ของรักของชายคนหนึ่ง


ก็เมื่ออุดมคติที่ชอบของชีวิต...ชอบหรือปรารถนาที่จะเดินไปทางนั้น ก็ควรจะยิ้มรับกับชะตากรรมของชีวิตทุกกรณีที่จะมีผ่านเข้ามา
ของรักของชายคนหนึ่ง
                                                                           สีไพรน้อย
 ด้วยโลกคือเวที...ชีวิตนี้เป็นตัวละคร....ดินน้ำฟ้าและธรรมชาติทั้งมวลเป็นม่านและฉาก……ประโยคสั้น ๆ นี้ปรากกฎขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในสมุดบันทึกเล่มแล้วเล่มเล่าที่ผมคุ้นเคยตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา....นี่คือถนนที่ผมก้าวย่าง...ถนนที่ราวร่ายมนตราโดยพ่อผู้เป็นฮีโร่ในดวงใจของผม เขาผู้ใช้นามปากกาว่า…สีไพร… ผมเชื่อว่าแต่ละคนมีสิ่งที่ยึดมั่นไว้เพื่อปลอบประโลมตนเอง มีของรักคอยเป็นเพื่อและกำลังใจยามเหงาจับจิต..หลายคนคงลืมไปแล้วว่าตุ๊กตาตัวโปรดที่แสนมอมแมมเพราะไม่ยอมให้แม่เอาไปซักนั้นชื่ออะไร ของเล่นชิ้นโปรดที่ต้องอยู่ข้างตัวทุกครั้งไม่ว่าตอนกินนอนหรือเดินทางไปท่องเที่ยวด้วยกันไปทั่วนั้นหายไปเมื่อใด... ผมเป็นเด็กที่เติบโตในชนบทไกลปืนเที่ยง มีพี่ชายหนึ่งกับพี่สาวอีกหนึ่ง ขณะที่ผมเกิดครอบครัวเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่แย่ลง   หรือถ้าจะมองโลกในแง่ร้ายก็อาจพูดได้ว่า พอผมเกิดมาครอบครัวผมก็แย่ลง..ฐานะที่เคยมีอันจะกินและสามารถเผื่อแผ่เพื่อนบ้านได้จำต้องยุติ..ผมจึงเป็นเด็กอีกคนหนึ่งที่ไม่รู้ว่าเคยมีของเล่นชิ้นโปรดอะไร..จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่า เคยมีของเล่น ตุ๊กตาหรือหุ่นยนต์หรือปล่าว...เพราะในความทรงจำนั้นแถวบ้านมีแต่ต้นนุ่น ยามที่อยากมีรถ.. อยากมีเรือ.. อยากมีหุ่น..ล้วนทำได้ด้วยต้นนุ่นผมจำได้ว่านับตั้งแต่เริ่มออกจากบ้านเมื่อปี 2535 เพื่อเรียนต่อในระดับปริญญาตรีจนถึงปัจจุบัน สิ่งหนึ่งที่ต้องหอบหิ้วติดตัว ไม่เคยแยกกันเลย คือ ไดอารี่ของพ่อหนึ่งลังใหญ่  พ่อจากไปตั้งแต่ปี 2527 ตอนที่ผมอายุเพียง 11 ขวบ แม่ของผมเป็นหญิงที่เพียบพร้อมด้วยความเป็นกุลสตรีเป็นผู้มีน้ำใจดี ไม่ช่างพูดและไม่ใช่นักเล่าเรื่อง ผมจึงมักไม่ได้ฟังเรื่องราวของพ่ออย่างเป็นชิ้นเป็นอัน ไม่มีโอกาสเรียนรู้จากคำบอกเล่าของพ่อ ไม่เคยรู้ประวัติความเป็นมาของพ่อด้วยซ้ำไป  การเรียนรู้ที่ทำให้ผมเข้าใกล้ชีวิตและจิตวิญญาณของพ่อมากที่สุด กลับเป็นการอ่านเอาเองจากกระดาษที่มีลายมือของพ่อ ไดอารี่เล่มแรกของพ่อเท่าที่ผมเก็บมีอยู่ คือ บันทึกเมื่อปี 2501 บันทึกเรื่องราวของพ่อที่ได้อ่าน ทำให้ผมมั่นใจอย่างยิ่งยวดว่าพ่อผมเป็นนักอุดมคติ พ่อเป็นนักเขียนที่ผมชื่นชมกว่านักเขียนใด ๆ ในโลก ยามท้อแท้ ผมก็มีบันทึกของพ่อเป็นที่พึ่ง เป็นะกำลังใจตลอดมา  ความมุ่งมั่นในการดำเนินชีวิต พอกพูนและกล้าก้าว พัฒนาการชีวิตที่เกือบจะกล่าวได้ว่าเป็นการเดินทางตามรอยอักษรที่ร่ายปลายปากกาด้วยมือพ่อก็มิผิด...แรงบันดาลใจ ความภาคภูมิใจในวิถีคิดและชีวิตตนเอง ทำให้หลายครั้งอยากถกความคิดกันประสาพ่อลูก อยากให้พ่อตรวจสอบระบบคิดและชีวิตแห่งวิถีให้กับผม....มีตอนหนึ่งของบันทึกปี 2506 เขียนไว้ว่า ประสบการณ์ของข้าพเจ้ามิอาจนำไปใช้อ้างอิงหรือเป็นบรรทัดฐานใดได้ เพราะชีวิตของข้าพเจ้ายามขาดก็ขาดจนไม่เหลือ ยามมีก็มีมากจนเกินงามทำให้ผมตีความเอาว่าพ่อเป็นนักตรวจสอบตนเองและอหังการบนความถ่อมตัวเสียนี่กระไร...ยามหดหู่โศกเศร้าก็บรรยายได้อย่างปวดร้าวนัก อย่างบางตอนในบันทึก ชีวิตโฉด 2508 เขียนไว้ว่า.........“ความรู้สึกส่วนลึกส่วนตัว เกี่ยวกับเหตุการณ์ในอดีต และปัจจุบันในระยะ 5 ปีมานี้ของข้าพเจ้า เหตุการณ์ในอุดมการณ์แห่งชีวิตที่ข้าพเจ้าทนกัดฟันต่อสู้บุกเบิกโฉมหน้าอยู่ขณะนี้ ดำเนินไปด้วยความยากลำบาก และ ขลุกขลักเหลือเกิน. เพราะโชคชะตาของข้าพเจ้าอาภัพเกินไป เกินกว่าที่สวรรค์จะหยิบยื่นพรอันประเสริฐ มาช่วยอำนวยให้แผนการของข้าพเจ้าก้าวไปข้างหน้า ด้วยดีสมความมุ่งมาดปรารถนา..ด้วยเลือด หยาดเหงื่อและน้ำตา แท้ทีเดียวที่ยังให้ข้าพเจ้า อดทนต่อสู้กับชะตากรรมของชีวิตและยิ้มรับกับความทุกข์โศก ผิดหวังต่อไปได้อีก                  อนิจจา ! ช่างสมจริงเสียนี่กระไร ที่ไม่มีใครสามารถจะลิขิตขีดเส้นชะตาชีวิตของตนเองได้... นอกจากพระพรหมเจ้าเบื้องบนสวรรค์แต่ผู้เดียวเท่านั้น.. เอาเถอะ ! ถึงแม้ชาติหนึ่งในชีวิตนี้จะต้องประสบเผชิญกับความเป็นอยู่หรือเป็นไปอย่างไรในชะตากรรมของชีวิตก็ตามที .. แต่..เราก็จะอยู่ต่อไป...ในโลกแห่งความทรนง..คุคั่งอยู่ในอกจนกลายเป็นไฟฟอนไหม้ แม้กระทั่งความบีบคั้นของขนบแห่งความรักและธรรมชาติ”เช่นเดียวกันในยามที่มรสุมชีวิตถั่งโถม ท่วมทับ ชวนสิ้นหวังแต่ความเย่อหยิ่งและมั่นคงประสาชายชาตรี ประหนึ่งแม่ทัพที่ทะยานสู้ในสนามรบ ดังอีกตอนหนึ่งของบันทึกชีวิตโฉด 29 มีนาคม 2508 ที่เขียนไว้ว่าแด่ ... ฟ้า และดิน ที่รัก..                   จากตัวหนังสือขี้เหร่ต่อไปนี้   ในหน้าต่อไปนั้น..มันเป็นลำนำชีวิตโฉดที่ข้าพเจ้าขับไขออกมาจากความจริงของชีวิต    ถูกหละ ! มันมีทั้งความสุขความเศร้า และความสมหวังคลุกเคล้าปะปนกันไป  ณ ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังเขียนบันทึกอยู่นี้ข้าพเจ้าก็ยังหาคำตอบกับตัวเองไม่ได้ว่าชีวิตของข้าพเจ้ากำลังหวังอะไรอย่างมั่นคง หรือว่าอะไรเป็นหลักในอนาคต ไม่ได้มีอยู่แต่ในความรู้สึกอันหนึ่งเตือนใจอยู่เป็นนิจว่า ... จงมานะต่อสู้ต่อไปในอุดมการณ์ของชีวิต...และแล้วความสุขต่อการต่อสู้ในชีวิตอันนี้เองที่ทำให้ข้าพเจ้ามุ่งต่อไป..ไม่ว่าการต่อสู้ของชีวิตข้าพเจ้าจะประสบกับความพ่ายแพ้หรือชนะแต่ก็ทำให้ข้าพเจ้ามีกำลังแปลก ๆ คือต่อสู้ต่อไป ต่อสู้ต่อไป ตามอุดมคติที่ชอบของชีวิตของข้าพเจ้าผกโผนไปตามวิถีทางในอุดมคติที่ชอบของชีวิตอันนี้เองที่ทำให้ข้าพเจ้ามีจิตใจปราศจากความรู้สึกเป็นอคติต่อโลก และต่อสังคมมนุษย์ ไม่มีเวลาสำหรับที่จะหันหลังไปคร่ำครวญหรือตีโพยตีพายเอากับเหตุการณ์ในอดีตไม่ว่าจะเป็นกรณีที่ปวดร้าวขมขื่นหรือผิดหวังมาขนาดไหน เพียงใดก็ตาม เพราะถือเสียว่า...ก็เมื่ออุดมคติที่ชอบของชีวิต...ชอบหรือปรารถนาที่จะเดินไปทางนั้น ก็ควรจะยิ้มรับกับชะตากรรมของชีวิตทุกกรณีที่จะมีผ่านเข้ามา และในขณะเดียวกันนั้นเราก็จะทำอ่อนแอไม่ได้ เพราะถ้าเราทำอ่อนแอเมื่อเราต้องประสบกับชะตากรรมของชีวิต ชะตากรรมอันนั้นมันก็ยิ่งจะซ้ำเติมให้เราเปรี้ยหนักเข้าไปอีก เพราะฉะนั้นเราต้องปักหลักสู้-สู้กับมัน-กับมรสุมชีวิตที่โหมกระหน่ำเข้ามา จนกว่าเราจะชนะหรือไม่ก็สิ้นลมปราณ..

นี่เป็นเพียงปฐมบทเรื่องของรัก ของชายคนหนึ่ง ของรักของผมที่ถือเป็นมรดกล้ำค่าอันมิอาจประเมินเป็นราคาค่างวดได้....ของรักที่เป็นทั้งเพื่อน เป็นกำลังใจ เป็นสิ่งเกื้อให้เกิดแรงฝันและพลังสร้างสรรค์ ..และที่สำคัญเป็นของรักที่ผมศรัทธาเทิดทูนไว้เหนือสิ่งของใดทั้งปวง...

ด้วยจิตคารวะ

                                                                       
คำสำคัญ (Tags): #ของรัก
หมายเลขบันทึก: 78115เขียนเมื่อ 13 กุมภาพันธ์ 2007 10:03 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 17:23 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท