นับตั้งแต่มีการระบาดของไวรัสเอดส์มาประมาณ 20 ปี (2 ทศวรรษ) ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีการคัดกรองเลือดตลอดกระบวนการอย่างเข้มงวดที่สุด
- การให้เลือดเพื่อการรักษาโรคมีตั้งแต่ปี 2338
นับจนถึงปีนี้ (2548) ก็ครบ 210 ปีพอดี
สมาคมคลังเลือดอเมริกัน (American
Association of Blood Banks / AABB) รายงานว่า
นับตั้งแต่มีการระบาดของไวรัสเอดส์มาประมาณ 20 ปี (2
ทศวรรษ)
- ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีการคัดกรองเลือดตลอดกระบวนการอย่างเข้มงวดที่สุด
ตั้งแต่การคัดกรองผู้บริจาค การตรวจเลือด การเก็บเลือด
จนถึงการให้เลือด
- คนอเมริกันต้องการเลือดมากกว่า 4 ล้านคนต่อปีจากประชากรกว่า 200
ล้านคน
ความเสี่ยงจากการรับเลือดที่ยังมีอยู่ในอเมริกาแม้จะน้อยมากก็ยังมีอยู่
ถ้าใครต้องการลดความเสี่ยงจากการรับเลือดของคนอื่น
และต้องเข้ารับการผ่าตัดชนิดรอได้ (elective surgery)
ขอแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ และคลังเลือด
เพื่อขอเก็บเลือดตัวเองไว้เป็นเลือดสำรอง (autologous blood
transfusion)
- ถ้าเก็บเลือดตัวเองสำรองไม่ได้ก็อาจจะขอเลือดญาติพี่น้องที่
“ไว้ใจได้” สำรองไว้ก่อน
ความเสี่ยงในเรื่องการรับเลือดนี้คล้ายกับความจริงในเรื่องอื่นๆ
ของชีวิตคือ “ไม่มีอะไรที่ไม่เสี่ยง”
เพียงแต่ทำอย่างไรความเสี่ยงนั้นจะน้อยพอที่จะยอมรับได้หรือไม่เท่านั้นเอง
- ก่อนให้เลือดทุกครั้ง...
แพทย์ย่อมพิจารณาความจำเป็นตามหลักวิชาการแล้ว เช่น อุบัติเหตุตกเลือด
การรักษามะเร็ง ฯลฯ
ถ้าไม่ให้เลือดอาจจะมีความเสี่ยงตายสูงมาก
หรือทำให้การรักษาไม่ได้ผล ฯลฯ แพทย์เห็นข้อดีมากกว่าข้อเสีย
จึงตัดสินใจให้เลือด
- ผู้เขียนเคยได้รับคำบ่นจากพยาบาลโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
ซึ่งเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลเป็นผู้บริจาคขาประจำ (frequent donors)
จำนวนมาก โดยเฉพาะพยาบาลจะบริจาคกันมาก
ญาติคนไข้บางคนต่อว่าโรงพยาบาลว่า ทำไมไม่หาเลือดมาให้พอ
ความจริงญาติคนไข้ก็ควรมีส่วนในการหาเลือดบริจาคด้วย
เพราะคนไข้ส่วนใหญ่ไม่ได้รับเลือด 1 ถุงหรือ 1 หน่วย
แต่รับเลือดกันคนละหลายๆ ถุง
- ญาติที่ชอบบ่นส่วนใหญ่จะไม่ยอมบริจาคเลือด ผู้เขียนพบมาแล้วหลายคน
มีทั้งลูกที่ไม่ยอมบริจาคให้พ่อแม่
สามีภรรยาที่ไม่ยอมบริจาคให้อีกฝ่ายหนึ่ง
ญาติที่ไม่ยอมบริจาคให้ญาติ
เวลาไม่มีเลือดก็ไม่ควรมาโทษโรงพยาบาล
เพราะโรงพยาบาลที่มีคลังเลือดเปิดรับบริจาคทุกวันราชการ
โรงพยาบาลบางแห่งเปิดรับในวันหยุด เช่น วันเสาร์ ฯลฯ
หรือรับบริจาคตอนเย็นนอกเวลาราชการ เพียงแต่ผู้บริจาคยังมีน้อย
ไม่พอกับคนรับเลือด
- ส่วนเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่วนหนึ่งก็บริจาคเลือดเป็นประจำอยู่แล้ว
จึงขอเชิญชวนทุกท่านมาช่วยกันบริจาคเลือด ซึ่งจะได้ชั่งน้ำหนัก
วัดความดันเลือด ตรวจหาความเข้มข้นของเลือด
และไดัตรวจคัดกรองเชื้อโรคหลายอย่าง
ความเสี่ยงของการรับเลือดในอเมริกามีดังต่อไปนี้ครับ...
-
ไวรัสหลายชนิดรวมกัน:
โอกาสได้รับเชื้อไวรัสเอดส์
(HIV) ตับอักเสบซี (HCV) ตับอักเสบบี (HBV)
และไวรัสกลุ่มใกล้เคียงกับไวรัสเอดส์ (HTLV-1 /
ไม่ใช่ตัวเดียวกับเอดส์) ประมาณ 1:34,000 ต่อเลือด 1 หน่วย โดยร้อยละ
88 เป็นไวรัสตับอักเสบบี และตับอักเสบซี
- เอดส์:
โอกาสได้รับเชื้อไวรัสเอดส์ (HIV) ประมาณ
1:450,000 – 1:676,000 ต่อเลือด 1 หน่วย ปัจจุบันมีการตรวจแน็ต (NAT /
nucleic acid amplification test) ทำให้ตรวจสายพันธุ์หรือ DNA
ของไวรัสได้โดยตรง ทำให้โอกาสพลาดลดลง
เดิมถ้าผู้บริจาคติดเชื้อมาจะต้องใช้เวลา 20-80 วันกว่าจะตรวจพบ
ปัจจุบัน NAT มีส่วนทำให้ตรวจพบได้เร็วขึ้น
- ตับอักเสบซี:
โอกาสได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบซี (HCV) ประมาณ
1:103,000 ต่อเลือด 1 หน่วย ปัจจุบันมีการตรวจสายพันธ์หรือ DNA
ของไวรัสโดยตรง (NAT) ทำให้โอกาสพลาดลดลง
- ตับอักเสบบี:
โอกาสได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (HBV) ประมาณ
1:63,000 ต่อเลือด 1 หน่วย
- ซิฟิลิส:
โอกาสติดซิฟิลิสจากเลือดน้อยมาก
เนื่องจากมีการตรวจคัดกรอง และมีการเก็บเลือดแช่เย็น
อุณหภูมิที่ต่ำมากในตู้แช่ทำให้เชื้อซิฟิลิสตาย
- แบคทีเรีย:
โอกาสปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียพบน้อยมากในการรับเม็ดเลือดแดงประมาณ
1:1,000,000 หรือ 1 ในล้าน เนื่องจากมีการเก็บเลือดแช่เย็น
ทำให้แบคทีเรียเจริญเติบโต หรือแบ่งตัวได้น้อยมาก
ความเสี่ยงในการรับเกล็ดเลือดมากกว่าเม็ดเลือดแดงประมาณ 1:10,000
เนื่องจากการเก็บรักษาเกล็ดเลือดต้องเก็บไว้ที่อุณหภูมิห้อง (25
องศาเซลเซียส) ไม่ได้แช่เย็น
- เชื้ออื่นๆ:
โอกาสติดเชื้ออื่นๆ
เช่น วัวบ้า(Creutzfeldt-Jakob disease) ไวรัสซีเอ็มวี
(cytomegalovirus / CMV) ฯลฯ มีน้อยมาก
ส่วนมาลาเรียจะแปรตามพื้นที่ที่ผู้บริจาคอาศัยอยู่
- โอกาสติดเชื้ออื่นๆ เช่น
วัวบ้า(Creutzfeldt-Jakob disease) ไวรัสซีเอ็มวี (cytomegalovirus /
CMV) ฯลฯ มีน้อยมาก
ส่วนมาลาเรียจะแปรตามพื้นที่ที่ผู้บริจาคอาศัยอยู่
-
เม็ดเลือดแตก:
ภาวะเม็ดเลือดแตก
(hemolytic transfusion) พบประมาณ 1:33,000
ภาวะนี้อาจมีอันตรายถึงชีวิต และมีอัตราตายเท่ากับ 1:300,000 –
1:700,000
-
ไข้หนาวสั่น:
ภาวะนี้อาจเกิดจากสารเคมีบางอย่างในเลือด
(inflammatory cytokines) โอกาสเกิดภาวะนี้มีประมาณ 1 %
ของการรับเม็ดเลือดแดง และ 10-30 % ของการรับเกล็ดเลือด
- น้ำท่วมปอด:
น้ำท่วมปอด (transfusion-related acute lung
injury)
หรือของเหลวในเลือดรั่วเข้าไปในปอดและเยื่อหุ้มปอดเป็นภาวะที่พยากรณ์ล่วงหน้าไม่ได้
ในอเมริกาพบประมาณ 40,000 รายต่อปี
แหล่งข้อมูล: