ความสำคัญของการดูแลรักษาเท้าในผู้ป่วยเบาหวาน


put feet first prevent amputation, IDF 2005

ความสำคัญของการดูแลรักษาเท้าในผู้ป่วยเบาหวาน

           เหตุที่ผู้ที่เป็นเบาหวานจำเป็นต้องให้ความเอาใจใส่กับการดูแลเท้าเป็นพิเศษ เนื่องจากผู้ที่เป็นเบาหวานเป็นเวลานานมักจะมีปัญหาชา รับความรู้สึกผิดปกติไป ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะเกิดแผลและอุบัติเหตุขึ้นได้ง่ายกว่าคนปกติถึง 12 เท่า สาเหตุเกิดจากภาวะน้ำตาลที่สูงเป็นเวลานานมักจะเกิดผลกระทบต่อการไหลเวียนโลหิต และส่งผลให้มีการนำกระแสประสาทที่ผิดปกติตามมา ด้วยเหตุนี้ทำให้ผู้ที่เป็นเบาหวานมานานมากกว่า 20 ปีอาจไม่รู้สึกได้ถึงเศษแก้วเล็กๆ ที่เข้ามาอยู่ในรองเท้า หรือเศษโลหะที่แทงทะลุรองเท้าขึ้นมา ด้วยผลดังกล่าวผู้ที่เป็นเบาหวานควรตรวจเท้าด้วยตนเอง เป็นประจำทุกวัน โดยการใช้กระจกส่องดูใต้ฝ่าเท้าว่ามีแผล, หนังหนาแข็ง ตาปลา ความผิดปกติอื่นๆ และ ตรวจรองเท้าเพื่อหาสิ่งแปลกปลอมก่อนการสวมใส่ทุกครั้ง

           เรามักได้ยินคนทั่วไปกล่าวว่าเป็นแผลเบาหวานมักรักษายาก พอเป็นแผลมักจะลุกลามกินเข้าไปเรื่อยๆ จนต้องตัดขา ซึ่งมีความเป็นจริงอยู่บ้างเพราะผู้ที่เป็นเบาหวานมักมีปัญหาเกี่ยวกับหลอดเลือด ส่งผลให้เลือดไปเลี้ยงแผลเพื่อเป็นอาหารและซ่อมแซมแผลได้น้อยลง

]         ประกอบกับเมื่อเกิดแผลที่ฝ่าเท้าขึ้น หากเป็นคนปกติมักจะเดินกระเผลกเพื่อหลีกเลี่ยงการกระทบกระเทือนต่อแผล แต่เนื่องจากอาการชาไร้ความรู้สึกเจ็บปวด ทำให้ผู้ที่มีอาการชายังคงเดินอย่างปกติและย่ำบนแผลซ้ำๆ ซึ่งเปิดโอกาสให้เชื้อโรคหรือสิ่งสกปรกเข้าสู่ร่างกายทางบาดแผล ก่อให้เกิดการติดเชื้อต่อเนื้อเยื่อใกล้เคียง และถ้าผู้ป่วยยังคงเดินเฉกเช่นคนปกติอยู่ ยิ่งทำให้เชื้อโรคกระจายมากขึ้นและหากกระดูกติดเชื้อ แพทย์จำเป็นต้องผ่าตัดเพื่อเอากระดูกที่เสียเหล่านี้ทิ้งไป เป็นสาเหตุทำให้เท้าสั้นลงเรื่อยๆ และวงจรนี้ยังคงดำเนินต่อไปหากยังไม่ตระหนักถึงความสำคัญของการตรวจดูแลรักษาเท้า จึงไม่แปลกเลยหากเราจะได้ยินคนรอบข้างพูดว่า คนเป็นเบาหวานหากเป็นแผลที่เท้าแล้วต้องตัดขา แต่ถ้าหากรู้สาเหตุที่แท้จริงแล้วก็ไม่เป็นการยากที่จะหยุดยั้งวงจรนี้ไม่ให้เกิดขึ้นได้

callus

ตาปลา,หนังแข็ง (Callus)

         เป็นกระบวนการ ปกติของร่างกายมนุษย์ ที่จะสร้างเกราะกำบังต่อแรงกดที่มากกว่าปกติต่อผิวหนังบริเวณฝ่าเท้า ซึ่งแรงกดจะมีมากบริเวณปลายนิ้ว ฝ่าเท้าและ ส้นเท้า จึงพบว่าตาปลามักจะพบได้เสมอๆในบริเวณดังกล่าว สิ่งที่น่ากลัวคือ ความแข็งของหนังเหล่านี้ สามารถที่จะทำให้เกิดบาดแผลใต้ต่อมันได้ ปกติเมื่อมีก้อนหินก้อนเล็กๆอยู่ในรองเท้าเรา จะก่อให้เกิดความรำคาญอย่างมากต้องรีบถอดรองเท้าเพื่อเคาะหินก้อนนั้นออก หนังแข็งเองก็เปรียบเสมือนก้อนหินก้อนเล็กๆที่ติดเท้าเราตลอดเวลา ท่านลองนึกดูว่าหากเท้าไม่รู้สึกเจ็บปวดและย่ำลงบนหินก้อนนี้ตลอดเวลาที่ยืนและเดิน หนังแข็งก็เปรียบเสมือนงูร้ายที่พันรอบเท้าของเราไปทุกย่างก้าวพร้อมที่จะฉกกัดให้เกิดบาดแผลได้ตลอดเวลา

              เมื่อรู้เช่นนี้แล้วผู้ที่เป็นเบาหวานและเริ่มมีอาการชาที่ปลายเท้าควรตรวจดูแลเท้าด้วยตนเองเป็นประจำทุกวัน พร้อมทั้งออกกำลังกายด้วยการเดินสบายๆ 10-15 นาทีตามด้วยการยกขาสูงประมาณ 30 องศา เพื่อเพิ่มการไหลเวียนเลือดบริเวณเท้า และหลีกเลี่ยงท่าทางที่จะทำให้เลือดไปเลี้ยงเท้าได้น้อยลงเช่น นั่งไขว่ห้างเพราะอาจไปกดเบียดหลอดเลือดดำใหญ่ใต้ข้อพับหัวเข่า ใส่รองเท้าตลอดเวลาทั้งในบ้านและนอกบ้าน ปฏิบัติเท่านี้ก็สามารถปกป้องอันตรายและบาดแผลที่จะเกิดกับเท้าเราได้ แต่หากเกิดหนังแข็งหรือบาดแผลขึ้นแล้ว ควรรีบไปพบแพทย์ที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เพื่อทำการรักษาแผลและจัดหารองเท้าที่เหมาะสมต่อไป

ธิติ ปราบ ณ ศักดิ์ / นักกายภาพบำบัด

คำสำคัญ (Tags): #foot care
หมายเลขบันทึก: 8484เขียนเมื่อ 30 พฤศจิกายน 2005 18:09 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 17:12 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)
         อ่านแล้วได้ความรู้ดีครับ แถมเป็นนักกายภาพบำบัดด้วย รพ.ผมไม่มีนักายภาพ  ... วันหลังเขียนอีกนะครับ

การรักษาโรคเบาหวานแบบหายขาดโดยสมุนไพรไทย

หายขาดจริงๆครับ

โดยความบังเอิญที่คุณพ่อผมได้เดินทางมาหาที่บ้านที่จังหวัดขอนแก่นแล้วมาเจอกับ คุณ ยายผมที่ป่วยเป็นเบาหวานมาหลายปี โดยการรักษาตลอด 12ปีที่ผ่านมาต้องไปรับยาทุกอาทิตย์ ตื่นตั้งแต่ตี 5เพื่อไปโรงบาล แกบอกว่าทรมานมากใครไม่เป็นไม่รู้หรอก เพื่อนๆแกได้ตัดนิ้ว-แขน-ขา บางคนตาบอด และตายไปก็หลายสิบคนแล้ว

พ่อบอกกับแม่ว่าแกมีสูตรสมุนไพรโบราณสมัยคุณปู่ผมที่อยู่ที่มาเลย์เซียก่อนเดินทางมาไทยและนำมาผสมกับสมุนไพรของคุณตาผมที่นำมาจากไร่ที่ จังหวัดเลยผสมชงทานกัน ตอนแรกแกไม่ยอมทาน กลัวสารพัดผ่านไปหลายวันเข้าพ่อผมแกก็ชงทานทุกวันให้แกดูเป็นตัวอย่าง แกเลยยอมหลังจากทานไปสัก 3-4วันแกบอกว่าจะปัสสาวะบ่อยมากและจะมีอาการร้อนวูบวาบ และอาการชาปลายนิ้วตอนเช้าได้หายไปและหลังจากทานไปได้ 7วันแกอยากทานนั่นทานนี่(ปรกติไม่ยอมทานอะไร) ผิวพรรณจากแห้งๆเริ่มมีน้ำมีนวล และขาเริ่มมีกำลังสามารถลุกขึ้นเดินได้ จนแม่ได้พาไปตรวจที่ โรงพยาบาลขอนแก่น ผลออกมาว่าน้ำตาลในเลือดจากเดิม 230 ลดลงเหลือเพียง 115เท่านั้น เอง จนหมอเองก็ประหลาดใจอยู่ไม่น้อย แกทานมาได้สักประมาณ 1เดือนแล้วกลับไปวัดน้ำตาลอีกก็ได้รับผลว่าปรกติดี จวบจนถึงปัจจุบันนี้คุณหมอ ได้ทำการแจ้งว่าไม่ต้องมาตรวจแล้วครับ หายจากการเป็นเบาหวานแล้ว ก็ทำให้ทุกคนในบ้านประหลาดใจมากครับ

ผมคนนึงที่ไม่เชื่อครับ ก็เลยเอามให้น้องๆที่ทำงานที่ร้อยเอ็ดนำไปให้คนที่บ้านทาน ผลก็เป็นเช่นเดิมกับยายผมทานไปน่าจะประมาณ 83คน มีที่ไม่หาย 3คน ซึ่งจากการสอบถามแล้วได้ความว่าทานไปเพียง 1-3วันแล้วไม่กล้าทานต่อครับ

ส่วนท่านอื่นๆปัจจุบันหายขาดแล้วเพราะไม่ได้นำไปทานอีกเลย

ผมจึงบอกคนที่หายว่าถ้าทานแล้วหายให้ระลึกถึงคุณของผู้ที่ล่วงลับไปแล้วที่ได้คิดค้นสูตรโบราณนี้ไว้ให้แก่คนรุ่นนี้ครับ

อัศจรรย์จริงๆครับ

รายละเอียดเพิ่มเติมกรุณาติดต่อที่ คุณ ธิดา อึ้งนภารัตน์ 123/456 ม.เพรสซิเดนท์ ต.แดงใหญ่ อ.เมือง จ.ขอนแก่น 40000หรือโทร 083-3459197

อยากได้คำปรึกษาเกี่ยวกับการตัดอวัยวะที่เป็นแผลลุกลามที่เกิดจากแผลโรคเบาหวาน

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท