ความหมายและคุณค่าของโครงงานและเทคโนโลยี |
เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า จุดมุ่งหมายที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน คือ การฝึกให้ในเรียนมีความสามารถในการนำเอาวิธีการทางวิทยาศาสตร์ไปใช้ในการแก้ไขปัญหาประดิษฐ์คิดค้น หรือค้นหาความรู้ต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง วิธีการที่มีประสิทธิภาพสูงสุดวิธีหนึ่งที่จะฝึกนักเรียนให้มีความสามารถดังกล่าวได้ คือ การให้นักเรียนได้มีโอกาสทำโครงงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งก็คือกิจกรรมที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ที่เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ศึกษาค้นคว้าและลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง ภายใต้การดูแลและให้คำปรึกษาของครู อาจารย์ หรือผู้ทรงวุฒิ ตั้งแต่การเลือกหัวข้อที่จะศึกษาค้นคว้า ดำเนินการวางแผนออกแบบ ประดิษฐ์ สำรวจ ทดลอง เก็บรวบรวมข้อมูล รวมทั้งการแปลผล สรุปผลและการเสนอผลงานกล่าวอีกนัยหนึ่ง กิจกรรมที่จัดว่าเป็นโครงงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะต้องประกอบด้วยองค์ประกอบต่อไปนี้- เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์หรือเทคโนโลยี- นักเรียนเป็นผู้ริเริ่มหรือเลือกเรื่องที่จะศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองตามความสนใจและระดับความรู้ความสามารถ- เป็นกิจกรรมที่มีผู้วางแผนในการศึกษาค้นคว้าตลอดจนดำเนินงานการปฏิบัติทดลอง เก็บรวบรวมข้อมูลหรือประดิษฐ์คิดค้น รวมทั้งแปลผล สรุปผล และเสนอผลการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง โดยมีครู อาจารย์หรือผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นผู้ให้คำปรึกษา การทำโครงงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีขอบเขตกว้างขวาง มีตั้งแต่เรื่องที่ง่าย ๆ ไปจนถึงเรื่องที่ยุ่งยาก สลับซับซ้อน ตั้งแต่เรื่องที่ใช้เวลาสั้น ๆ ในการทำจนถึงเรื่องที่ใช้เวลาเป็นภาคเรียนหรือมากกว่าหรือเรื่องที่เสียค่าใช้จ่ายเพียงไม่กี่บาทจนถึงนับพันบาท
ประเภทของโครงงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี |
จากความหมายของโครงงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ได้กล่าวมาแล้วในตอนต้น
จะเห็นได้ว่าโครงงานวิทาศาสตร์และเทคโนโลยีมีความหมายกว้างขวางมาก
กิจกรรมใด ๆ
ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่นักเรียนเป็นผู้ริเริ่มและลงมือศึกษาค้นคว้าและปฏิบัติด้วยตนเองโดยอาศัยวิธีการทางวิทยาศาสตร์
ไปช่วยในการศึกษาค้นคว้านั้น ๆ
ถือเป็นโครงงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
อาจแบ่งโครงงานได้เป็น 4
ประเภท คือ
-
โครงงานประเภทการทดลอง
-
โครงงานประเภทสำรวจรวบรวมข้อมูล-
โครงงานประเภทสิ่งประดิษฐ์-
โครงงานประเภททฤษฎี โครงงานประเภท
การทดลอง ลักษณะเด่นของโครงงานประเภทนี้คือ
เป็นโครงงานที่มีการออกแบบการทดลองเพื่อศึกษาผลของตัวแปรหนึ่งที่ต้องการศึกษา
โดยควบคุมตัวแปรอื่น ๆ
ที่อาจมีผลต่อตัวแปรที่ต้องการศึกษาหรือกล่าวเป็นนัย
โครงงานที่จัดเป็นประเภทนี้
จะประกอบด้วย
การกำหนดปัญหา การตั้งจุดประสงค์โดยทั่ว
ๆไป
ขั้นตอนการดำเนินงานของโครงงานประเภทนี้
จะประกอบด้วย การกำหนดปัญหา
การตั้งจุดประสงค์หรือสมมติฐาน
การออกแบบการทดลอง
การดำเนินการทดลอง
การรวบรวมข้อมูล
การแปลผลและการสรุปผล โครงงานประ
เภท
การสำรวจรวมข้อมูล
โครงงานประเภทนี้แตกต่างจากประเภทแรกที่ไม่มีการจัดหรือกำหนดตัวแปรอิสระที่ต้องการศึกษาเหมือนโครงงานประเภทการทดลอง
โครงงานประเภทการสำรวจและรวบรวมข้อมูลนี้
ผู้ทำโครงงานเพียงต้องการสำรวจและรวบรวมข้อมูลเหล่านั้นมาจำแนกเป็นหมวดหมู่และนำเสนอในรูปแบบต่าง
ๆ
เพื่อให้เห็นลักษณะหรือความสัมพันธ์ในเรื่องที่ต้องการศึกษาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
การสำรวจและการรวบรวมข้อมูลนี้อาจทำได้หลายรูปแบบ
เช่นการออกไปเก็บรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ
ที่ต้องการในท้องถิ่นหรือสถานที่ต่าง
ๆ
ที่ต้องการศึกษาค้นคว้าได้ทันทีมในขณะที่ออกไปปฎิบัติการนั้น
โดยไม่ต้องนำวัสดุตัวอย่างกลับมาวิเคราะห์ในห้องปฎิบัติการอีกตัวอย่างโครงงานประเภทนี้ได้แก่Ø
การสสำรวจประชากรและชนิดของสิ่งต่าง
ๆ เช่น
สัตว์ พืช หิน
แร่ ฯลฯ
ในท้องถิ่นหรือบริเวณที่ต้องการศึกษาคู่มือการและกาสรจัดงานแสดงผลงานØ
การสำรวจทิศทางและอัตราเร็วลมในท้องถิ่นต่าง
ๆØ
การสำรวจการผุกร่อนของสิ่งก่อสร้างที่ทำด้วยหินอ่อนในแหล่งต่าง
ๆ ฯลฯ โครงงานประเภท
สิ่งประดิษฐ์
โครงงานประเภทนี้เป็นโครงงานที่เกี่ยวกับการประยุกต์ทฤษฎีหรือหลักการางวิทยาศาสตร์มาประดิษฐ์เครื่องมือ
เครื่องใช้
หรืออุปกรณ์เพื่อประโยชน์ใช้สอยต่าง ๆ
ซึ่งอาจเป็นการคิดประดิษฐ์ของใหม่
ๆ
หรือปรับปรุงเปลี่ยนแปลงของเดิมที่มีอยู่แล้วให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นก็ได้
โครงงานประเภทนี้รวมไปถึงการสร้างแบบจำลอง
เพื่ออธิบายแนวความคิดต่าง ๆ ด้วย
ตัวอย่างโครงงานประเภทนี้
ได้แก่
โครงงานเรื่องกระสวยอัดอากาศ
ลิฟต์ พลังงานโน้มถ่วง
เครื่องจักรพลังงานแม่เหล็ก
เครื่องอบมันสำปะหลัง
แบบจำลองบ้านพลังงานแสงอาทิตย์
หุ่นยนต์ใช้งานในบ้าน
แบบจำลอง
การใช้พลังงานความร้อนจากใต้พิภพ
ฯลฯ
"+0">
ขั้นตอนของการทำโครงงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี |
การทำโครงงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
เป็นกิจกรรมที่ต่อเนื่องและมีการดำเนินงานหลายขั้นตอน
ขั้นตอนในการทำโครงงานตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงขั้นท้าย
อาจสรุปได้ดังนี้ v
การคิดและเลือกหัวข้อเรื่องที่จะทำโครงงานv
การศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องv
การจัดทำเค้าโครงของโครงงานv
การลงมือทำโครงงานv
การเขียนรายงานv
การแสดงผลงาน การศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง
การศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องในที่นี้รวมถึงการขอคำปรึกษาจากผู้ทรงคุณวุฒิและการสำรวจวัสดุอุปกรณ์ต่าง
ๆ
ที่เกี่ยวข้องด้วย
หลังจากที่นักเรียนได้หัวข้อเรื่องกว้าง
ๆ
ที่เขามีความสนใจที่จะศึกษาค้นคว้าขั้นตอนต่อไปที่อาจารย์ที่ปรึกษาควรแนะนำ
คือแหล่งที่นักเรียนจะสามารถศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมในเรื่องที่เขาสนใจนั้น
การศึกษาเอกสารต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องหรือการขอคำปรึกษาจากผู้ทรงคุณวุฒินี้
อาจารย์ที่ปรึกษาต้องแนะนำให้นักเรียนรู้จักจดบันทึกไว้ในสมุดให้เป็นหลักฐานเรียบร้อย
ผู้ทำโครงงานทุกคนจำเป็นต้องมีสมุดบันทึกประจำวันซึ่งควรจำไปแสดงในวันแสดงโครงงานด้วย
การศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องนี้จะช่วยให้นักเรียนได้แนวความคิดที่จะกำหนดขอบข่ายของเรื่องที่จะศึกษาค้นคว้าให้เฉพาะเจาะจงมากขึ้น
จะได้ความรู้ในเรื่องที่จำทำการศึกษาเพิ่มเติมมากขึ้น
จนสามารถออกแบบและวางแผนดำเนินการทำโครงงานนั้นได้อย่างเหมาะสม
อาจารย์ที่ปรึกษาไม่ควรอนุญาตให้นักเรียนลงมือทำโครงงานโดยไม่ศึกษาความรู้ในเรื่องเหล่านั้นจากเอกสารที่เกี่ยวข้องอย่างเพียงพอเสียก่อน
การศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องนี้นักเรียนจำเป็นต้องมีความรู้ความชำนาญในการใช้ห้องสมุด
จึงเป็นหน้าที่ของอาจารย์ที่ปรึกษาจะต้องแนะนำเทคนิคและวิธีการต่าง
ๆ
ในการค้นเอกสารจากห้องสมุดซึ่งอาจแนะนำให้นักเรียนไปปรึกษากับบรรณารักษ์ห้องสมุดก็ได้
นอกจากนั้นอาจารย์ที่ปรึกษาอาจต้องให้ความช่วยเหลือในการติดต่อห้องสมุดอื่น
ๆ
ในท้องถิ่นให้นักเรียนสามารถเข้าไปใช้บริการไว้ด้วย การเขียนเค้าโครงของโครงงาน
หลังจากที่นักเรียนได้หัวเรื่องทำโครงงานที่เฉพาะเจาะจงและได้ศึกษาเอกสารอ้างอิงต่าง
ๆ
อย่างเพียงพอแล้ว
ขั้นตอนต่อไปคือการเขียนเค้าโครงงานของโครงงานเสนอต่างอาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อขอความเห็นชอบก่อนดำเนินขั้นต่อไป
เค้าโครงงานของโครงงานโดยทั่ว
ๆ
ไปจะเขียนขึ้นเพื่อแสดงแนวคิด
แผนและขั้นตอนของการทำโครงงานนั้น
ซึ่งควรประกอบด้วยหัวข้อต่อไปนี้1.
ชื่อโครงงาน2.
ชื่อผู้ทำโครงงาน3.
ชื่อที่ปรึกษาโครงงาน4.
ที่มาและความสำคัญของโครงงาน อธิบายว่าเหตุใดจึงเลือกทำโครงงานนี้
โครงงานเรื่องนี้มีความสำคัญอย่างไร
มีหลักการหรือทฤษฏีอะไรที่เกี่ยวข้อง
เรื่องที่ทำเป็นเรื่องใหม่หรือมีผู้อื่นได้เคยศึกษา
ค้นคว้าทำนองนี้ไว้บ้างแล้ว
ถ้ามี
ได้ผลเป็นอย่างไร
หรือเป็นการทำซ้ำเพื่อตรวจสอบผล5.
จุดมุ่งหมายของการศึกษาค้นคว้า6.
สมมุติฐานของการศึกษาค้นคว้า ( ถ้ามี
) 7.
วิธีดำเนินงาน7.1
วัสดุอุปกรณ์ที่ต้องใช้
ระบุว่าวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้มีอะไรบ้าง
จะได้วัสดุอุปกรณ์เหล่านั้นมาจากไหนวัสดุอุปกรณ์อะไรบ้างที่จะต้องจัดซื้อ
อะไรบ้างที่จัดทำเอง
อะไรบ้างที่ขอยืมได้ 7.2
แนวการศึกษาค้นคว้า
อธิบายว่าจะออกแบบการทดลองอะไร
อย่างไร
จะสร้างหรือประดิษฐ์อะไร
อย่างไรจะเก็บข้อมูลอะไรบ้าง
บ่อยครั้งและมากน้อยเพียงใด8.
แผนปฏิบัติงาน
อธิบายเกี่ยวกับเวลาเริ่มต้นและเวลาสิ้นสุดของการดำเนินงานในแต่ละขั้นตอน9.
ผลที่คาดว่าจะได้รับ10.
เอกสารอ้างอิง การลงมือทำโครงงาน
เมื่อเค้าโครงของโครงงานได้รับความเห็นชอบจากอาจารย์ที่ปรึกษาแล้วก็เสมือนว่างานของนักเรียนเสร็จไปแล้วมากกกว่าครึ่งหนึ่ง
ต่อไปก็เป็นขั้นลงมือปฏิบัติงานตามขั้นตอนที่ระบุไว้ในเค้าโครงที่เสนออาจารย์ที่ปรึกษา
ซึ่งควรคำนึงถึงเรื่องต่อไปนี้1.
เตรียมวัสดุอุปกรณ์และสถานที่ให้พร้อมก่อนลงมือทดลอง2.
มีสมุดบันทึกกิจกรรมประจำวันได้ทำอะไรไป
ได้ผลอย่างไร
มีปัญหาและข้อคิดเห็นอย่างไร3.
ปฏิบัติการทดลองด้วยความละเอียดรอบคอบ
และบันทึกข้อมูลไว้ให้เป็นหลักฐานเป็นระเบียบครบถ้วน4.
คำนึงถึงความประหยัดและความปลอดภัยในการทำงาน5.
พยายามทำตามแผนงานที่วางไว้ในตอนแรก
และอาจเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมบ้าง
หลังจากที่ได้เริ่มต้นดำเนินงานไปแล้ว
ถ้าคิดว่าจะทำให้ผลงานดีขึ้น6.
ควรปฏิบัติการทดลองซ้ำเพื่อให้ได้ข้อมูลที่เชื่อถือได้มากที่สุด7.
ควรแบ่งงานเป็นส่วนย่อย
ๆ
และทำแต่ละส่วนให้สำเร็จก่อนทำส่วนอื่นต่อไป8.
ควรทำงานส่วนที่เป็นหลักสำคัญ
ๆ
ให้เสร็จก่อน
จึงจะทำส่วนที่เป็นส่วนประกอบหรือส่วนเสริมแต่งโครงงาน9.
อย่าทำต่อเนื่องจนเมื่อยล้า
จะทำให้ขาดความระมัดระวัง10.
ถ้าเป็นโครงงานประเภทสิ่งประดิษฐ์ควรคำนึงถือความคงทน
แข็งแรงและขนาดที่เหมาะสมของสิ่งประดิษฐ์นั้น
ความสำเร็จของการทำโครงงานมิไดขึ้นอยู่กับผลการทดลองที่ได้ตรงกับความคาดหวังหรือไม่แม้ผลการทดลองที่ได้จะไม่เป็นไปตามที่คาดหวังก็ถือว่ามีความสำเร็จในการทำโครงงานนั้นเหมือนกับเช่นถึงพบว่าซังข้าวโพดสามารถใช้เพาะเห็ดนางรมได้ดีตามคาดหวัง
ก็สามรถแนะนำให้ใช้ซังข้าวโพดในการเพาะเห็ดนางรมได้
พบว่าซังข้าวโพดไม่สามารถใช้เพาะเห็ดนางรม
ดังนี้เป็นต้น
จะเห็นได้ว่าผลที่ได้จากการทำโครงงานไม่ว่าจะเป็นไปตามที่คาดหวังหรือไม่ก็มีคุณค่า
ทั้งนั้น
ข้อสำคัญคือนักเรียนจะต้องทำโครงงานจนสำเร็จครบขั้นตอนตามที่ได้วางแผนไว้
อย่าท้อถอยหรือเลิกกลางคัน
การเขียนรายงาน
เมื่อดำเนินการทำโครงงานจนครบขั้นตอนได้ข้อมูล
ทำการวิเคราะห์ข้อมูลพร้อมทั้งแปลผลและสรุปผลแล้ว
งานขั้นต่อไปที่ต้องทำก็คือการเขียนรายงาน
การเขียนรายงานเกี่ยวกับโครงงานเป็นวิธีสื่อความหมายที่มีประสิทธิภาพวิธีหนึ่ง
เพื่อให้คนอื่น ๆ
ได้เข้าใจถึงแนวความคิด
วิธีการดำเนินการศึกษาค้นคว้า
ข้อมูล
ผลที่ได้ตอลดจนข้อสรุปและข้อเสนอแนะต่าง
ๆ
ที่เกี่ยวกับโครงงานนั้น
การเขียนโครงงานควรจะใช้ภาษาที่อ่านเข้าใจง่าย ชัดเจน สั้น ๆ
และตรงไปตรงมา โดยให้ครอบคลุมหัวข้อต่าง
ๆ
ดังต่อไปนี้1.
ชื่อโครงงาน2.
ชื่อผู้ทำโครงงาน3.
ชื่อที่ปรึกษา4.
บทคัดย่อ
อธิบายที่มาและความสำคัญของโครงงาน วัตถุประสงค์
วิธีดำเนินการ
และผลที่ได้ตลอดจนข้อสรุปต่าง
ๆ อย่างย่อ
ๆ ประมาณ
300 – 350
คำ5.
ที่มาและความสำคัญของโครงงาน
อธิบายความสำคัญของโครงงาน
เหตุผลที่เลือกทำโครงงานนี้และหลักการหรือทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับโครงงาน
เรื่องที่ทำนี้ได้ขยาย
เพิ่มเติม
หรือปรับปรุงจากเรื่องที่ผู้อื่นได้ทำไว้อย่างไรบ้าง
หรือเป็นการทำซ้ำเพื่อตรวจสอบผล6.
จุดมุ่งหมายของการศึกษาค้นคว้า7.
สมมติฐานของการศึกษาค้นคว้า ( ถ้ามี
)8.
วิธีดำเนินการ
อธิบายขั้นตอนการดำเนินงานโดยละเอียดตลอดจนวัสดุอุปกรณ์
และสารเคมีต่าง ๆ
ที่ใช้9.
ผลการศึกษาค้นคว้า
นำเสนอข้อมูล
หรือผลการทดลองต่าง ๆ
ที่สังเกตรวบรวมได้
รวมทั้งเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลที่วิเคราะห์ได้ด้วย10.
สรุปและข้อเสนอแนะ
อธิบายผลสรุปที่ได้จากการทำโครงงาน
ถ้ามีการตั้งสมมติฐานควรระบุด้วยว่าข้อมูลที่ได้สนับสนุนหรือคัดค้านสมมติฐานที่ตั้งไว้หรือยังสรุปไม่ได้
นอกจากนั้นควรกล่าวถึงการนำผลการทดลองไปใช้ประโยชน์
อุปสรรคของการทำโครงงาน
หรือข้อสังเกตที่สำคัญหรือข้อผิดพลาดบางประการที่เกิดขึ้นจากการทำโครงงานนี้
รวมทั้งข้อเสนอแนะเพื่อการปรับปรุงแก้ไ
ข
หากจะมีผู้ศึกษาค้นคว้าในเรื่องทำนองนี้ต่อไปนี้ในอนาคตด้วย11.
คำขอบคุณ
ส่วนใหญ่โครงงานวิทยาศาสตร์มักจะเป็นกิจกรรมที่ได้รับความร่วมมือจากหลายาฝ่าย
ดังนั้นเพื่อเป็นการเสริมสร้างบรรยากาศของความร่วมมือ
จึงควรได้กล่าวขอบคุณบุคลากรหรือหน่วยงานต่าง
ๆ
ที่มีส่วนช่วยให้โครงงานนี้สำเร็จไปด้วย12.
เอกสารอ้างอิง
อ้างอิงหนังสือ
หรือเอกสารต่าง ๆ
ที่ผู้ทำโครงงานใช้ค้นคว้าหรืออ่านเพื่อศึกษาหาข้อมูลและรายละเอียดต่าง
ๆ
ที่นำมาใช้ประโยชน์ในการทำโครงงานนี้
ทีกล่าวมานี้เป็นรูปแบบหนึ่งของการเขียนรายงานเท่านั้น
ซึ่งเป็นแบบการเขียนรายงานในลักษณะทั่ว
ๆ ไป
รูปแบบดังกล่าวนี้อาจไม่เหมาะสมกับโครงงานทุกประเภทก็ได้
ทั้งนี้แล้วแต่ละลักษณะของโครงงานอย่างไรก็ตาม
ไม่ว่าเป็นโครงงานประเภทใด
สิ่งสำคัญที่สุดผู้เขียนรายงานควรตระหนักไว้อยู่เสมอก็คือควรเขียนรายงานให้ชัดเจน
ใช้ศัพท์เทคนิคที่ถูกต้อง
ใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายและครอบคลุมประเด็นสำคัญ
ๆ
ทั้งหมดของโครงงาน แสดงผลงาน
การแสดงผลงานจัดได้ว่าเป็นขั้นตอนสำคัญอีกประการหนึ่ง
ของการทำโครงงานเรียกได้ว่าเป็นงานขั้นสุดท้ายของการทำโครงงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
เป็นการแสดงผลิตผลของเวลา
ความคิดและความพยายามทั้งหมดที่ผู้ทำโครงงานได้ทุ่มเทลงไปและเป็นวิธีการที่ทำให้ผู้อื่นได้รับความรู้และเข้าใจถึงผลงานนั้น
ๆ
มีผู้กล่าวว่าการวางแผนออกแบบเพื่อจัดการแสดงผลงานที่มีความสำคัญเท่า
ๆ
กับการทำโครงงานนั้นเองผลงานที่ทำขึ้นจะดียอดเยี่ยมเพียงใด
แต่ถ้าการจัดแสดงผลงานทำได้ไม่ดีก็เท่ากับไม่ได้แสดงความยอดเยี่ยมของผลงานนั่นเอง
การออกแบบและการวางแผนเพื่อนำผลงานมาแสดงนั้น
ดูเสมือนว่าทำได้ง่าย ๆ
แต่ความจริงมักไม่เป็นเช่นนั้น
การวางแผนดังกล่าวต้องอาศัยเวลาพอสมควร
ต้องคำนึงถึงปัจจัยหลายประการ
ที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งต้องคำนึงถึงผู้ชมหรือผู้ฟัง
การแสดงผลงานนั้นอาจทำได้ในรูปแบบต่าง ๆ กัน
เช่น
การแสดงในรูปนิทรรศการ
ซึ่งมีทั้งการจัดแสดงปละการอธิบายด้วยคำพูด
หรือในรูปแบบของการจัดแสดงโดยไม่มีคำอธิบายประกอบหรือในรูปแบบการรายงานปากเปล่า
ไม่ว่าการจัดแสดงผลงานแบบใดควรจัดให้ครอบคลุมประเด็นสำคัญดังต่อไปนี้1.
ชื่อโครงงาน
ชื่อผู้ทำโครงงาน
ชื่อที่ปรึกษา2.
คำอธิบายย่อ ๆ
ถึงเหตุจูงใจในการจัดทำโครงงานและความสำคัญของโครงงาน3.
วิธีการดำเนินการ
โดยเลือกขั้นตอนที่เด่นและสำคัญ4.
การสาธิตหรือแสดงผลที่ได้จากการทดลอง5.
ผลการสังเกตและข้อมูลที่เด่น ๆ
ที่ได้รับจากการทำโครงงาน
ขอโครงงานหน่อย
ช่วยหาให้ด้วยนะค่ะด่วนที่สุด
ขอถามหน่อยเถอะครับขอให้คุณครูช่วยทำเว็บนอกจากจะป็นวิธีการทำโครงงานแล้วยังมีอีกคือก่อนการทำโครงงานก็ต้องมี การเขียนโครงร่างผมเขียนไม่เป็นขอคุณครูเขียนหน่อยนะครับ
นักรียนโรงรียนสันทรายวิทยาคม
อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ 50290
ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง
ขอบคุณสำหรับความรู้เกี่ยวกับ โครงงานวิทยศาสตร์มากๆ ครับ