การเสียเบี้ยประกัน ก็ไม่ต่างอะไรกับต้องซื้อบ้าน ซื้อรถ จ่ายค่าเทอมการศึกษา คือหมายถึง เป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องจ่าย อย่าเสียดาย
ผมเคยพูดถึงการทำประกันภัยรถชั้น 1 ในตอน "ลางสังหรณ์ตลอดมา" ว่าได้เลือกทำประกันแบบให้สิทธิ์เงินชดเชยค่าความคุ้มครองรักษาพยาบาล และเสียชีวิตหรือทุกพลภาพ รายการละ 100,000 บาทรวมเป็นเงิน 200,000 บาท ซึ่งถือว่าเป็นการประกันรูปแบบหนึ่ง
พอพูดเรื่องประกันนะครับ ทำให้ผมอยากจะแบ่งปันประสบการณ์เรื่องนี้ให้ต่างคนต่างวิเคราะห์กันเอาเอง ผมขอให้คนที่ยังมีโอกาสจะทำประกันได้ ทุกรูปแบบ เช่น ประกันชีวิต(สำคัญมาก) ประกันภัยรถ ประกันภัยบ้าน ประกันการขนส่ง หรืออื่นๆ ให้มองว่า
การเสียเบี้ยประกัน ก็ไม่ต่างอะไรกับต้องซื้อบ้าน ซื้อรถ จ่ายค่าเทอมการศึกษา คือหมายถึง
เป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องจ่าย อย่าเสียดาย
ทุกวันนี้ ผมอยากจะทำประกันอะไรก็ไม่ได้ เพราะเป็นทุกพลภาพ จึงอยากให้ทุกคนให้ความสำคัญเรื่องนี้
งั้นขอเข้าเรื่อง
"สิทธิ์กรมธรรม์ประกันภัยรถชั้น 1" นะครับ
หลังจากที่ผมไปอยู่ห้องพิเศษได้ประมาณ 3 สัปดาห์ทางเราได้พยายามติดต่อไปที่บริษัทประกันภัยรถ และให้ทางโรงพยาบาลประสานงานให้ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น ถ้าจำไม่ผิด มีการจัดลำดับขั้นตอนการทำเรื่องหักค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาลตามลำดับดังนี้
1. เงินจาก พรบ.คุ้มครองผู้ขับขี่หรือประสบเหตุ จำนวน 50,000 บาท
2. เงินจากความคุ้มครองรักษาพยาบาล ประกันภัยรถชั้น 1 จำนวน 100,000 บาท
3. เงินชดเชยจากประกันสังคม
ปรากฏว่าในส่วนของเจ้าหน้าที่ประกันภัยรถ วิเคราะห์ว่า (อาจจะเป็นประสบการณ์ส่วนใหญ่ของเขาก็ได้) การที่ผมเกิดอุบัติเหตุ ช่วงเวลา ตี 4 กว่าๆ นั้นใกล้เคียงกับ คนที่ไปกินเหล้า เมายา ตามสถานเริงรมย์ แล้วเกิดเหตุขณะกำลังเดินทางกลับ หรือจะไปไหนต่อก็ไม่รู้
จึงพยายามซักถามถึงการดื่มเหล้า ซึ่งผมก็ยืนยันไปว่า ผมไม่ดื่มเหล้า ไปตรวจสอบดูได้ ทั้งที่ทำงาน ที่มหาวิทยาลัย หรือที่โรงเรียน รู้สึกว่า เขาจะไปตรวจสอบที่ ที่ทำงานด้วย
มาเยี่ยมผมอีกรอบ ก็ยังคงพูดเรื่องนี้อีก บอกผมว่าทำไมถึงย้ายจากโรงพยาบาลที่ 1 มา มีอะไรรึเปล่า (คงจะประมาณว่า ที่แรกไม่สนิท ที่ที่ 2 สนิทด้วย แล้วจะมาปกปิดเรื่องการดื่มเหล้าให้หรือเปล่า)
ผมโกรธเลยครับ แต่พูดดังไม่ได้ เจ็บคอ ทำอะไรก็ไม่ได้ หมายถึงจะออกท่าทางก็ไม่ได้ นอนนิ่งๆ ขยับได้นิดหน่อย เพราะเขายังพูดในลักษณะว่าทำไม ไม่มีรายงานว่าผมไม่ได้ดื่มเหล้า จึงบอกเขาไปว่า เขาทำงานมานานแล้ว ถ้าดื่มเหล้า โรงพยาบาลก็จะบันทึกไว้ ถ้าไม่มีบันทึกก็แสดงว่าไม่ได้ดื่ม
ผมคิดเอาเองว่า ไหนๆ ก็ต้องจ่าย เลยลองมาแหย่ๆ ดูเท่านั้น เผื่อฟลุ๊ค คงไม่มีอะไรมาก
เมื่อถามถึง เงินชดเชย เพราะทราบแล้วว่าผมเป็นทุกพลภาพ เขาว่าต้องทำเรื่องอีก คงไม่ใช่ตอนนี้ที่จะชดเชยให้ (เรื่องนี้ผมขอพูดถึงเลยละกัน เงินส่วนี้ผมต้องทวงถามหลังเกิดเหตุถึง 2 ปีจึงได้ ช่วงแรกบ่ายเบี่ยงด้วยซ้ำ แต่เพราะผมอ้างอิงว่าจะทำหนังสือร้องเรียน ไปที่กรมการประกันภัย ตามคำแนะนำของเพื่อน เขาถึงกับรีบทำเรื่องให้เรียบร้อย เพราะเพื่อนผมบอกว่าถ้ากรมการประกันภัยเอาเรื่อง อาจถูกปิดบริษัทได้)
จะเห็นว่าในบางเรื่องที่ใกล้ตัวเรา ก็จำเป็นต้องเรียนรู้ในระยะสั้นด้วย เพื่อจะได้ไม่ถูกเอาเปรียบ และเป็นการรักษาสิทธิ์ของเราด้วย
หมดเรื่องเงินๆ ทองๆ ไปอีกเรื่อง ส่วนเรื่องการชดเชยจากเงินประกันอุบัติเหตุ ของ AIA และ ไทยาพาณิชย์ คงจะกล่าวถึงอีกทีตอนที่ย้ายไปโรงพยาบาลพญาไท 1 เพราะได้รับสิทธิ์ช่วงนั้น
ผมลืมไปอีกเรื่องหนึ่งฝากไว้เป็นข้อคิด ก็คือเรื่อง พรบ. กับประกันภัยรถชั้น 1 เราควรจะทำพร้อมกัน เอ! ไม่ใช่ครับ ไม่จำเป็นต้องทำพร้อมกัน แต่ควรทำบริษัทเดียวกัน เผื่อว่าถ้าเกิดเรื่อง(หมายถึงทุกเรื่องที่ต้องเครม หรือบังเอิญมีผู้ประสบภัย) ก็จะทำให้เดินเรื่องง่ายขึ้น สะดวก เรื่องนี้เป็นเรื่องปลีกย่อย แต่ถ้าทำได้ ก็ถือว่าดีกว่าไม่ทำครับ
คราวต่อไปอยากขอพูดถึง การทำกายภาพบำบัด ที่พัฒนาขึ้น หมายถึงผมต้องทำมากขึ้นครับ
ขอบคุณครับ
ปรีดา ลิ้มนนทกุล
mobile : 089-6910225
Tel. & Fax.: 02-9232724
email :
[email protected]