ผมเดินทางออกจากมหาสารคามด้วยรถตู้เมื่อเวลาประมาณ 5 นาฬิกาเศษของวันที่ 15 มีนาคม 2550 โดยมีจุดมุ่งหมายภาคเช้าอยู่ที่การไปเยี่ยมค่ายโครงการ “สองมือโฮมแฮงแบ่งปันน้ำใจสู่ไทบ้าน” ของชมรมยุวชนประชาธิปไตยและชมรม MSU CARP (พัฒนาผู้นำ) ที่จัดขึ้น ณ โรงเรียนบ้านเหล่าม่วง ต.ธาตุ อ.รัตนบุรี จ.สุรินทร์
โครงการ “สองมือโฮมแฮงแบ่งปันน้ำใจสู่ไทบ้าน” เป็นความร่วมมือขององค์กรนิสิต 2 องค์กร คือชมรมยุวชนประชาธิปไตยและชมรม MSU CARP (พัฒนาผู้นำ) โดยทั้งสององค์กรเป็นชมรมสังกัดองค์การนิสิต ซึ่งกิจกรรมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์หลัก คือ การเสริมสร้างจิตสำนึกสาธารณะในเกิดแก่นิสิต การเสริมสร้างโอกาสให้นิสิตได้เกิดกระบวนการเรียนรู้ด้วยการปฏิบัติจริงในเรื่องวิถีวัฒนธรรมชุมชน ตลอดจนการให้บริการด้านวิชาการและการรณรงค์ในเรื่องต่าง ๆ แก่ชุมชน
โครงการดังกล่าวมีลักษณะที่เป็น “สหกิจกรรม” หรือเป็น “ค่ายบูรณาการ” ประกอบด้วยกิจกรรมที่หลากหลายรูปแบบ อันได้แก่ การสร้างห้องสุขาขนาด 4 ที่นั่ง การทาสีอาคารเรียน การสอนหนังสือนักเรียน การรณรงค์เรื่องลดละอบายมุข (ปลอดเหล้า ปลอดบุหรี่) การสำรวจข้อมูลและแนะนำเรื่องการดูแลสุขภาพ การเสวนาให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องการบริหารท้องถิ่นแบบมีส่วนร่วมของประชาชน รวมถึงการเรียนรู้วิถีชีวิตและวัฒนธรรมในชุมชน
ผมและคณะเดินทางมาถึงสถานที่ออกค่ายในเวลาที่ยังไม่ถึง 9 นาฬิกา นักเรียนระดับประถมศึกษายังคงเข้าแถวหน้าเสาธงรับฟังโอวาทจากคุณครู ขณะที่นิสิตส่วนหนึ่งเริ่มลงงานต่อการสร้างห้องสุขา ส่วนหนึ่งยังคงติดอยู่ในหมู่บ้านกับพ่อฮักและแม่ฮัก
ท่าที่ผมสังเกตจะเห็นได้ว่า บ้านเหล่าม่วง - เป็นชุมชนขนาดใหญ่ที่ประกอบด้วย 2 หมู่ (หมู่ 11 และหมู่ 14) ห่างจากตัวเมืองอำเภอรัตนบุรีประมาณ 10 กิโลเมตร ชาวบ้านเป็นเกษตรกรทำไร่ทำนาเป็นอาชีพหลัก มีวิถีวัฒนธรรมเฉกเช่นชาวอีสานทั่วไป ยึดฮีตสิบสองคองสิบสี่เป็นแบบแผนวัฒนธรรมการดำเนินชีวิต
ค่ายครั้งนี้ นิสิตจำนวน 40 คนเลือกที่จะพักแรมอาศัยอยู่กับชาวบ้าน (พ่อฮัก – แม่ฮัก) เพื่อเน้นให้สามารถเรียนรู้และฝังตัวสัมผัสจริงอย่างลึกในวิถีชีวิตของชาวบ้าน โดยอาหารเช้าพึ่งพาชาวบ้าน แต่อาหารเที่ยงและอาหารเย็นเป็นหน้าที่ของชาวค่ายทั้งหลายที่จะลงแรงทำอาหารช่วยกัน
ชาวบ้านหลายท่านบอกเล่ากับผมว่า “ตื่นเต้น” เป็นอย่างมากที่มีโอกาสได้มี “ลูกฮัก” ต่างแดนเป็นนิสิต ”ตื่นเช้ามามีคนช่วยทำงานบ้าน ปัดกวาดบ้าน ถูบ้าน นึ่งข้าว หุงหาอาหาร ช่วยเลี้ยงน้อง บ้างก็นำวัวควายออกไปผูกเลี้ยงไว้ที่ชายทุ่ง”
แต่ก็น่าสงสัยจับจิตจับใจเพราะนิสิต “นอนดึก” กันมากและก็ไม่รู้ว่าเข้ามานอนตอนไหน ! รู้แต่เพียงว่าทั้งวันก็ทำกิจกรรมตามที่ได้รับมอบหมาย กลางคืนจัดกิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ ตกดึกประชุมสรุปงานและเตรียมงาน
ผมชื่นชอบและให้ความสำคัญต่อกิจกรรมนี้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากิจกรรมอื่น ๆ แต่ก็ยอมรับว่าค่ายนี้มีความน่าสนใจเป็นพิเศษ เพราะกิจกรรมที่จัดขึ้นมีความหลากหลายและเน้นการเรียนรู้มากกว่าการสร้างถาวรวัตถุ รวมถึงความชาญฉลาดที่จะระดมทุนทำกิจกรรม ทั้งการขอรับงบประมาณสนับสนุนจากองค์กรภายนอก อย่าง สสส. และมูลนิธิโกมลคีมทอง รวมถึงการจัดตั้งกองทุนผ้าป่าการศึกษา เพื่อขอรับบริจาคปัจจัยจากนิสิตและบุคลากร ตลอดจนชาวมหาสารคามเพื่อนำไปเป็นต้นทุนในการออกค่าย
วันแรกชาวค่ายได้ใช้เวลาการพบปะกับชาวบ้านทำความเข้าใจเรื่องที่มาที่ไปของกิจกรรม มีการแห่ “ต้นดอกเงิน” กันอย่างคึกคัก มีขบวนดนตรีประโคมแห่แหนอย่างสนุกสนาน จากนั้น ดร. พุฒิพงศ์ สัตยวงศ์ทิพย์ (คณบดีคณะเภสัชศาสตร์ มมส) ก็ทำหน้าที่เป็นวิทยากรบรรยายให้ความรู้แก่ชาวบ้านในเรื่อง “สุขภาพพอเพียง”
วันถัดมา อ.มณีรัตน์ มิตรปราสาท ก็เป็นวิทยากรร่วมเวทีชาวบ้านเปิดประชาคมในหัวข้อ “การบริหารท้องถิ่นแบบมีส่วนร่วมของประชาชน”
ผมทราบว่าชาวค่ายกำหนดให้ทุกคนทำการเรียนรู้และจัดเก็บข้อมูลเกี่ยวกับวิถีวัฒนธรรมชุมชน รวมถึงการเน้นให้แต่ละคนเผยแพร่ความรู้เรื่องสุขภาพพอเพียงแก่ชาวบ้าน รวมถึงการจัดเก็บข้อมูลพื้นฐานด้านสุขภาพของชาวบ้าน ทั้งการกินอยู่ การรักษาสุขภาพด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่น ขณะเดียวกันก็เรียนรู้กับกระบวนการสร้างผลิตภัณฑ์เศรษฐกิจชุมชน ทั้งการทำไม้กวาดจากทางมะพร้าวและการทำขนมกล้วยฉาบ
ผมพยายามย้ำเตือนเรื่องความชัดเจนของโจทย์การศึกษา - ความมีระบบของการบริหารงาน การรู้จักสรุปบทเรียนและร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันของ “ชาวค่ายและไทบ้าน” โดยเฉพาะกิจกรรมในเชิงนามธรรมทั้งหลายควรต้องมีการสรุปบทเรียนที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม ซึ่งชุมชนต้องสัมผัสรับรู้ได้จากสิ่งที่เป็นผลพวงของการเรียนรู้ ไม่ใช่ทำแค่ผ่าน ๆ พอให้เสร็จ ๆ ไปในแบบชนิดวันต่อวัน !
ที่สำคัญคือ ค่ายนี้มีความโชคดีในทางชุมชนอยู่หลายประการที่เอื้อต่อการทำงานให้ประสบความสำเร็จ ได้แก่ นิสิตที่มาออกค่ายเป็นคนในชุมชนโดยตรง ชาวบ้านให้ความร่วมไม้ร่วมมือเป็นอย่างดียิ่ง ทั้งในฐานะ "พ่อฮักแม่ฮัก พ่อช่าง แม่ครัว" และกิจกรรมที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ก็มาจากการสำรวจแล้วว่าชุมชนต้องการอะไรบ้าง
นอกจากนั้นผมยังฝากแนวคิดเกี่ยวกับการสร้างกระบวนการเพื่อให้สามารถวางแผนและกำหนดเป้าประสงค์การทำงานที่เป็นรูปธรรม (ability to plan and set objectives) เพราะการทำค่ายคงมิใช่ชี้วัดที่แรงงานและหยาดเหงื่อสถานเดียว แต่ต้องไม่ลืมที่จะสร้างหรือนำความรู้ทางการบริหาร (business knowledge) มาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพ รวมไปถึงการเรียนรู้กระบวนยุทธของทักษะการทำงานกันเป็นทีม (teamwork skill) ก็ล้วนแล้วแต่เป็นโจทย์ที่ต้องกำหนดให้ชัดแจ้ง
ถ้าไม่รู้ว่าโจทย์ของการทำงานคืออะไร ก็ย่อมไม่ต่างไปจากการไม่รู้ว่าตนเองเป็นใคร มาจากไหน จะทำอะไร ปรารถนาอะไร (need) ราวกับกำลังตกอยู่ในสภาวการณ์ที่กำลังสับสนในความต้องการ (neurotic need) เลยไม่รู้ว่าในฐานะของผู้เรียนรู้ต้องทำอะไรบ้าง และในฐานะของผู้ให้ก็ต้องหยิบยื่นอะไรไปบ้าง !
ผมไม่อยากให้ค่ายนี้เป็นแฟชั่นแต่เพียงลมปากว่าเป็นเสมือน “ทางเลือกใหม่” ของการทำค่ายที่สวยหรูว่า “ไม่เน้นการสร้างวัตถุ หากแต่เน้นเรื่องการเรียนรู้วิถีวัฒนธรรมอย่างฝังลึก” แต่ก็ยอมรับอยู่อย่างหนึ่งว่าค่ายนี้ท้าทายความสามารถของนิสิตอยู่ไม่น้อย
น่าเสียดายที่ผมและทีมงานมีเวลาใช้ชีวิตอยู่ในค่ายแค่ราว ๆ 3 ชั่วโมงเศษเท่านั้น เนื่องจากต้องรีบเดินทางต่อมายัง อ.พยัคฆภูมิพิสัย จ.มหาสารคาม เพื่อเข้าเยี่ยมให้กำลังใจต่อชาว “วงแคน” ที่ออกค่ายด้านดนตรีและนาฏศิลป์อยู่ที่นั่น
ผมเชื่อว่าการสร้างห้องสุขาเพียง 4 ที่นั่งก็ไม่ยากเย็นเกินกำลังของนิสิตและชาวบ้านที่จะสร้างให้แล้วเสร็จได้อย่างไม่ยากเย็น
กระนั้นก็ปรารถนาที่จะเห็นกิจกรรมอื่น ๆ ที่เน้นกระบวนการแห่งการเรียนรู้ที่ฝังลึกได้ก่อเกิดเป็นรูปรอยอย่างชัดเจนด้วยเช่นกัน
และเชื่อมั่นว่าพวกเขาทำได้ … อย่างน้อยก็ได้เป็นอีกทางเลือกของค่ายในแบบบูรณาการที่น่าสนใจ
ขอบคุณมากครับ คุณพิชชา
ชมรมยุวชนฯ เป็นชมรมที่ตั้งขึ้นใหม่ปีนี้เอง มุมมองวิธีคิดกิจกรรมน่าสนใจแต่ก็ยังขาดทักษะเรื่องการวางระบบงาน ส่วนอีกองค์กร ก็สันทัดเรื่องอบรมสัมมนาเป็นหลัก พอลงพื้นที่จัดค่ายเลยปรับตัวขนานใหญ่
แต่ภาพรวมผมก็ถือว่า "ผ่าน" ..และจุดแข็งคือชุมชนให้ความร่วมมือดีมาก
ขอบคุณครับ
น่าชื่นใจครับ
ขอบคุณสำหรับกิจกรรมนิสิตที่ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนท้องถิ่นบ้านเฮาครับ
เอ....แล้ว "ห้องสุขาขนาด 4 ที่นั่ง" มันเป็นยังงัยน้า หรือว่าในห้องเดียว มีคอห่านอยู่ 4 อัน ?
กัมปนาท
ขอบคุณครับ...พี่อัมพร
ข้อสังเกตทุกข้อเป็นการสะท้อนให้เห็นว่าพี่อัมพรชัดเจนอยู่กับกระบวนการพัฒนานิสิตมายาวนานและลึกซึ้ง
ปีนี้ผมไปเยี่ยมค่าย..แต่เน้นการนิเทศภายในอย่างจริงจังและเป็นกันเอง...
มีค่ายมากกว่า 20 ค่าย....เหนื่อยแค่ไหนก็ต้องไปให้ถึงให้มากที่สุด ...ผมย้ำกับเจ้าหน้าที่เราต้องไปให้มากที่สุด ... ไปดู ไปขอบคุณนิสิต... ไปขอบคุณชาวบ้าน...
พรุ่งนี้ผมเดินทางเช้าตรู่อีกครั้งครับ...คราวนี้ขึ้นภูพานไปสกลนคร..
งานค่ายสอนให้นิสิตได้เรียนรู้ตนเอง เพื่อนรอบข้างรวมถึงชุมชนได้เป็นอย่างดี
และเขาก็จะถูกค้นพบตัวตนของตนเองโดยวิธีของเขาเอง
ขอบคุณมากครับ
ขอบคุณครับ คุณออต
อยู่บ้านท่าน อย่านิ่งดูดาย
ปั้นวัว ปั้นควาย ไล่ขวิดลูกท่านเล่น ...(ฮา...ผมแซวนิสิตเราเช่นนั้น ครับ)
เป็นไงครับ ลูกศิษย์ออกค่ายที่ไหนบ้าง ?
ปีนี้ มมส มีค่ายเยอะจริง ๆ ทำเอาผมต้องสัญจรร่อนเร่ กินนอนบนรถตู้
แต่ก็มีความสุขมากครับที่ได้ไปให้กำลังใจนิสิต
การไปดูด้วยตนเอง หรือแม้แต่การมอบหมายให้ จนท. ลงพื้นที่เยี่ยมเยียนให้กำลังใจและดูแลนิสิต ผมให้น้ำหนักความสำคัญมากเป็นพิเศษ จากนั้นจะนำมาศึกษาวิเคราะห์ต่อยอดในการพัฒนาและสร้างความเข้มแข็งให้กับองค์กรนิสิต
เหนื่อยบ้างแต่ก็มีความสุขครับ
ของคุณพี่อัมพร
สมัยเป็นนักศึกษาตลอด 4 ปี ผมก็เคยร่วมออกค่ายในลักษณะนี้เหมือนกัน โดยมีวัตถุประสงค์หลักเชิงนามธรรมซักหน่อย คือ เรียนรู้การอยู่ร่วมกับชุมชน ผนวกกับกิจกรรมเชิงรูปธรรม แต่ละปีกรอบงานค่อนข้างจะเป็นสูตรสำเร็จพอสมควร เช่น
แม้จะมีกรอบค่อนข้างสำเร็จรูป แต่ในรายละเอียดกิจกรรมจะได้มาจากการสำรวจปัญหาและความต้องการของชาวบ้าน...ซึ่งในกิจกรรมที่เป็นการให้ความรู้ก็จะเชิญวิทยากรที่มีความรู้ในเรื่องนั้น ๆ...บางทีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังไม่เคยมาหมู่บ้านนั้นด้วยซ้ำ
การกินอยู่ก็พักกับชาวบ้านเหมือนกันตลอด 9 วันหลังละ 2-3 คน ...ที่แตกต่างไปหน่อย คือ อยู่กินกับชาวบ้านทั้ง 3 มื้อ...โดยแจกจ่ายเสบียงให้แต่ละคนไปทำอาหารร่วมกับชาวบ้าน เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนชาวบ้านมากเกินไป...และสร้างความสัมพันธ์ได้เป็นอย่างดี...ได้พ่อฮัก แม่ฮัก พี่ฮัก น้องฮัก กลับมา ปัจจุบันก็ยังติดต่อกันอยู่...การร่วมการกินอยู่กับชาวบ้าน มีหลักการง่ายที่ตกลงกันคือ ชาวบ้านพาทำอะไรก็ทำ พาไปไหนก็ไป พากินอะไรก็กิน ฯลฯ การที่จะซึมลึกหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับพื้นฐานของแต่ละคน...
ในการจัดโครงงานแต่ละโครงงานก็จะมีหัวหน้าโครงงานเป็นผู้รับผิดชอบหลัก โดยสมาชิกแต่ละคนจะได้สัมผัสกับทุกโครงการเวียนไปในแต่ละวัน และร่วมสรุปบทเรียนที่ได้ในแต่ละวันในการประชุม
...บางทีการจัดกิจกรรมดึกดึกก็เป็นการรบกวนชาวบ้านเหมือนกัน...เช่น การประชุม ซึ่งพ่อฮักแม่ฮักบางคนก็มารอ หรือพ่อฮักแม่ฮักบางคนก็ยังไม่หลับไม่นอนเพราะเป็นห่วง...ยังไม่นับเรื่องการร่ำเมรัย...ซึ่งเป็นปัญหาโลกแตกในค่าย...
แต่อย่างไรก็ตาม ผมได้เรียนรู้ว่า ความไม่สมบูรณ์แบบของค่าย ช่วยให้เราได้เรียนรู้ว่า เราควรจะทำอย่างไรกับค่ายต่อไป...
ผมเองไม่เข้าไปจัดการกระบวนการใด ๆ ของนิสิต เพียงแต่ให้คำแนะนำ และเสนอแนะ รวมถึงวิพากษ์วิจารณ์บางประเด็นเกี่ยวกับการทำงานของนิสิต เพื่อให้นิสิตสามารถขับเคลื่อนและมองงานให้ทะลุปรุโปร่งมากยิ่งขึ้น
ผมย้ำกับนิสิตว่าการกินอยู่กับชาวบ้าน ถือเป็นโอกาสอันดีของการเรียนรู้แบบฝังตัวที่ต้องระมัดระวังเรื่องการวางตัว รวมถึงการเข้าเป็นส่วนหนึ่งในวิถีนั้นอย่างไม่รู้สึกแปลกแยก...
ผมเป็นกำลังใจให้เสมอนะครับ...
คุณโก๊ะ ครับ
เปิดเรียนผมนัดนิสิตเหล่านี้กลับเข้ามาห้องเรียนกิจกรรมอีกครั้ง เพื่อสรุปบทเรียนและแบ่งปันบทเรียนนั้นไปสู่เพื่อนชมรมต่าง ๆ รวมถึงการประมวลผลการประเมินของผมและทีมงานเพื่อร่วมเรียนรู้กับนิสิต
ยังคิดอยู่เลยว่าจะประกวดภาพถ่าย "วิถีค่าย" คงมีภาพดี ๆ ความหมายดี ๆ ...จำนวนมากมายมหาศาล ซึ่งภาพเหล่านี้จะทำหน้าที่บอกเล่าเรื่องราวของค่ายนั้น ๆ สืบต่อไป
ขอให้มีความสุขกับการใช้ชีวิตนะครับ
ขอบคุณมากครับ
ประเด็นที่นำเสนอชัดเจน "คม ชัด ลึก" มาก ๆ ซึ่งวันนี้ผมก็นั่งประมวลทัศนะตนเองจากการเที่ยวเยี่ยมเยียนค่ายต่าง ๆ โดยบางส่วนก็นำเสนอผู้บริหารในทำนองเดียวกับที่คุณชอเลี้ยวเฮียงได้กล่าวถึง
นิสิตมองงานไม่ทะลุ กระบวนการยังไม่แจ่มชัด ทำการบ้านก่อนลงพื้นที่น้อยไปหน่อย แต่เชื่อว่าการสรุปบทเรียนดังที่ไม่เคยทำมาก่อนจะช่วยเป็นเสมือน "กระจกเงา" ที่สะท้อนภาพการทำงานให้นิสิตได้เรียนรู้ข้อเท็จจริงที่ชัดเจน และนำไปสู่การพัฒนาระบบที่ดีในโอกาสต่อไป
ขอบคุณมากครับสำหรับข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์อย่างสูงสุด