วันที่ 8 มีนาคม 2550 เป็นครั้งแรกที่ดิฉันมีโอกาสรู้จักการจัดกิจกรรมที่เรียกว่า World Cafe โดย อาจารย์ Beeman เป็นผู้แนะนำให้รู้จัก
ลักษณะของกิจกรรม
แบ่งสมาชิกทุกคนเป็น... กี่กลุ่มแล้วแต่จำนวนสมาชิกทั้งหมด แล้วจัดให้สมาชิกได้ดู (ฟัง พูด อ่าน เขียน หรือ ฯลฯ) ในสิ่งเดียวกัน จากนั้นแต่ละกลุ่มก็แลกเปลี่ยนระหว่างสมาชิกกลุ่ม และที่สำคัญบันทึกลงไปบนกระดาษ หรืออุปกรณ์อื่น แล้วแต่จะกำหนด ( ดิฉันว่าวันหน้าใช้ ลูกโป่ง เขียนเสร็จเป่า มันต้องขยายขึ้น ;-)) หลังจากให้เวลาพอสมควรก็สลับกลุ่มกันไปยังกลุ่มอื่นๆ และแสดงความคิดเห็นหรือเพิ่มเติมสิ่งที่ขาดหรืออันไหนไม่เห็นด้วยก็ตัดไป (ก็ยังได้) จนครบทุกกลุ่ม หรืออาจเกือบครบ แล้วแต่สถานการณ์และเวลา หลังจากนั้นก็นำเสนอกลุ่มใหญ่
สิ่งที่(ดิฉัน)ได้
ตัวบุคคล เดินๆ ดูแต่ละคนในกลุ่มแสดงความคิดเห็น เห็นชัดๆ คือ คนที่แสดงความคิดเห็นไม่อึดอัดเหมือนขอให้พูดในที่ประชุมที่มีประธาน (ซึ่งมักจะเป็น หัวหน้าหน่วยงานที่คนพูดด้วยต้องเกร็งๆ เล็กน้อย หรือมากมาย) เพราะว่ามันออกมาจากความคิดเห็นของเขา ความเข้าใจของเขาเอง ถ้าจัดกิจกรรมแบบนี้บ่อยๆ คนคงซึมซับวัฒนธรรมการแสดงความคิดเห็นไปแบบไม่รู้ตัวแน่ๆ เลย ไอ้ประเภทเดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด หรือประเภท คมในฝัก (อ้างมาจาก อ. แสวง) คงจะไม่ฮิตในวงการราชการเรานิ
กลุ่ม แน่นอนการที่ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนกันมากขึ้น สร้างความสนิทสนม (หรือร้าวฉาน!!!) และการเปิดใจจะทำให้ทุกคนเข้าใจคนที่คุยด้วยมากขึ้น ได้เห็นศักยภาพลึกๆ ที่ถูกเก็บไว้ฉายแววออกมาพร้อมกับการแสดงความคิดเห็น แน่นอนย่อมได้รับการยอมรับจากสมาชิกกลุ่มเพิ่มมากขึ้น มีความสุขกับการทำงานกับกลุ่มมากขึ้น
องค์กร ถ้าสมาชิกกล้าแสดงความคิดเห็นใครได้ประโยชน์สูงสุด (แค่เพียงจ่ายเงินงบประมาณจัดงานเล็กๆ น้อยๆ) คงพอเดาได้ แต่ที่ลึกกว่านั้น ดิฉันเห็นกลุ่มแรก เป็นวัฒนธรรมเดิมขององค์กรที่มีทั้งดีและไม่ดี พอมีสมาชิกเข้ามาใหม่ เขาก็เริ่มนำวัฒนธรรมใหม่ๆ เข้ามา มีทั้งดีและไม่ดีเช่นกัน สมาชิกกลุ่มมีบทบาทสำคัญมากในการปรับเปลี่ยนข้อคิดเห็นในองค์กร (ความคิดเห็นของกลุ่มเดิม) เขา บางคนอาจเพิ่มเติมสิ่งดีๆ ที่มีอยู่เดิมให้สมบูรณ์ขึ้น ขณะที่เขาบางคนก็ตัดสิ่งดีๆ ที่ขัดแย้งกับความคิดของเขาออกไป และเติมสิ่งที่เขาคิด (ดีหรือไม่ดี) ลงไป แต่วัฒนธรรมกลุ่ม ทำให้เขาเหล่านั้นไม่อาจกระทำตามใจปรารถนาได้ทุกประการ ด้วยกระบวนการ Social Control นั่นคือประโยชน์ของการมีกลุ่มสมาชิก ถ้าองค์กรไหนสามารถทำให้สมาชิก เต็มใจนำเสนอความคิดเห็นได้อย่างอิสระ น่าจะมีผลต่อการพัฒนาองค์กรนั้นๆ อย่างจริงจัง ยกเว้น องค์กรนั้นมีสมาชิกที่เห็นแก่พวกพ้องมากกว่าองค์กร (แต่ ดิฉันมั่นใจว่าคนเรา มีพื้นฐานดีมากกว่าไม่ดี ถ้าทำผิดเราจะรู้สึกผิด ถึงได้พยายามแก้ตัวด้วยวิธีการต่างๆ เช่น คนที่มาทำงานสายมักจะพยายามทำงานให้มากขึ้น หรือกลับเย็น หรือคนที่ทำผิดกับองค์กร มักไม่กล้าสู้หน้ากับหัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงาน ไม่ก็หาสารพัดเหตุผลมาแก้ตัว ล้วนแล้วแต่เกิดจากจิตใต้สำนึกที่บอกว่าตนเองทำผิด เป็นต้น)
สรุป การจัดกิจกรรมแบบนี้ได้มากกว่าเสีย ถ้าหัวหน้าหน่วยงาน หรือผู้นำ (หัวหน้าหรือไม่ก็ได้) เห็นประโยชน์และนำไปใช้อย่างสม่ำเสมอ ดิฉันมั่นใจว่า เราจะสามารถพัฒนาองค์กรได้อย่างยั่งยืนแน่ๆ ดิฉันชอบวิธีการแบบนี้จังเลยค่ะ แม้จะต้องรอเวลาเกิดผลสัมฤทธิ์ แต่ก็ดูมีความหวัง กระบวนการ K.M นี่สร้างความสุขและความหวังจริงๆ นะคะ