ท่านอาจารย์เสาวลักษณ์นำข่าวจากสำนักข่าวรอยเตอร์เกี่ยวกับเรื่องกรรมติดจรวดของพวกชอบเยาะเย้ย ถากถางตีพิมพ์ในวารสารชีวจิต ผู้เขียนขอนำมาเล่าสู่กันฟังครับ…
คำเยาะเย้ย ถากถางนี่... ถ้ากล่าวต่อหน้า ท่านจัดเป็น "ผรุสวาจา(คำหยาบ)" หรือการกล่าวคำหยาบ ถ้ากล่าวลับหลังเพื่อให้คนอื่นเสียหาย หรือแตกแยกกัน ท่านจัดเป็น "ปิสุณาวาจา(ส่อเสียด)"
วาจาหยาบหรือผรุสวาจา... แม้เป็นคำไพเราะ ถ้ากล่าวด้วยจิตโทสะ(โทสมูลจิต) หรือจิตที่แข็งกระด้าง ปรารถนาร้าย คำกล่าวนั้นก็สงเคราะห์เป็นวาจาหยาบเหมือนกัน...
คณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน สหรัฐฯ ทำการศึกษาในอาสาสมัคร 6,814 คน อายุ 45-84 ปี
ให้กลุ่มตัวอย่างทำแบบสอบถามประเมินความเสี่ยงจากโรคเครียดเรื้อรัง โรคซึมเศร้า และตรวจเลือดหาสารบ่งชี้การอักเสบ 3 ตัว (ไฟบริโนเจน, ซี-รีแอคทีฟ, ไอแอล-6)
ผลการศึกษาพบว่า พวกปากเยาะเย้ย ถากถางสูงมีสารบ่งชี้การอักเสบสูง 3 ตัว พวกที่มีความเครียดเรื้อรังมีสารบ่งชี้การอักเสบสูง 2 ตัว(ซี-รีแอคทีฟ + ไอแอล-6) พวกที่เป็นโรคซึมเศร้ามีสารบ่งชี้การอักเสบสูง 1 ตัว(ไอแอล-6)
สารบ่งชี้การอักเสบมักจะเพิ่มในคนที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจ หรือเส้นเลือดหัวใจอุดตัน เช่น โรคอ้วน สูบบุหรี่ ฯลฯ
การศึกษานี้เป็นการศึกษาที่น่าสนใจ ความสะใจที่ได้จากการเยาะเย้ย ถากถางคนอื่นนั้นเป็นยาพิษที่มีรสหวานเพียงชั่วครูเท่านั้น
เราๆ ท่านๆ หันมาสำรวมวาจา ไม่เยาะเย้ย ถากถางใคร… ไม่ยินดีในความสุขที่ได้จากการเหยียบย่ำ ทำร้านคนอื่นน่าจะดีสำรวมวาจาแล้วคงจะยังไม่พอ… อย่าลืมกล่าวชมคนรอบข้างให้ได้อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง และค่อยๆ เพิ่มเป็นวันละ 5-10 ครั้ง เพื่อให้ "คลื่นแห่งความสุข(เมตตา)" แผ่ไปยังคนรอบข้าง…
ความสุขจากการชื่นชม (appreciation) นั้น… ถึงชมคนอื่น ทว่า… คนที่จะมีความสุขจากการชมจริงๆ ก็คงหนีไม่พ้น "คนที่ได้ยินคำชมทุกครั้ง" นี่ละ
คงไม่ต้องบอกนะครับว่า เวลาเราชมคนอื่น… ใครได้ยินคำชมทุกครั้ง
ขอกราบอนุโมทนา และอนุโมทนากับท่านผู้อ่านทุกท่านที่สำรวมวาจา และกล่าวชื่นชมคนรอบข้างแม้เพียงวันละครั้งครับ… สาธุ สาธุ สาธุ
แหล่งที่มา:
ขอขอบคุณ... คุณบ่าววีร์และท่านผู้อ่านทุกท่าน
เรียน คุณหมอวัลลภ
ได้มีประสบการณ์เจอคนหน้าตาดี แต่งตัวงาม มีหน้าที่การงานดี แต่ใจคับแคบ ยกตนข่มผู้น้อย พูดจากระทบกระเทียบ และ เป็นคนจมไม่ลงด้วย
ก็ได้แต่ยินดีในสิ่งที่เขามีพร้อมเพราะใช้บุญเก่า ของเขาอยู่ แต่หากเขาไม่ได้สั่งสมความดี หรือ ทำดีน้อยกว่าสิ่งที่เป็นอยู่ ถือว่ากำลังก่อกรรมไว้ค่ะ
ได้แต่ปลอบเพื่อนร่วมงานที่ต้องอยู่กับคนประเภทนี้ให้ขันติ อย่าไปขันแตก กับเขา เพราะ จิตที่ขุ่นมัว ในตัวเขาจะเผาผลาญตัวเขาเอง เรามองเขาเป็นตัวอย่างและตั้งปณิธานว่าจะไม่เป็นแบบเขานั่นแหละดีที่สุด
ขอขอบคุณ... คุณหุยและท่านผู้อ่านทุกท่าน
แนะนำให้อ่าน...
พวกเรา...
บุญเก่า...
บุญเก่า...
พระโพธิสัตว์...
ขอสนับสนุนให้พวกเราน้อมไป เพื่อความตั้งมั่นใน "ขันติ" และไม่มี "ขันแตก" แม้จะถูก "เจาะขัน" อยู่บ่อยๆ ครับ...
ขอบคุณคุณหมอให้ความกระจ่าง
เพื่อนท่านนึง ได้บอกว่า เขาได้ดีในชาตินี้ จากบุญเก่า แม้ว่าชาตินี้ได้กินบุญเดิม และยังต่อบุญใหม่ คือยังทำบุญอยู่สม่ำเสมอ แต่จิตใจนั้น ยังมีอารมณ์โกรธ ขุ่นมัว ตลอดเวลา ชาติหน้าก็ได้เป็นเทวดา ตามบุญที่เขาสั่งสม แต่ก็คุ้มดีคุ้มร้าย เดี๋ยวแปลงเป็นยักษ์ เดี๋ยวเป็นเทวดา สลับกันไป
หรือ ถ้าไม่ได้สั่งสมบุญต่อ เกิดมาเป็นคน จะมีผิวหมองคล้ำ หน้าตาหงิกๆ ปากเหม็น (ชอบด่าว่าคน)
ดังนั้น เวลาที่เผชิญหน้าตนเหล่านี้ กันไม่ให้ขันแตก ก็จะนึกภาพเขามีเขางอก เขี้ยวงอก เหมือนยักษ์มาร ความเกรี้ยวกราดจากจิตใจที่ร้อนรุ่มในตัวเขาเองนั่นเอง ทำลายความงามภายนอกเขาหมดสิ้น อนิจจัง แท้ๆ ถ้าเราไม่ไปอิงกับเขา นึกเสียว่าปีศาจตน หนึ่งกำลังร่ายรำ อยู่ คิดเล่นๆ ก็เหมือนดูงิ้ว เลยค่ะ
ขอขอบคุณ.... คุณหุยและท่านผู้อ่านทุกท่าน
แนวทางแก้ไข...
ที่ทำงานผมก็มีคนพาลเยอะครับ...
ขอขอบพระคุณอาจารย์ sasinanda และท่านผู้อ่านทุกท่าน...
ตัวอย่างเช่น...
วาจาถากถาง...
โรคหัวใจ + รักษาหาย...
กรรม...
คุณหมอวัลลัภ คะ
มิกล้ารับ ค่ะ คงไม่เก่งพอที่จะไปเปลี่ยนคนพาลได้ หันไปคบบัญฑิต (ที่นิสัยดีๆ ) จะสร้างภูมิคุ้มกันได้ดีกว่าไปสีซอ กระมัง คะ
ขอขอบคุณ... คุณหุยและท่านผู้อ่านทุกท่าน
คนพาล...