...ความโกรธ....ระหว่างไฟกับความโกรธคุณคิดว่าอะไรมีอันตรายกว่ากัน


...ความโกรธ....
 ...ความโกรธ....

ระหว่างไฟกับความโกรธคุณคิดว่าอะไรมีอันตรายกว่ากัน ไฟไหม้ป่า เผาทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า ไฟไหม้บ้านพรึบเดียวสามารถเผาทำลายทั้งทรัพย์สมบัติจนหมดตัว และยังอาจทำลายชีวิตผู้คน บางครั้งเป็นสิบๆ ร้อยๆ คนทีเดียว แต่ความโกรธ อันตรายยิ่งกว่าไฟมีแต่โทษ ไม่มีคุณแม้แต่นิดเดียว เพราะความโกรธจะทำลายน้ำใจของคนที่เรารักสุดหัวใจ คนที่รักเรา ชื่อเสียง คุณงามความดีของตัวเราเองที่สะสมไว้ทั้งชีวิตจะถูกทำลายย่อยยับได้ด้วยความโกรธ ความโกรธนี้ฆ่าผู้มีพระคุณมาหลายต่อหลายคนแล้ว ฆ่าคนที่เรารัก คนที่รักเรา คู่รักที่ต่างรักใคร่ชอบพอกัน บางครั้งในที่สุด ความโกรธก็ทำให้เลิกร้างกัน ทำให้ชีวิตครอบครัวต้องแตกแยก จนถึงทำให้ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าลูกก็มี ผู้ใหญ่ในระดับประเทศโกรธกัน จนเป็นเหตุให้กลายเป็นสงคราม ฆ่ากันตาย เป็นพันๆ เป็นหมื่นๆ แสนๆ ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว

เราลองมาดูว่าในช่วงเวลาสั้นตอนเช้าเรามีความเสี่ยงที่ต้อง หงุดหงิด โกรธ โมโห อย่างไรบ้าง ในสังคมที่รีบร้อน, แข่งขัน, วุ่นวาย ซึ่งพร้อมที่จะยั่วอารมณ์โกรธได้ตั้งแต่เช้า คุณตื่นขึ้นมาด้วยเสียงนาฬิกาปลุก กำลังนอนสบายๆอยู่ก็ต้องลุกจากที่นอนแล้ว ไม่มีเวลาบิดขี้เกียจก็ต้องแย่งกันเข้าห้องน้ำ (แย่งกันกับคนอีก 4 คนในครอบครัว) เริ่มต้นวันใหม่ด้วยความหงุดหงิด แล้วกระหืดกระหอบออกจากบ้าน บางคนต้องแย่งคนอื่นขึ้นรถเมล์ บางทีก็ถูกคนข้างข้างถองเอาบ้าง (โกรธ) แล้วคนขับขี้โมโหก็เบรคกระทันหัน จนคุณคะมำไปข้างหน้า (คุณโกรธคนขับ คนขับโกรธคันหน้าที่แซงปาดหน้าขึ้นมา) คุณคะมำไปกระแทกคนข้างหน้าอย่างแรง คนข้างหน้า (โกรธ) หันมามองคุณตาเขียว พอถึงป้ายที่จะลง คุณต้องรีบฟันฝ่าฝูงคน ที่อัดกันแน่นอยู่ตรงช่องทางลงคนข้างๆ กำลังจะลงเหมือนกัน เหยียบเท้าคุณเต็มแรง คุณมัวเสียเวลาหันไปมอง (โกรธ) กว่าจะถึงบันไดรถ ก็พอดีคนขับ (ซึ่งจอดให้เพียง 1/2 วินาที) กระชากรถออกจากป้ายเสียแล้ว คุณลงรถไม่ทัน (โกรธ)
เห็นไหมว่า เพียงชั่วระยะเวลาตั้งแต่ตื่นนอน จนเดินทางถึงที่ทำงานเท่านั้น คุณก็เสี่ยงต่อการเกิดอารมณ์โกรธใครหรืออะไรเข้าไปตั้งไม่รู้กี่หนแล้ว ไม่ต้องสงสัยว่ากว่าจะถึงเวลาเข้านอน คุณจะต้องเกิดอารมณ์หงุดหงิด โกรธ โมโห สักกี่ครั้ง ถ้าคุณเก็บกดไว้ทั้งหมดความกดดันทางอารมณ์จะมากสักเพียงไหน

 

เราจะระบายอารมณ์โกรธได้อย่างไร ?
แรงผลักดันของความโกรธอาจเปรียบเทียบได้กับพลังงาน อาจเกิดโทษมหันต์และในทำนองเดียวกันหากใช้เป็นก็อาจเกิดประโยชน์ทางสร้างสรรค์อย่างมหาศาลได้ เช่นเดียวกับน้ำตก ถ้าปล่อยไปตามธรรมชาติ อาจเกิดอันตรายใหญ่หลวงถึงขนาดทำลายชีวิตมนุษย์ได้ แต่ถ้ารู้จักเปลี่ยนพลังงานจากน้ำตกไปใช้ให้ถูกทางเราก็จะได้กระแสไฟฟ้ามาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้เช่นกัน
ความดันภายในจิตใจจำเป็นต้องมีทางออก คล้ายแรงอัดดันในแก๊ส ถ้าไม่เจาะรูให้มันออกเสียบ้าง ถังนั้นอาจระเบิดเป็นอันตรายได้ การหาทางระบายออกในทางที่สังคมยอมรับอาจก่อให้เกิดประโยชน์ทางสร้างสรรค์อย่างมหาศาลได้ เช่น เล่นเทนนิส (วันไหนโกรธใครมาก็หวดให้เต็มแรง จนแขนเกือบหลุดจากบ่า) อาจกลายเป็นแชมเปี้ยนเทนนิสไปเลยก็ได้ หรือซ้อมมวยชกกระสอบทราย (สมมติกระสอบทรายเป็นใบหน้าคู่อริ) ก็เป็นการออกทำลังกาย หรือซ่อมเก้าอี้ (ตอกตะปูโป้งเดียวให้จนมิดเลย สมมติหัวตะปู เป็นศีรษะยายปากจัดคนนั้น) เป็นต้น


ในฐานะผู้ใหญ่
เมื่อเราเป็นผู้ใหญ่ เป็นครู เป็นพ่อแม่ มีลูกน้อง มีลูกศิษย์ มีลูก สมมติว่าเราเป็นพ่อแม่ มีลูก เมื่อลูกทำผิดจริงๆ แล้วเราโกรธ โมโห อย่าพึ่งสอนลูก สอนใจตนเองให้ระงับอารมณ์ร้อน ให้ใจเย็น ใจดี มีเมตตาก่อน จนรู้สึกมั่นใจว่าใจเราพร้อมแล้ว และดูว่าลูกพร้อมที่จะรับฟังไหม ถ้าเราพร้อมแต่ลูกยังไม่พร้อม ก็ยังไม่ต้องพูด เพราะไม่เกิดประโยชน์ หากเราพร้อมที่จะสอน เขาพร้อมที่จะฟังจึงจะเกิดการสอนที่เป็นประโยชน์ ถ้าเราสังเกตดู บางครั้ง ใจเรารู้สึกเหมือนอยากจะสอน แต่ความจริงแล้ว เราเพียงอยากระบายอารมณ์ของเราด้วยการสั่งสอน สิ่งที่เราพูดแม้เป็นเรื่องจริง แต่ก็แฝงด้วยความโกรธ การสอนนั้นก็ไม่เกิดผล จริงไหมครับ

ในฐานะสมาชิกของสังคม
เมื่อเราอยู่ในสังคม สิ่งที่ต้องระวังคือ หากเห็นใครทำผิด ทำไม่ถูกใจเรา อย่ายึดมั่นถือมั่นในความรู้สึกและความคิดของตน อย่ายินดี ยินร้าย ใจเย็นๆไว้ก่อน พยายามเตือนตนเสมอ อย่าเชื่อความรู้สึก อย่าเชื่ออารมณ์ อย่ายินดียินร้าย ให้คิดเสียว่าคนทำงานก็ต้องมีผิดเพราะคนที่ไม่เคยทำผิดก็ไม่เคยทำงาน ไม่ว่าเราหรือเขาก็มีโอหาสทำผิดได้เหมือนกัน คงไม่มีใครปฎิเสธว่าเป็นธรรมดาของคนเราที่มักจะมองข้ามความผิดของตนเอง ชอบจับผิดแต่คนอื่นในขณะที่ปกติเราก็ทำผิดเหมือนกัน เท่ากันหรืออาจจะมากกว่าเขาเสียอีก แต่ความรู้สึกของเรา มักจะไม่เห็นความผิดของตัวเองเลย ซึ่งน่ากลัวจริงๆ อย่างที่เขาพูดกันว่า “มองเห็นความผิดคนอื่นเหมือนภูเขาลูกใหญ่ เห็นความผิดตนเท่ารูเข็ม ตดคนอื่นเหม็นเหลือทน ตดตนเองเหม็นไม่เป็นไร”

 

 สุดท้ายผมขอฝากไว้ว่า เมื่อมีใครจะมาแสดงอารมณ์โกรธกับเรา ผมขอให้ท่องจำไว้ว่า “คนที่โกรธคือคนบ้า และคนที่ทะเลาะกับคนบ้าคือคนโง่” เพราะคงไม่มีคนฉลาดที่ไหนที่จะไปทะเลาะกับคนบ้าใช่ไหมครับ และทุกครั้งที่เราเริ่มเกิดอารมณ์ไม่พอใจใครหรือสิ่งใด ผมขอให้ท่องจำไว้ว่า “หากไม่อยากเป็นคนบ้าจงอย่าเชื่อความรู้สึก ให้ระงับอารมณ์โกรธด้วยสติ จงให้อภัย” เพราะการที่เรารู้จักอโหสิกรรมแก่กันไม่ให้คิดอาฆาตพยาบาท ไม่ให้คิดเบียดเบียนกัน มีแต่ปรารถนาดีต่อกัน พยายามทำแต่กรรมดี ให้ทานเอื้อเฟื้อกัน มีปิยวาจา พูดดี พูดไพเราะ ทำประโยชน์ช่วยเหลือสังคม วางตนเหมาะสม เสมอต้นเสมอปลาย การประพฤติปฏิบัติต่อกันอย่างนี้ จะทำให้เราอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดไป เอ…ไม่ทราบว่าเขียนยาวไปคนอ่านโกรธหรือเปล่าครับ….

    
หมายเลขบันทึก: 86811เขียนเมื่อ 27 มีนาคม 2007 14:28 น. ()แก้ไขเมื่อ 13 พฤษภาคม 2015 01:45 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท