ความสำคัญของการดูแลรักษาเท้าในผู้ป่วยเบาหวาน
เหตุที่ผู้ที่เป็นเบาหวานจำเป็นต้องให้ความเอาใจใส่กับการดูแลเท้าเป็นพิเศษ เนื่องจากผู้ที่เป็นเบาหวานเป็นเวลานานมักจะมีปัญหาชา รับความรู้สึกผิดปกติไป ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะเกิดแผลและอุบัติเหตุขึ้นได้ง่ายกว่าคนปกติถึง 12 เท่า สาเหตุเกิดจากภาวะน้ำตาลที่สูงเป็นเวลานานมักจะเกิดผลกระทบต่อการไหลเวียนโลหิต และส่งผลให้มีการนำกระแสประสาทที่ผิดปกติตามมา ด้วยเหตุนี้ทำให้ผู้ที่เป็นเบาหวานมานานมากกว่า 20 ปีอาจไม่รู้สึกได้ถึงเศษแก้วเล็กๆ ที่เข้ามาอยู่ในรองเท้า หรือเศษโลหะที่แทงทะลุรองเท้าขึ้นมา ด้วยผลดังกล่าวผู้ที่เป็นเบาหวานควรตรวจเท้าด้วยตนเอง เป็นประจำทุกวัน โดยการใช้กระจกส่องดูใต้ฝ่าเท้าว่ามีแผล, หนังหนาแข็ง ตาปลา ความผิดปกติอื่นๆ และ ตรวจรองเท้าเพื่อหาสิ่งแปลกปลอมก่อนการสวมใส่ทุกครั้ง
เรามักได้ยินคนทั่วไปกล่าวว่าเป็นแผลเบาหวานมักรักษายาก พอเป็นแผลมักจะลุกลามกินเข้าไปเรื่อยๆ จนต้องตัดขา ซึ่งมีความเป็นจริงอยู่บ้างเพราะผู้ที่เป็นเบาหวานมักมีปัญหาเกี่ยวกับหลอดเลือด ส่งผลให้เลือดไปเลี้ยงแผลเพื่อเป็นอาหารและซ่อมแซมแผลได้น้อยลง
] ประกอบกับเมื่อเกิดแผลที่ฝ่าเท้าขึ้น หากเป็นคนปกติมักจะเดินกระเผลกเพื่อหลีกเลี่ยงการกระทบกระเทือนต่อแผล แต่เนื่องจากอาการชาไร้ความรู้สึกเจ็บปวด ทำให้ผู้ที่มีอาการชายังคงเดินอย่างปกติและย่ำบนแผลซ้ำๆ ซึ่งเปิดโอกาสให้เชื้อโรคหรือสิ่งสกปรกเข้าสู่ร่างกายทางบาดแผล ก่อให้เกิดการติดเชื้อต่อเนื้อเยื่อใกล้เคียง และถ้าผู้ป่วยยังคงเดินเฉกเช่นคนปกติอยู่ ยิ่งทำให้เชื้อโรคกระจายมากขึ้นและหากกระดูกติดเชื้อ แพทย์จำเป็นต้องผ่าตัดเพื่อเอากระดูกที่เสียเหล่านี้ทิ้งไป เป็นสาเหตุทำให้เท้าสั้นลงเรื่อยๆ และวงจรนี้ยังคงดำเนินต่อไปหากยังไม่ตระหนักถึงความสำคัญของการตรวจดูแลรักษาเท้า จึงไม่แปลกเลยหากเราจะได้ยินคนรอบข้างพูดว่า คนเป็นเบาหวานหากเป็นแผลที่เท้าแล้วต้องตัดขา แต่ถ้าหากรู้สาเหตุที่แท้จริงแล้วก็ไม่เป็นการยากที่จะหยุดยั้งวงจรนี้ไม่ให้เกิดขึ้นได้
ตาปลา,หนังแข็ง (Callus)
เป็นกระบวนการ ปกติของร่างกายมนุษย์ ที่จะสร้างเกราะกำบังต่อแรงกดที่มากกว่าปกติต่อผิวหนังบริเวณฝ่าเท้า ซึ่งแรงกดจะมีมากบริเวณปลายนิ้ว ฝ่าเท้าและ ส้นเท้า จึงพบว่าตาปลามักจะพบได้เสมอๆในบริเวณดังกล่าว สิ่งที่น่ากลัวคือ ความแข็งของหนังเหล่านี้ สามารถที่จะทำให้เกิดบาดแผลใต้ต่อมันได้ ปกติเมื่อมีก้อนหินก้อนเล็กๆอยู่ในรองเท้าเรา จะก่อให้เกิดความรำคาญอย่างมากต้องรีบถอดรองเท้าเพื่อเคาะหินก้อนนั้นออก หนังแข็งเองก็เปรียบเสมือนก้อนหินก้อนเล็กๆที่ติดเท้าเราตลอดเวลา ท่านลองนึกดูว่าหากเท้าไม่รู้สึกเจ็บปวดและย่ำลงบนหินก้อนนี้ตลอดเวลาที่ยืนและเดิน หนังแข็งก็เปรียบเสมือนงูร้ายที่พันรอบเท้าของเราไปทุกย่างก้าวพร้อมที่จะฉกกัดให้เกิดบาดแผลได้ตลอดเวลา
เมื่อรู้เช่นนี้แล้วผู้ที่เป็นเบาหวานและเริ่มมีอาการชาที่ปลายเท้าควรตรวจดูแลเท้าด้วยตนเองเป็นประจำทุกวัน พร้อมทั้งออกกำลังกายด้วยการเดินสบายๆ 10-15 นาทีตามด้วยการยกขาสูงประมาณ 30 องศา เพื่อเพิ่มการไหลเวียนเลือดบริเวณเท้า และหลีกเลี่ยงท่าทางที่จะทำให้เลือดไปเลี้ยงเท้าได้น้อยลงเช่น นั่งไขว่ห้างเพราะอาจไปกดเบียดหลอดเลือดดำใหญ่ใต้ข้อพับหัวเข่า ใส่รองเท้าตลอดเวลาทั้งในบ้านและนอกบ้าน ปฏิบัติเท่านี้ก็สามารถปกป้องอันตรายและบาดแผลที่จะเกิดกับเท้าเราได้ แต่หากเกิดหนังแข็งหรือบาดแผลขึ้นแล้ว ควรรีบไปพบแพทย์ที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เพื่อทำการรักษาแผลและจัดหารองเท้าที่เหมาะสมต่อไป
ธิติ ปราบ ณ ศักดิ์ / นักกายภาพบำบัด