เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2550 ดิฉันได้ฟังเพื่อนคนหนึ่งบ่น "ผู้บริหาร" ทั้งในเรื่องของการมอบงานซ้ำแล้วซำอีก ย้ำคิดย้ำทำ ช่วยงานอะไรก็ไม่ค่อยสำเร็จ และเริ่มบ่นคนรอบ ๆ ข้างให้ดิฉันฟัง เป็นเวลาประมาณ 10 นาทีได้
ดิฉันก็สังเกตเห็นแล้วว่า "เริ่มไม่ค่อยพอใจกับหลาย ๆ เรื่องกับสภาพแวดล้อม เริ่มหงุดหงิดและมีอารมณ์ร้อนรนในใจค่อนข้างมาก และเริ่มหาพวกพ้อง" ดิฉันก็เลยใช้น้ำเย็นเข้าลูบ เพราะไม่อยากให้มีความคิดที่ไม่ดีต่อกันหรือมีอคติต่อกัน และใช้วิธีการที่ผิด ๆ กับการทำงานและกับคนรอบข้าง
ดังนั้น ดิฉันก็เลยพูดว่า..."ถ้าทุกคนในองค์กรคิดและทำแบบนี้กันทุกคน แล้วองค์กรจะอยู่กันได้อย่างไร?" และ "ที่ผ่านมาเราได้รับงบประมาณในการทำงานกับเขาเท่าไหร่กัน...ซึ่งถ้าให้เราต้องไปแข่งขันเพื่อสิ่งเหล่านี้นั้น..เราคงไม่ทำหรอกนะ..เพราะเราชินซะแล้ว...ซึ่งถ้าเราช่วยกันทำงาน เดี๋ยวเงินก็มาเองแหละ และเป็นหน้าที่ของผู้บริหารหน่วยงานที่เขาจะดูแลเราได้" ซึ่งโต้ตอบกันซักระยะ ก็ดูท่าทีว่าเย็นขึ้น ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า "ผู้ปฏิบัติเริ่มมองไม่เห็นความสามารถของผู้บริหาร การพึ่งพิงช่วยเหลือได้มีค่อนข้างต่ำ และศักยภาพของผู้นำมีค่อนข้างน้อย" จึงทำให้ผู้ปฏิบติเกิดความทุรนทุรายและดิ้นรน เหมือนกันการที่เราต้องต่อสู่ทุกอย่างด้วยตนเอง
ซึ่งดิฉันก็เก็บเอามาคิดต่อว่า...การจัดการความรู้ ที่จะไปได้นั้น "คุณเอื้อ" เป็นสิ่งสำคัญของการเสริมหนุน แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่า "ถ้าคุณเอื้อ ไม่สนับสนุนแล้ว การจัดการความรู้จะเกิดขึ้นไม่ได้" แต่ การจัดการความรู้ก็จะเกิดขึ้นได้ตามกำลังความสามารถโดยไม่มีน้ำหล่อเลี้ยง เหมือนคนเดินในถิ่นที่ทุรกันดาร ก็จะเหนื่อยมาก ไม่มีอาหารให้กินและอดน้ำ กว่าจะถึงจุดหมายปลายทางก็ยากลำบาก แต่เราก็ไม่หยุดเดิน...
บางครั้งเราก็ทำ KM ของตนเองก็ได้ ถึงจะไปถึงเป้าหมายช้าหน่อย แต่ก็สบายใจและมีความสุขได้ วันนี้ดิฉันก็ได้ชี้ทางบางเรื่องให้กับเพื่อนแล้ว หลังจากนี้ก็คงจะขึ้นกับตัวเขาเองว่า "คิดได้หรือเปล่า" แล้วจะเลือกเดินทางเส้นไหนถึงจะมีเพื่อนได้.
ไม่มีความเห็น