ช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมาเราทำกิจกรรมอบรมกลุ่มผู้ดูแลเด็กที่ได้รับผลกระทบจากการติดเชื้อเอชไอวี...ซึ่งมีทั้งที่เป็นพ่อหรือแม่ของเด็ก,ปู่ย่าตายาย,ลุงป้าน้าอาของเด็กก็มี,รวมถึงผู้ดูแลที่เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ของศูนย์ดูแลต่างๆ ครั้งที่1ครบทั้ง4รุ่นเสร็จเรียบร้อยแล้ว...เฮ้ดีใจจัง!!
วิทยากรหลักของการอบรมครั้งนี้คือป้าแบน,ฉันเป็นผู้ช่วย...เมื่อจบการเรียนรู้ครั้งที่1ครบทั้ง4รุ่นนี้แล้วหากจะประมวลเรื่องเล่าที่ประทับใจมากที่สุดในความคิดของฉันก็คือ"นิทานไวรัสเดวีม่อนตอนที่10ที่มีชื่อตอนว่า"คาถาวิเศษ"ซึ่งเป็นเรื่องเล่าตอนสุดท้าย ป้าแบนเคยบอกเล่าถึงที่มาของเรื่องนี้ว่ามาจากการที่ได้ไปทำกิจกรรมกับกลุ่มเด็กที่ติดเชื้อและกิจกรรมกับผู้ดูแลเด็ก..ทำให้ป้าแบนได้ค้นพบข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาความเครียดและกังวลใจในการที่จะพูดคุยเรื่องการติดเชื้อแก่เด็กทั้งที่เด็กก็เริ่มจะโตเข้าสู่วัยรุ่นและเริ่มสงสัยตัวเองว่าทำไมเขาจึงต้องกินยาหลายอย่างและให้ตรงเวลาทำไมจึงต้องมาหาหมอบ่อยกว่าเด็กอื่นที่รู้จัก..ทำไมจึงต้องห้ามมีแฟนหรือคนรัก..ทำไมและทำไม..ฯลฯ.
หลังจากเราทำกิจกรรม3ภาคแรกที่สอนให้ผู้ใหญ่พอจะรู้เรื่องเกี่ยวกับเจ้าไวรัสเอชไอวีว่ามันคืออะไร มีการติดต่อได้อย่างไร ป้องกันได้อย่างไร การติดเชื้อมีผลต่อร่างกายอย่างไรบ้างและเราสามารถมีสุขภาพแข็งแรงได้แม้ว่าจะติดเชื้อไปแล้วได้ด้วยการดูแลตนเองอย่างไรได้บ้าง......ป้าแบนก็ตั้งคำถามแก่ผู้ใหญ่ที่ดูแลเด็กกลุ่มนี้อยู่ว่า..คิดว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นหากเราไม่สามารถพูดหรือทำให้เด็กๆที่เรารักและดูแลอยู่มีความเข้าใจเรื่องเอชไอวี/เอดส์.....ผู้ดูแลหลายคนก็จะแสดงความคิดเห็นโดยในรอบแรกส่วนใหญ่จะพูดทำนองเดียวกันว่าเด็กยังเล็กอยู่กลัวลูก/หลานจะใช้วิธีประชดจึงไม่อยากเล่าหรือพูดเรื่องเหล่านี้ให้..แต่ก็มีแม่หลายคนที่บอกว่าได้คุยไปแล้วแรกๆเด็กก็เศร้าซึมไปเหมือนกันแต่ตอนนี้เด็กดีขึ้นมาบ้าง...แต่บางรายการบอกเด็กว่าเด็กมีปัญหาติดเชื้อทำให้เด็กกลายเป็นเด็กป่วยหรือมีอาการทางจิตที่หนักขึ้น
หลังจากจบการเล่านิทานจบป้าแบนตั้งคำถามใหม่แก่ผู้ดูแลว่าเขามีความมั่นใจในการให้ความรู้หรือพูดกับลูก/หลานเกี่ยวกับเอดส์มากน้อยอย่างไรบ้าง สื่อสารคำตอบโดยใช้รูปคนอมยิ้มแทนคำตอบว่าทำได้/มั่นใจว่าสามารถทำได้ คนหน้าเฉยๆแทนคำตอบกลางๆไม่แน่ใจบางส่วนแน่ใจบางส่วน และคนหน้าบึ้งแทนคำตอบว่าทำไม่ได้/ไม่สามารถทำได้...
ซึ่งส่วนใหญ่จะได้เป็นรูปคนอมยิ้ม(21-22กลุ่มใน24กลุ่ม) มีเพียงสองสามกลุ่มเท่านั้นในบรรดา24กลุ่มที่ยังคงลังเลไม่แน่ใจว่าจะทำได้..และไม่มีคนหน้าบึ้งเลย
สิ่งที่ฉันทราบซึ้งไม่ใช่เพราะว่าการที่ผู้ดูแลตอบรับในทางบวกหากแต่ในสภาพการณ์ขณะเล่าเรื่องนิทานนี้นั้นหลายประโยคมันตรงใจกับอารมณ์และความรู้สึกของผู้ฟัง..ในทุกครั้งจะมีคนแอบๆร้องไห้กับเรื่องเล่านิทานวิเศษคนหรือสองสามคนเสมอ(ส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนที่รู้สึกต่อต้านอย่างมากๆต่อความคิดที่จะชวนให้มีการพูดคุยกับเด็กเกี่ยวกับการติดเชื้อเอชไอวี)
น้ำเสียงเล่านิทานที่สุภาพแต่ก็มีชีวิตชีวาของป้าแบนเป็นเสน่ห์ที่ทำให้ผู้ฟังอารมณ์คล้อยตามไปกับเนื้อหาและแนวคิดที่ซ่อนอยู่ในเรื่องเล่า
ป้าแบนถ่ายทอดความคิดเรื่องการสื่อสารที่เมตตาทั้งในน้ำเสียงและกิริยาการกระทำ และนำเสนอมุมมองที่เข้าใจถึงความจริงแห่งชีวิตของคนเราที่จะต้องพบกับการเจ็บป่วยและทุกข์ทรมานทางร่างกายและจิตใจ..เมื่อเราพบหรือประสบอยู่ซึ่งความทุกข์ยากไม่ว่ากายเจ็บหรือใจป่วย.....สิ่งที่เรายังทำได้อยู่แทนการหลบหนีหรือปฏิเสธก็คือการใช้ความเมตตาและการมองเห็นความธรรมดาของชีวิตที่เกิดมาไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่..เราสามารถยิ้มและสู้กับทุกข์ได้ด้วยการเข้าใจและเข้าถึงใน"คาถาวิเศษ"
ที่บำราศพอจะมีอยู่บ้าง1-2ชุดแวะมารับไปได้นะคะ หรือไม่งั้นลองติดต่อกับป้าแบนที่องค์กรหมอไร้พรมแดน(โทร 0878007161)ดูก็ได้ค่ะ..ขอโทษที่ตอบให้ช้านะคะ
สวัสดีค่ะ น้องวัน จาก คามิลเลียนตะกั่วป่า ค่ะ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วน้องได้จัดกิจกรรมร่วมกับเพื่อนๆ และใช้สื่อ ไวรัสเดวีม่อน เพื่อเตรียมผู้ปกครองผู้ดูแล ซึ่งเป็นสื่อที่ดีมากเชียวค่ะ ฝากขอบคุณผู้จัดทำสื่อ หรือถ้าท่านเข้ามาพบข้อความนี้ไม่ทราบว่าท่านยังจัดทำสื่อเหล่านี้ต่อไปหรือไม่ แต่เราอยากให้ท่านทำต่อไปอีก เป็นกำลังใจให้ค่ะ น้องวัน