KM กับงานส่งเสริมการเกษตร [ 2 ]


เอาความที่ไม่รู้ไปเล่าเพื่อนเพื่อรู้

         ตอนที่แล้ว [ 1 ] เชื่อมโยงกับบันทึกนี้ครับ ผมเล่าว่าอาจารย์ ดร.ประพนธ์ ผาสุขยืด ท่านได้อธิบายหลุ่มดำ KM  ให้นักวิชาการทั้ง ส่วนกลาง เขต และจังหวัด ได้เรียนรู้ ว่าการที่ทำ KM ไม่ได้ หรือไม่ได้ทำ ซักกะที นั้นเพราะอะไร หรือทำแล้วก็แค่ได้บอกคนอื่นว่าได้ทำแล้ว  บันทึกไว้แล้วก็อยู่ในกระดาษและเครื่องมืออุปกรณ์ไอที ไม่ได้เอามาใช้ประโยชน์ก็ไม่รู้ทำไปทำไม

         มาถึงตาผม ทั้ง 4 ครับ ที่ขึ้นเวทีต่อจาก อ.ประพนธ์ ซึ่งท่านให้เกียรติแจ้งความประสงค์จะขอนั่งฟัง เรา 4 คน ผมเดินขึ้นเวที่เมื่อพิธีกรประกาศเชิญ ท่าน อ.ประพนธ์นั่งอยู่แถวหน้าของห้องสัมมนา  ได้ทักทายเมื่อผมเดินผ่านผมคารวะท่านและขึ้นเวที

(ภาพถ่ายจากบนเวที)

         ผมเป็นคนที่สามที่คุณอ้อย(อุษา ทองแจ้ง) ผู้ดำเนินการเชิญเล่าประสบการณ์ หลังจากที่พี่ ๆ ทั้ง 2 ท่าน พี่สายัณห์ จากกำแพงเพชร  พี่ทวี จากนครพนม  ได้พูดจบลงในช่วงแรก

         ผมเริ่มที่เล่าประสบการณ์  การที่สมองผมไม่ยอมเ้ข้าใจ  ในช่วงที่รู้จัก KM แรก ๆ และผมไม่เข้าใจจริง ๆ งง เป็นไก่ตาแตก  กับสิ่งที่ได้รับการถ่ายทอดมา

         ซึ่งแรก ๆ ผมก็อยากโทษคนอื่นเหมือนกันที่บอกให้ผมไม่เข้าใจ  แต่มาทบทวนดูก็ควรโทษตัวเองดีกว่าเพราะเราหัวไม่ไวมั่ง และผมก็ทิ้งไปในที่สุดเพราะผมคิดของผมว่างานมีมากเกินกว่าที่เราจะมานั่งทำความเข้าใจ (หลุมดำที่ผมตก)

         แต่เมื่อเหตุการณ์บังคับจริง ๆ นะครับ  คือ"โครงการแก้จนเมืองนคร"ที่มีการบูรณาการกันหลายส่วนราชการ และองค์กร แถมยังใช้ KM เป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนด้วย และสิ่งที่เขามอบหมายให้ผมทำนั้นเป็นส่วนที่ผมต้องรู้ นั้นแหละ ผมจึงรีบเดินทางย้อนเวลากลับมาค้นหา KM อีกครั้ง  และพยายามทบทวนในส่วนที่เป็นตำรา และทดลองทำ สมมติเหตุการณ์ในบริบทที่ผมเจอให้เป็น กระบวนการ KM โดยจะพยายามเปรียบเทียบกับโมเด็ลปลาทูอยู่ตลอด  และค้นหาใน GotoKnow  ที่เหล่าผู้มีประสบการณ์ได้บันทึกไว้

         ผมเริ่มเขียนบันทึกผลการเรียนรู้การทดลองทำ  เพื่อให้ท่านสมาชิกได้เข้ามา ลปรร.และผมเองสามารถที่จะวัดความเข้าใจเอาได้ว่าผมเดินมาถึงไหน  ผมคงไม่สามารถถามให้ใครตอบได้หรือใครก็ไม่อยากตอบว่าจริง ๆ ผมนั้นเข้าใจแล้วยัง

         ที่ผมเอาเหตุการณ์ของผมมาเล่าผมเพียงคาดหวังว่าถ้าใครในหลาย ๆ คนที่ฟังผมพูดเกิดปิ้งขึ้นมาคงทำให้เขาเข้าใจได้ และเมื่อไหร่ที่เริ่มเข้าใจคน ๆ นั้นจะอยากทำ KM ในที่สุด เพราะทำแล้วมีความสุข  ใช้หลักพุทธศาสนา ในเรื่องการมีสติและปัญญา เป็นทั้งผู้ให้และผู้รับ ได้มิตรภาพจากเพื่อนที่ดี ๆ ครับ

หมายเลขบันทึก: 81902เขียนเมื่อ 4 มีนาคม 2007 21:01 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 17:51 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (12)
  • มาทักทายพี่บ่าวมีประโยชน์มาก
  • ดูทุกท่านตั้งใจเป็นอย่างมากนะครับ
  • ขอบคุณครับผม
  • ขอให้คนคอน คนไทยทุกคนมีกินมีใช้กันทุกคนนะครับ แล้วคืนสิ่งดีๆ กลับสู่สิ่งแวดล้อมแล้วอยู่กันอย่างเกื้อกูลตราบนานเท่านานครับ
  • ผมเคยดูงานวิจัยของนาซ่า ที่เค้าเอาน้ำ ปลา แล้วก็กิ่งต้นไม้เล็กๆ ใส่ไปในแก้วที่เป็นระบบปิด ปลาก็อยู่ได้ ต้นไม้อยู่ได้ ไม่ตาย ระบบมันครบวงจรครับ โลกเราก็เช่นกัน เมื่อมีผู้ผลิต ผู้บริโภค แหล่งกำเนิดพลังงาน มีการให้และรับกันอย่างสมดุลย์ สิ่งดีๆ ก็จะเกิดครับ
  • สวัสดีค่ะ น้องชาญวิทย์ 
  • จะคอยติดตามอ่านทุกตอนเลยนะคะ
  • ขอบคุณมากค่ะ

            ขอบพระคุณมากครับ

เรียน พี่อาจารย์ชาญวิทย์

  • แวะมาทักทายครับ
  • กลับจากการสัมมนา ผมมานั่งคิดในบางเรื่องที่พี่บอกผมไว้ ตอนนี้เริ่มมองเห็นอะไรบางอย่าง ในการทำ KM

น้องบ่าว อาจารย์ขจิต

  • ขอบคุณที่มาเยี่ยมครับ

เรียน คุณสมพร

  • ขอบคุณมากครับที่มาเยี่ยม  และมีของดี ๆ มาฝาก
  • อีกนานมั๊ยครับจะได้กลับบ้าน

เรียน พี่นันทา ครับ

  • ขอบคุณที่สาวมาก ๆ ครับสำหรับภาพถ่าย ชอบมากครับภาพนี้

คุณน้องบ่าว  สิงห์ป่าสัก

  • ขอบคุณที่มาเยี่ยมผนึกว่าจะได้เจอในการสัมมนาเสียอีก

น้องวิศรุต

  • นั่งนึกอยู่พักหนึ่งนะครับ  ตอนนี้รู้แล้วว่าเป็นใคร
  • ขอบคุณที่มาเยี่ยม
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท