ตราสารทุน การออมที่แสนตื่นเต้น 2


ใครว่าคนจนเล่นหวย คนรวยเล่นหุ้น

    ผมไม่ได้มาเพิ่มบันทึกใน blog นี่เสียเนิ่นนาน เพราะมัวไปเขียนบันทึกอื่นเสียมาก เลยห่างหายไปกับเรื่องการลงทุน

    อาจจะเพราะตลาดหุ้นช่วงนี้ซบเซา บันทึกใน blog นี้เลยพรอยซบเซาไปกับเค้าด้วย อิอิ แต่ความจริงเพราะผู้เขียนไม่ค่อยมีเวลาต่างหาก และลืมเรื่องการลงทุนไปซะสนิทใจ

   วันนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการเล่นหุ้นต่อ เพราะเนื่องจากไปแวะเวียนในหลายๆบันทึก มักมีคนตั้งข้อสงสัยกับชื่อ "นักลงทุนเงินน้อย" และเมื่อมาอ่านในบันทึกอื่นๆของผมก็พบว่า ผมลงทุนในหุ้นด้วย เลยยิ่งสงสัยว่าจะมีเงินน้อยได้อย่างไร

   คำตอบของผมคือ ผมมีเงินน้อยจริงๆ แต่ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์หรือตลาดหุ้นไม่จำเป็นต้องมีเงินเป็นแสนเป็นล้าน ก็สร้างผลตอบแทนให้คุณได้มากกว่าดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ได้แล้วครับ

   วันนี้เลยจะเล่าว่าเราจะลงทุนในหุ้นได้อย่างไร เอาแบบง่ายๆ และลูกทุ่งหน่อย เพราะอ่านในเวปทางการต่างๆของตลาดหลักทรัพย์แล้วบางท่านอาจจะงง มาเริ่มเลยดีกว่านะครับ

  1. ก่อนเราจะเริ่มลงทุนในหุ้น คงต้องถามตัวเองก่อนเลยนะครับว่า เรายอมรับความเสี่ยงได้ขนาดไหน ขนาดที่ว่าเงินที่ลงทุนไปอาจไม่ได้คืนกลับมาเลย ยอมรับได้หรือเปล่า ถ้ายอมรับได้ก็ลุยข้อ 2 ครับ

  2. สำรวจเงินที่คุณมี และแบ่งออกมาลงทุน โดยแบ่งเงินที่คุณมีทั้งหมดออกเป็นสามส่วนก่อนนะครับ ส่วนแรกเงินหมุนเวียนที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน ส่วนที่สองเงินออมเอาไว้ยามฉุกเฉิน และสามส่วนที่จะใช้ลงทุน ซึ่งส่วนลงทุนโดนส่วนตัวผมคิดว่าไม่ควรเกิน 10 % ของเงินที่คุณมีอยู่ เนื่องจากการลงทุนนั่นมีความเสี่ยงครับ (มีคนกล่าวไว้ว่า เงินที่คุณเก็บไว้ใช้ยามฉุกเฉินควรจะมีมากกว่าเงินที่คุณใช้ในแต่ละเดือนประมาณ 3 เท่า แต่คงไม่ใช่สูตรตายตัวครับ)

  3. แบ่งเงินที่คุณจะใช้ลงทุนแยกออกมาให้ชัดเจน หากคุณเอาไปปนกับบัญชีอื่นๆที่มี อาจทำให้ยามที่คุณเมามันกับหุ้น คุณอาจจะเผลอใช้เงินเก็บส่วนอื่นไปด้วยก็ได้

  4. เสาะหาบริษัท broker ที่เราไว้ใจ หรือมีผู้อื่นเคยใช้บริการแล้วแนะนำว่าดี หรือเลือกใช้บริการกับบริษัท broker แล้วซื้ขายผ่านทาง internet ก็ประหยัดไปได้อีกมากครับ ส่วนเรื่องค่าธรรมเนียมหรือค่านายหน้าซื้อขายก็จแตกต่างกันในแต่ละบริษัท แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไรครับ

   5. เปิดบัญชีซื้อขายกับ broker ที่เราเลือก โดยติดต่อเข้าไปที่บริษัท แล้วกรอกเอกสารต่างๆที่ต้องใช้ ขั้นตอนนี้ใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ (จากประสบการณ์) เนื่องจากต้องรอการอนุมัติจากสำนักงานใหญ่

   6. เลือกประเภทบัญชีที่เราจะใช้ในการซื้อขาย มีสองประเภทคือ

             6.1 บัญชีแบบ margin หรือเรียกง่ายๆว่าบัญชีแบบยืมเงินคนอื่นมาเล่น (ยืมเงินบริษัท broker) โดยบัญชีแบบนี้มักเป็นที่นิยมสำหรับนังลงทุนระยะสั้นที่ต้องการกำไรจากส่วนต่างของราคา เนื่องจากบัญชีแบบนี้มีการคิดดอกเบี้ยสำหรับวงเงินที่เกินไปจากเงินที่เรามีอยู่ (มีการวางเงินประกันไว้ส่วนหนึ่ง แต่สามารถใช้เงินซื้อขายมากกว่าที่วางประกันไว้ ซึ่งวงเงินที่ใช้ได้ก็ขึ้นกับจำนวนเงินที่วางไว้ครั้งแรก)

              6.2 บัญชีแบบใช้เงินสดเป็นบัญชีที่เราต้องนำเงินเข้าไปฝากไว้แล้วจึงจะซื้อขายได้ โดยซื้อขายได้ตามจำนวนเงินที่มีอยู่จริงในบัญชีเท่านั้น ซึ่งเราสามารถซื้อขายได้โดยไม่มีเงินในบัญชี แต่ภายในช่วง 3 วันทำการเราต้องโอนเงินเข้าบัญชีซื้อขายตามจำนวนที่เราทำการซื้อขายไปแล้ว (แบบนี้น่าจะปลอดภัยและควบคุมได้)

   7. ทำการซื้อขายหลักทรัพย์ได้แล้วครับคราวนี้

 

  สำหรับในคราวต่อไปจะได้เล่าถึงวิธีต่างๆในการซื้อขายหุ้นต่อๆไปนะครับ

หมายเลขบันทึก: 88963เขียนเมื่อ 7 เมษายน 2007 09:04 น. ()แก้ไขเมื่อ 8 พฤษภาคม 2012 17:13 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)
ช่วงหลังนี้เพิ่งมาสนใจ ลงกองทุน ที่เสี่ยงน้อยๆ มากกว่าค่ะ แต่ไม่เล่นหุ้นเพราะไม่เป็นเลย กลัววว

  กองทุนพวกลงทุนในพันธบัตรสิครับพี่หุย มีหลายบริษัท ทั้งแบบ 1 เดือน (SCIB asset) 3 เดือน (TMBAM และอื่นๆ) 6 เดือน (มากมายหลายบริษัท) เสี่ยงต่ำ

  แต่ถ้าต้องมีการเสียภาษี ก็ลงใน LTF หรือ RMF ก็ดีครับ ช่วยประหยัดไปได้เยอะ

  • แวะมาทักทายจ้ะน้อง
  • พี่เองต้องกันเงินไว้ผ่อนบ้าน ทำให้ยังไม่พร้อมสำหรับการลงทุนจ้ะ
  • ลองแนะนำเพิ่มเติมเรื่องวงเงินขั้นต้นที่ผู้สนใจลงทุนควรมีในบัญชีก่อนทำการเปิดบัญชีกับBroker ดูสิคะ  เพราะผู้ที่คิดจะลงทุนจะได้เตรียมพร้อมได้
  • แล้วแนะนำตราสารหนี้บางนะ

 อ.ลูกหว้าครับ วงเงินขั้นต้นสำหรับบัญชีแบบ margin อยู่ที่เงินที่ประเดิมไว้ครับ คำนวณยังไงไม่ทราบ (เพราะไม่มีตังค์เล่นแบบนี้ครับ)

  แต่สำหรับบัญชี cash หรือแบบมีเงินในบัญชีเท่าไหร่ก็ซื้อได้เท่านั้น เค้าก็ใช้ statement ดูเงินที่มีในบัญชีต่างๆของเรา แล้วจะอนุมัติวงเงินให้ระดับที่พอสมควรแก่เรา จากนั้นซื้อขายได้ตามวงเงินที่ได้รับ แต่ภายใน 3 วันทำการถัดไปต้องโอนเงินเข้าไปเท่ากับจำนวนที่ซื้อบวกค่าธรรมเนียมการซื้อขาย (ค่าธรรมเนียมคิดจาก 4000 บาทแรก 107 บาท ส่วนเกินคิดร้อยละประมาณ 0.26 มั้งครับ อิอิ)

  แต่ถ้าซื้อขายภายในวันเดียวกัน ชำระแต่ส่วนต่างราคา แบบนี้เรียก net settlement (เขียนถูกมั้ยครับ งง เช่นกัน)

กำลังจะเล่าเรื่องการซื้อหุ้น จึงมาหาข้อมูลในgotoknow เพราะไม่แน่ใจว่าจะมีคนเขียนค่ะ

กำลังหัดเร่นหุ้นกะเกมส์หุ้นโต๊ะสินธรอยู่ค่ะ

ระหว่างนี้ก้อซื้อสลากออมทรัพย์พลางๆ

ระดมทุนอยู่ค่ะ

ก้าวที่ 1 ออมให้เปน

ก้าวที่ 2 เอาเงินมาต่อยอด

กะว่าอายุซัก30-35 ค่อยลองของจริงค่ะ

เล่นในเกมส์มา 1 เดือน กำไรไป 1 ล้านแล้วค่ะ

พี่นักลงทุนเงินน้อยว่าพอจะไหวมั้ยคะ

ขอสะสมประสบการณ์ก่อน

ไม่อยากเป็นลูกจ้างไปจนแก่

ถึงน้อง oishi bamboo

สงสัยต้องแสดงความยินดีกับน้องล่วงหน้า อนาคตว่าที่คนที่ร่ำรวยที่สุดอีกหนึ่งคน เป็นแนวทางที่ถูกต้องแล้วครับ ทดลอง สะสมประสบการณ์ และหาความรู้มากขึ้นเรื่อยๆ จะดีมากๆครับ

แต่จากที่เล่ามาพี่คงเดาว่าน้องคงเล่นแบบเก็งกำไรจากหุ้น แบบนี้ก็อันตรายยหน่อยนะครับ ทำได้แต่ต้องคิดว่ามันจะกำไรทุกครั้งที่เราลงเงินไปหรือเปล่า

ขอแนะนำให้ศึกษาเรื่องการลงทุนแบบหุ้นคุณค่านะครับ โดยอาศัยการศีกษาถึงพื้นฐานของหุ้นั้นๆให้ดี แล้วถือเสมือนว่าเราเป็นเจ้าของกิจการ แบบนี้น่าจะปลอดภัยกว่า มีตัวอย่างให้เห็นว่ามีคนประสบความสำเร็จจากวิธีการนี้หลายคนครับ

ลองเข้าไปที่ thaivi.com ที่นี่อาจช่วยน้องได้

ขอให้โชคดีในการลงทุนนะครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท