคนไม่เอาไหนจริง ๆ เลย 

 

                เสียงบ่นจากคุณป้าแก่ ๆ คนหนึ่งซึ่งมีบ้านอยู่ติดกับบ้านผม เสียงบ่นของคุณป้าได้วิ่งผ่านสายลมล่องลอยมาจนเข้าสู่โสตประสาทหูของผมคนนี้ คนที่มีนิสัยอย่างรู้อยากเห็นในเรื่องของคนข้างบ้านอยู่เนื่อง ๆ  เสียงบ่นด่าที่ผมพอที่จะจับในความได้คือ คุณป้ากำลังว่าคุณลุงซึ่งเป็นสามีของแกว่า ตาแก่แกชั่งเป็นคนไม่เอาไหนจริง ๆ สิ้นสุดเสียงบ่นด่าก็เกิดความคิดขึ้นมาในหัวของผมว่า คุณลุงซึ่งเป็นสามีของคุณป้าเขาเป็น คนไม่เอาไหน จริง ๆ หรือเปล่า

                   คำว่า คนไม่เอาไหน ได้ถูกหยิบยกมาเป็นคำพูดที่ไว้ว่ากล่าวคนอื่น ๆ เสมอ หรือแม้กระทั้งผมเองยังเคยคำพูดที่ว่า คนไม่เอาไหนไปวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น ๆ เสมอ ๆ ก็น่าที่จะเป็นจริงอยู่ที่เวลาคนเราทำอะไรบางสิ่งที่ไม่ค่อยเป็นที่ชอบอกชอบใจของอีกฝ่าย เช่น พ่อแม่ส่งลูกไปเรียนหนังสือ ลูกเรียนได้เกรดไม่ถึง 3.00 พ่อแม่มักจะบ่นด่าลูกว่าเป็น คนไม่เอาไหน ซึ่งในสังคมไทยเราก็มักจะพบเห็นคำว่า คนไม่เอาไหน บนหน้าหนังสือพิมพ์อย่างหลากหลาย ที่มักวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลสม่ำเสมอว่า ไม่เอาไหน คงไม่แปลกหากหนังสือพิมพ์หัวสีอันโด่งดังหลายต่อหลายฉบับในเมืองไทย ณ เวลานี้จะวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ขิงแก่ ว่า ไม่เอาไหน

                 แปลกจริง ๆ คำว่า คนไม่เอาไหน ช่างถูกนำเอามาวิพากษ์วิจารณ์ บุคคลต่าง ๆ ในสังคมของเราสม่ำเสมอ กระนั้นแล้วยังแปลกอยู่ที่รัฐบาลขิงแก่ ซึ่งมีนายนาวาเป็นถึงพอเอก เป็นถึงอดีตผู้บัญชาการทหารบก เป็นถึงองคมนตรี ก็ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า ไม่เอาไหน จะแปลกก็ตรงที่ว่า อะไรคือคำนินามหรือนัยยะที่แท้จริงของคำว่า คนไม่เอาไหน 

                คนไม่เอาไหน ได้วนและเวียนเวียนและวนอยู่ในหัวผมเมื่อประมาณ 2 -3 อาทิตย์ที่ผ่านมา การที่คำว่า  คนไม่เอาไหนนั้นวนเวียนอยู่ในหัวผมย่อมทำให้ผมครุ่นคิดอย่างหนักว่า คนไม่เอาไหน เขาไม่เอาไหนจริง ๆ หรือ ยิ่งเมื่อได้มาเรียนศาสตร์ทางด้านปรัชญายิ่งทำให้ผมต้องคิดหนักต่อไปอีกว่า คนไม่เอาไหนเป็นจริงแน่แท้หรือเปล่า ถ้าเป็นเป็นโดยวิธีใด โดยเหตุผลอะไร หรือประสบการณ์ใด คงเป็นเรื่องราวที่น่างุนงงต่อไปว่าอะไรคือ คนไม่เอาไหน

               ความงุนงงจากคำว่า คนไม่เอาไหน ก็ยังคงวนเวียนอยู่ผมต้องหาทางออกโดยการคิด การค้นคว้า การหาความหมาย การใช้เหตุผล  ( ดูเหมือนว่าจะเป็นวิธีคิดตามแนวปรัชญาที่ได้เรียนมาประมาณนั้น )  จากการค้นคว้าหาข้อมูลยังทำให้เรื่องของคำพูดที่ว่า คนไม่เอาไหนยิ่งน่าจะมีนัยยะมากกว่าสิ่งที่ความหมายของคำ ๆ นี้ได้ปรากฏออกมา และคงเป็นโชคดีของผมที่บังเอิญได้มีโอกาสไปพบหนังสือเล่มหนึ่งมีชื่อว่า คนเล่นการเมือง แต่งโดยท่านอาจารย์ นรนิติ เศรษฐบุตร ซึ่งท่านได้แต่งไว้นานแล้ว ดูปีที่พิมพ์ครั้งแรก ปี 2521 และพิมพ์ครั้งที่ 2 ปี 2537 และ ผมได้เปิดดูบันทึกยืมหนังสือครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2541 นานมาก ๆ เปิดอ่านไปเพลินไป เปิดเจออยู่บทหนึ่งท่านอาจารย์ นรนิติ ท่านได้เขียนเรื่อง คนไม่เอาไหน ไว้อย่างหน้าคิดน่าติดตาม  

 เขียนไว้ดังนี้ / นรนิติ                       

                     เชียร์ เชียร์ เชียร์.... พวกเราเชียร์....เชียร์ เสียงนิสิตนักศึกษาทั้งชายและหญิงจำนวนเป็นร้อย ๆ ของสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาแห่งหนึ่ง กำลังตะเบ็งเสียงฝึกหัดร้องเพลงเชียร์อยู่ในห้องเรียน เมื่อเวลาสายของวันเปิดเรียนตามปกติ ประธานเชียร์ตัวเล็กเสียงดังเจ้าของฉายา   ประทัดจีน ยืนร้องอยู่หน้าห้องเรียน

                 ทะนง ชอุ่มพันธ์ เห็นเข้าแล้วให้นึกเบื่อสภาพมหาวิทยาลัยขึ้นมาทันที อะไรกัน นี่หรือสถาบันการศึกษาที่เรียกกันว่ามหาวิทยาลัยขึ้นมา ที่เขาได้พยายามตะเกียกตะกายสอบเข้ามาด้วยความลำบาก มีการหัดร้องเพลงเชียร์ลั่นตึกเรียน ในขณะที่เป็นเวลาเรียนอย่างนี้เองหรือ

                  ดังนั้นรุ่นพี่สองสามคน เดินเข้ามาบอกให้เขาเข้าไปหัดร้องเพลงเชียร์กับเพื่อน ๆ เขาจึงตอบปฏิเสธไปด้วยคำสั้น ๆ แต่ก็สวยในความหมายว่า “ไม่หรอกครับ ผมมาเรียนเพียงเสียงพูดเท่านี้ก็ทำให้รุ่นพี่ทั้งสามตกตะลึง เพราะไม่นึกว่ารุ่นน้องหน้าไหนจะกล้าขัดคำสั่ง คนหนึ่งในสามคนทำเป็นเจ้าโมโห ถึงขนาดจับคอเสื้อของทะนง ดีว่าใครต่อใครที่มีความเป็นพี่จริง ๆ ห้ามเอาไว้เรื่องจึงไม่เกิด ไม่งั้นคงเจ็บตัวด้วยกันทั้งสองฝ่าย เพราะทะนงตัวใหญ่กว่าพี่ที่อวดนักเลง

             ตั้งแต่วันนั้นมาทะนงก็ถูกรุ่นพี่เป็นจำนวนมากในคณะเขม่น เพราะเป็นคนหัวแข็งเถียงรุ่นพี่ แต่ก็ยังไม่มีใครกล้าทำอะไรทะนง ด้วยคนตัวสูงใหญ่อย่างทะนง ไม่ใช่หมูที่ใครจะหวังข่มเล่นง่าย ๆ อย่างมากที่รุ่นพี่เหล่านั้นกล้าทำก็คือขนานนามทนงว่า คนไม่เอาไหน 

                ความไม่เอาไหน ในสายตารุ่นพี่ ได้รับการเห็นห้องจากเพื่อนร่วมรุ่นกับทนง ก็เมื่อมีรายการกินเหล้า และเต้นรำในวันสังสรรค์รุ่นนักศึกษาชายในคณะของเขา ได้รับการกรอกหูจากผู้ที่มีโอกาสเข้ามาเรียนก่อนสักปีสองปีว่า “การดื่มสุรานั้นเป็นลักษณะอันยิ่งยงของผู้ชาย  และปรากฏว่าเพื่อร่วมรุ่นหลายคนเชื่อถือในคตินี้ ถึงขนาดตกเย็นต้องไปหาเป็นต้องไปหาเงินมาซื้อเหล้าดื่มกินให้เมา เพื่อแสดงว่าตนเป็นชายที่ลิ้นไก่สั้น

                   ครั้งอยู่ปี 2 พ้นสภาพการเป็นน้องกลายเป็นพี่ลำดับที่ 3 ของคณะ พี่ใหญ่นั้นเป็นพวกปี 4 และพี่รองลงมาก็เป็นของพวกปีที่ 3 พวกปี 2 นั้นเป็นพวกพี่ที่อาวุโสอยู่ในอันดับรองที่สุด แต่ก็ยังเป็นรุ่นพี่ คราวนี้ทะนงไม่ได้ถูกรุ่นพี่หรือเพื่อนร่วมรุ่นกล่าวหา พวกที่ว่าทะนงไม่เอาไหนได้แก่พวกน้องใหม่นั้นเอง

               เวลาล่วงเลยไปประมาณเดือนเศษ เช้าวันหนึ่งของเดือนสิงหาคมนักศึกษาร่วมมหาวิทยาลัยหลายคนได้จับกลุ่มคุยกันวิจารณ์ถึงเรื่องที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้รับงบประมาณน้อยมาก การจับกลุ่มวิจารณ์เรื่องงบประมาณไม่เพียงพอ ไดขยายวงกว้างตามลำดับ ในที่สุดนักศึกษาได้นัดแนะไปพบกันที่ตึกรัฐสภาในวันที่ประชุมรัฐสภาตอนสายของวันนั้น ฝ่ายบริหารประเทศเข้าไปร่วมประชุมสภากับฝ่ายนิติบัญญัติได้ไม่ทันครึ่งชั่วโมงเจ้าหน้าที่สภาก็กระหืดกระหอบเข้าไปรายงานให้ทราบว่า นักศึกษาเดินขบวนจะเรียกว่าเดินขบวนหรือไม่ก็ตามแต่ภาพที่ออกที่มาคือมีนักศึกษาจำนวนประมาณ 2,000 คน

             เวลาผ่านไปไม่นานผู้มีอำนาจฝ่ายบริหารและสภานิติบัญญัติก็ออกมาพบนักศึกษา ตัวแทนนักศึกษาที่อยู่ข้างหน้าได้กล่าวแทนพรรคพวกว่า มหาวิทยาลัยตนได้รับงบประมาณน้อยมากไม่พอจะทะนุบำรุงการศึกษาในมหาวิทยาลัยให้เจริญ เมื่อเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ รัฐก็ต้องบำรุงรักษา ท่านผู้ทรงเกียรติในรัฐสภาก็ได้ตอบกลับมาอย่างนุ่นนวลว่าทางฝ่ายบริหารได้พิจารณางบประมาณอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียมแล้ว หากใครมีเอกสารหลักฐานว่าทางมหาวิทยาลัยของคุณได้รับงบประมาณไม่เป็นธรรมก็ขอส่งผมมาให้

                มีเสียงผู้ชายอันอ่อนน้อมพูดขึ้นมาว่า กระผมขอยืนยันว่าทางมาวิทยาลัยของเราได้รับงบประมาณน้อยกว่าที่อื่นซึ่งเรียนเหมือนกัน อย่างเช่นคณะที่เรียนแขนงเดียวกันของมหาวิทยาลัยกระผม ได้รับเงินเพียง 1 ล้านเศษมีนักศึกษาถึงประมาฯ 5 พันคน เมื่อเทียบกับมหาวิทยาลัยอื่นซึ่งมีนักศึกษาเพียงพันกว่าคน แต่ได้รับเงินตั้ง 8 ล้านเศษ เรื่องนี้ถ้าไม่ใช่ความผิดพลาดตอนพิจารณา ก็เป็นเรื่องที่ทางมหาวิทยาลัยของกระผมวิ่งเรื่องงบประมาณไม่เป็น ดังนั้นพวกของผมจึงต้องมาเดินของงบประมาณเองครับ

              การเรียกร้องของบประมาณเพิ่มผ่านไป การพิจารณางบประมาณก็มีผลเปลี่ยนแปลง มหาวิทยาลัยได้รับเงินเพิ่มอีกไม่น้อย เพราะรัฐบาลเห็นว่าควรจะเพิ่มจริง ๆ ที่คณะรุ่นพี่ และรุ่นน้องไม่มีใครคิดว่าทะนงเป็นคนไม่เอาไหนอีกแล้ว แทบทุกคนชมทนงเป็นคนเก่ง ค้นหาหลักฐานพร้อมเพรียง มีเสียงหลายเสียงในคณะบอกว่า ปีหน้าให้สมัครเป็นหัวหน้าคณะจะได้เป็นแน่ แต่บางคนว่าระดับคณะน้อยไปควรสมัครเป็นประธานนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเพราะนักศึกษาคณะอื่นก็ชื่นชม แต่ทะนงกลับไม่เห็นด้วย โดยทะนงกล่าวว่า พวกเรามันแปลก เพียงผมหน้าที่นักศึกษาธรรมดาคนก็เห็นเป็นวีรบุรุษ ถ้าเห่อกันง่าย ๆ แบไฟไหม้ก้านไม้ขีดอย่างนี้ ก็คงเบื่อกันง่าย ๆ และจะได้วีรบุรุษโผล่ขึ้นมาเกลื่อนไปเท่านั้น ผมไม่เป็นอะไรทั้งนั้นผมก็เป็นแค่นายทะนงเท่านั้นเอง

                   พอผมได้อ่านเรื่องนี้จบผมก็ได้พบถึงความหมายอันลึกซึ้งของคำว่า คนไม่เอาไหน เป็นอย่างไร ก็เป็นเรื่องที่แปลกที่บางครั้งเราทำอะไรแปลกเรามักถูกมองว่าเป็น คนไม่เอาไหน แต่พอเราทำอะไรที่เป็นเรื่องปกติวิสัยที่เราควรจะทำก็กลับกลายเป็นวีรบุรุษ กลายเป็นคนเอาไหนขึ้นมา  

               

              ผมจึงได้นำเอางานเขียนของท่านอาจารย์นรนิติ มาวิเคราะห์เพื่อคลายความสงสัยในหัวของผมเรื่องความหมายที่แท้จริงของคำว่า คนไม่เอาไหน ความลุ่มลึกของคำว่า คนไม่เอาไหน ช่างละเมียดละไมเหลือเกิน หากเราได้ลองนั่งตรึกตรองดูอย่างหลายหลายด้าน ซึ่งจะทำให้เราได้พบว่าวันหนึ่งเราเดินออกจากรอบบางอย่างที่สังคมกำลังก้าวเดินอยู่ เราอาจกลายเป็น คนไม่เอาไหน แต่บางครั้งการเดินออกนอกกรอบเพื่อไปหาสิ่งที่ใหม่กว่าก็อาจจะดีกว่าสิ่งที่สังคมเคยยอมรับมา จาก คนไม่เอาไหน อาจกลายมาเป็น คนเอาไหน

                ก็คงจะไม่ผิดหากครั้งหนึ่งพวกนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังอย่าง อริสโตเลิล เพลโต รุสโซ วอแตร์  จะถูกพวก คริสตจักรมองว่าเป็น คนไม่เอาไหน  เพราะไม่ยอม เอาไหน เหมือนที่คริสตจักรที่พร่ำสอนแต่ความจริงที่พิสูจน์มิได้ ความจริงสูงสุดคือพระเจ้า ก็เพราะความจริงของพวกนักวิทยาศาสตร์ที่ได้ค้นพบในเวลาต่อเป็นความจริง เป็นเรื่องราวที่พิสูจน์ได้ จวบจนมาถึงทุกวันนี้ วันนี้เราทุกคนก็ยังคงเรียนเรื่องราวความจริงที่พวกนักวิทยาศาสตร์ที่ถูกตราหน้าว่าเป็น คนไม่เอาไหน  และพอพ้นยุคมือไปแล้ว พวกนักวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ เหล่านั้นกลับกลายเป็น นักปรัชญาเป็นนักวิทยาศาสตร์ นักรัฐศาสตร์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก   

                 ถึงกระนั้นคำว่า คนไม่เอาไหน มิได้สะท้อนถึงการเดินทางที่ออกนอกกรอบเท่านั้น หากแต่ยังสะท้อนถึงเรื่องราวการบ่งบอกว่า ถึงความงดงามแห่งการอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นเรื่องที่น่าคิดว่า คนไม่เอาไหน เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนจริงหรือเปล่า ก็อาจจะเป็นจริงถ้าเรายืนอบยู่บนแง่มุมดังนี้ คือการที่เรายอมรับในคำดุด่าว่ากล่าวว่าเราเป็น คนไม่เอาไหน เมื่อเราเป็น คนไม่เอาไหน เราจะพยามที่จะกระทำตัวของเราให้เป็น คนเอาไหน อยู่ตลอดเวลา

                      ในสังคมไทยก็มีคนไม่เอาไหนหลากหลายคน เช่น ฯพณฯท่านนายกรัฐมนตรี พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ท่านก็เป็นคนไม่เอาไหน ไม่เอาไหนจนถูกโยกย้ายเป็นที่ปรึกษากองทัพบก ไม่เอาไหนจนได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 24 ของประเทศไทย หรือจะเป็นท่านอาจารย์นรนิติ เศรษฐบุตร ท่านไม่เอาไหนจนได้เป็นประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ ปี 2550 ขนาดไม่เอาไหนยังได้เป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่ถึงกระนั้นแล้วผมก็มิอาจทราบได้ว่าเสียงบ่นของคุณป้าข้างบ้านผมที่ว่าคุณลุงซึ่งเป็นสามีของแกว่า คนไม่เอาไหน นั้นจะเป็นจริงหรือเปล่า คุณลงแก่อาจจะไม่เอาไหน นับตั้งแต่ 50 ปีที่ผ่านมา ซึ่งคุณลุงกับคุณป้าก็ยังไม่มีลูกเลย ส่วนตัวผมเองก็คงอยากที่จะเป็น คนไม่เอาไหน เพื่อสักวันหนึ่งผมจะเป็น คนเอาไหน อย่างใครต่อใครหลาย ๆ คน 

 

 

 

คำสำคัญ (Tags): #คนไม่เอาไหน
หมายเลขบันทึก: 92204เขียนเมื่อ 24 เมษายน 2007 14:07 น. ()แก้ไขเมื่อ 9 เมษายน 2012 21:58 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

 

    ยังงี้แหละครับ คน

     ถ้าได้ตามที่ตัวเองคิดก็ว่าดี

     ถ้าเขามีความคิดเป็นของตัวเองก็หาว่าหัวแข็ง

    

      ว่าแต่ว่า ไม่เอาไหน  ไม่เอาอ่าว  ไม่เอาถ่าน 

       คำเหล่านี้ มีความเป็นมาอย่างไรหรือครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท