หลังจากทำค่ายเบาหวานแบบไม่ค้างแรมไปเมื่อเดือนก่อน พร้อมๆกับเชิญผู้ร่วมสนใจจาก ทั้ง จ.นครพนม และจ.มุกดาหาร มาสังเกตุการณ์ เพื่อเรียนรู้ร่วมกัน แต่หลังจากนั้น กลับพบว่ามีหลายๆ ที่ สนใจเชิญทีมงานของเราไปเป็นวิทยากรให้ ในทุกๆ หัวข้อแล้วแต่ความประทับใจ
ในมุมมองแรกเราก็รู้สึกดีใจ ที่มีผู้เห็นคุณค่า ความสามารถ แต่หลังจากลองคุยกันในรายละเอียด ทีมก็คุยกันว่า น่าจะไม่ใช่วัตถุประสงค์หลักในการทำงานของพวกเรา ที่ต้องตระเวณไปเป็นวิทยากรค่าย ตามที่ต่างๆ ในทางกลับกันแต่ละที่เองต่างหากที่ต้องสร้างวิทยากรของตนเองขึ้นมา โดยการศึกษาและแลกเปลี่ยนกับผู้ที่มีประสบการณ์ เหมือนที่ทีมเราใช้กระบวนการทาง KM ช่วย มาตลอด (อย่างที่มี อ.วิจารย์ กล่าวว่า "ไม่ทำ ไม่รู้")
หลังจากนี้ เมื่อได้รับการติดต่อมาเป็นวิทยากรค่ายเบาหวาน ทางทีมขอปฏิเสธไป ไม่ได้หมายถึงหยิ่ง หรือขาดน้ำใจนะครับ เพราะพวกเรายังพร้อมที่จะแลกเปลี่ยนในฐานะผู้ช่วยเหลือ ผู้ประสานงาน แต่คงไม่ใช่ในฐานะวิทยากรหลักครับ (จริงแล้ว พวกเราก็กำลังเรียนรู้เช่นกัน......)
เห็นด้วยครับ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้เป็นวิธีการที่ดี กว่าการอบรม โดยเฉพาะ การเรียนรู้ในชีวิตการทำงาน ที่ไม่ใช่การเรียนรู้ในชั้นเรียน
ผลที่ได้รับต่างกันมากทั้งผู้ให้และผู้รับ ดีกว่ามีผู้ให้ที่ให้อย่างเดียวไม่ได้เรียนรู้ ผู้รับก็รับอย่างเดียว ไม่ได้ เรียนรู้ และพัฒนาด้วยตนเอง
เห็นด้วยกับแนวทางของคุณเอนกและทีม รพร.ธาตุพนม แต่ละที่ควรเรียนรู้และทำงานด้วยตนเอง แล้วจะยิ่งรู้มากขึ้นเรื่อยๆ
ดิฉันภูมิใจในทีม รพร.ธาตุพนมมาก ได้เห็นพัฒนาการของทีมนี้มาอย่างต่อเนื่อง เป็นตัวอย่างที่ดีมากแห่งหนึ่ง