Just Like Heaven/Et si c’était vrai... ปาฏิหาริย์รักต่างภพ


สวัสดีค่า เมื่อวันก่อนได้ค้นนิยายแปลเก่าๆของพี่สาวดูแล้วก็เกิดไปสะดุดกับหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง 

  Et si c’était vrai... ปาฏิหาริย์รักต่างภพ                  เขียนโดย มาร์ก เลอวี่

et si c'etait vrai

เป็นนักเขียนชาวฝรั่งเศสที่เขียนหนังสือเล่มนี้เป็นเล่มแรกคะ อ่านไปแล้วก็ เอ!! ทำไมพล็อตเรื่องรู้สึกคุ้นๆว่าเหมือนหนังเรื่องหนึ่ง ที่ตัวเองก็รู้สึกชอบอยู่พอดี หนังเรื่องนั้นคือ

just like heaven   Just Like Heaven  รักนี้…สวรรค์จัดให้

เป็นหนังแนวโรแมนติก-คอมเมอดีคะ (หนังเก่าแล้วนะคะ แต่ถ้าคนไหนยังไม่เคยดูแนะนำให้หามาดูรับวันวาเลนไทน์คะ) เรื่องย่อประมาณ อลิซาเบ็ธ มาสเตอร์สัน(รีส วิทเธอร์สปูน) แพทย์หญิงที่บ้างานโดยไม่เคยมองหาความสุขในชีวิตจนตัวตาย กลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนระหว่างสวรรค์และโลก ด้วยความที่บ้างานและไม่เชื่อเรื่องลี้ลับ เธอจึงไม่เชื่อว่าตนเองเสียชีวิต จนวันหนึ่งเธอได้พบกับ เดวิด แอ๊บบอต์ (มาร์ค รัฟฟาโร) มัณฑนากรผู้อยู่ตัวคนเดียว ที่มาเช่าอพาร์ตเม้นต์เก่าของเธอในซานฟรานซิสโก เพื่อลืมอดีต ทีแรกเขาเองก็ไม่เชื่อเหมือนกันว่าเห็นอลิซาเบ็ธ แต่เมื่อเดวิดได้ทำให้อลิซาเบ็ธได้เห็นว่าเธออยูต่างภพ และสามารถเดินทะลุจากที่หนึ่งไปยังที่หนึ่งด้วยร่างวิญญาณ จากนั้นมาทั้งคู่ก็พัฒนาความสัมพันธ์มาเรื่อยๆ แม้จะรู้ว่าความรักที่จะมีให้กันนั้นเป็นไปไม่ได้

แต่ที่อยากจะพูดถึงกล้บเป็นเนื้อหาในหนังสือคะ  อย่างที่บอกแต่ต้นแล้วว่าพล็อตหลักแทบจะเหมือนกันแต่อารมณ์ที่หนังสือสื่อออกมาช่างแตกต่างจากในหนังอย่างสิ้นเชิง ในหนังจะเป็นแนว "โรแมนติก-คอมเมอดี" แต่ในหนังสือที่อ่านแล้วพบว่าออกจะเป็นแนว "โรแมนติก-ดราม่า" บางท่านอาจจะบอกว่าก็โรแมนติกเหมือนกันนั้นแหละน้า แต่เชื่อเถอะคะว่าอารมณ์ที่ได้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงจริงๆคะ อ่านหนังสือจบแล้วก็พลอยรู้สึกงอนๆและโกรธคนสร้างหนังแทนเจ้าของหนังสือต้นฉบับอยู่พอสมควร (ทั้งๆที่ก่อนอ่านหนังสือเล่มนี้ หนังเรื่องนี้ก็เป็นหนังเรื่องหนึ่งในดวงใจที่เที่ยวแนะนำให้คนสนิทๆได้ดูกัน) คนสร้างหนังเค้าพัฒนาบทหนังจนเสน่ห์ของตัวละคร และบทพูดที่กินใจที่มีข้อให้คิดต่างๆได้ถูกลดทอนลงและถูกแทนที่ด้วยความตลกน่ารักสดใสของตัวเอกแทน บทหนังเค้าจะเน้นที่ตัวนางเอกค่า เน้นที่ความน่ารัก สดใส อย่างที่บอก แต่ในหนังสือบทหลักออกจะเทไปที่พระเอก โดยในหนังสือจะค่อยๆ เผยตัวตนของเค้าออกมาที่ละน้อย และยิ่งเผยเพิ่มมากขึ้นเท่าไรเราก็จะยิ่งหลงรักตัวละครตัวนี้เพิ่มขึ้นทุกที กับความรัก ความเสียสละ การยึดมั่นในความเชื่อ ความคิดและศรัธทาของตัวเอง และทั้งหมดนั้นถูกแสดงออกด้วยความนิ่งและสุขุม (เชื่ออีกเช่นเดียวกันค่าว่าผู้หญิงอีกจำนวนไม่น้อยจะต้องหลงรักชายที่มีบุคคลิกและมีอารมณ์ความรู้สึกอย่างนี้แน่นอนคะ คุณผู้ชายท่านไหนที่ได้อ่านเนื้อหานี้ก็แนะนำว่ารีบไปหาอ่านดูนะคะแล้วจะได้เข้าใจผู้หญิง ว่าอารมณ์ที่อ่อนไหวของผู้ชายบางครั้งก็เป็นสิ่งที่ผู้หญิงอยากจะเห็นและต้องการเข้าใจเพื่อจะได้ยืนเคียงข้างร่วมกันไปได้ตลอด โอโห้!!! ชักไปกันใหญ่แล้วค่า กลับเข้าเรื่องดีกว่านะคะ) ในหนังสือมีข้อคิดให้ได้คิดหลายที่พอสมควรคะ ทำให้ตัวเองเพลอพับมุมกระดาษด้านบนไปเรียบร้อยเพราะว่าถ้าอยากจะกลับมาอ่านข้อความที่ดีๆ อีกครั้งจะได้ดูได้ทันที บางท่านที่รักหนังสือมากๆอาจจะคิดตำหนิอยู่พอสมควรแต่ก็ทำไปแล้วละคะด้วยความที่กลัวว่าจะลืมคำพูดที่เราชอบๆ นั้นว่ามันอยู่หน้าไหนในหนังสือคะ

จะยกตัวอย่างบางคำพูดของตัวเอกในหนังสือมาให้ได้อ่านกันนะค่า

"เมื่อคุณให้สิ่งที่คุณมีอยู่น้อยมากต่างหาก นั่นแหละที่คุณให้จริงๆ"

เขาขอให้เธอยินยอมให้เขาช่วยเหลือ เขายืนยันว่าสิ่งเดียวในชีวิตจริงๆที่เหลือไว้สำหรับเธอคือการยินยอมพร้อมที่จะรับ ถ้าเธอคิดว่าเขาผลีผลามไม่ได้คิดให้ดีก่อนที่จะเข้ามายุ่งเรื่องนี้ เธอคิดถูก เขาไม่ได้คิดใคร่ครวญอะไร "เพราะขณะที่คนเราคิดคำนวณแยกแยะหาข้อดีข้อเสีย ช่วงเวลานั้นชีวิตก็ผ่านไปและไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลย"

"สิ่งที่เราต้องเสี่ยงในการรักใครสักคน คือ การรักข้อเสียของเขาเท่าๆกับข้อดี ทั้งสองสิ่งนี้มันแยกกันไม่ออก คุณกลัวอะไรกันแน่........"

"การมองเห็นความสุขที่กองอยู่แทบเท้า มีความกล้าและตัดสินใจแน่วแน่ที่จะก้มลงไปหยิบมันขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน และรักษามันไว้ คือ ความเฉลียว ความฉลาดที่ไม่มีความเฉลียวเป็นแค่การใช้เหตุผล และเหตุผลก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไรนักหนา"

สุดท้ายแล้วค่ามีเกมส์ๆหนึ่งจะมาเล่นกับทุกท่านค่าว่า ถ้าตื่นเช้ามาจะมีคนให้เงินคุณ 86,400 ดอลลาร์ โดยมีข้อบังคับอย่างเดียวคือต้องใช้เงินนั้นให้หมดภายในหนึ่งวันส่วนที่ใช้ไม่หมดจะถูกเก็บกลับตอนคุณเข้านอน (คุณไม่สามารถโอนหรือถอนเงินไปเก็บไว้ที่อื่นได้ ฮั่นแน่!!เล่นตามกติกาไปเถอะค่า) และเกมส์นี้สามารถหยุดได้เองตลอดเวลาโดยที่คุณไม่มีทางรู้ก่อนได้ คำถาม คุณจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้

.......................... คิดๆๆๆๆๆ

เฉลยค่า บางคนอาจจะตอบทำนองว่าก็เอาเงินที่ได้มานั้นซื้อของหรือสิ่งที่จะบันดาลความสุขให้กับทั้งตัวเองและคนอื่นๆเท่าที่จะทำได้ ประมาณนี้ไหมคะ

เฉลยอีกรอบค่า "ธนาคารมหัศจรรย์นั้นเรามีกันทุกคน เงินที่ว่านั้นก็คือ เวลา เป็นเสี้ยววินาทีมากมายที่ไหลล่วงไปในแต่ละวัน!!!!!"

เราไม่มีทางรู้ได้เลยนะคะว่าเวลาของเราจะหมดลงเมื่อไรและทั้งๆที่ถ้าเราคิดว่ามันเป็นเงินเราก็จะพยายามไขว้คว้าหาความสุขเท่าที่เราจะทำได้แต่สิ่งที่มีค่ากว่าเงินคือเวลาที่เราทุกคนมีกันอยู่แล้ว เราควรจะทำทุกวินาที (เวลา)ที่เรามีให้เกิดความสุขต่อตนเองและกับคนที่เรารักให้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ไม่ใช่หรอคะ..........................

หมายเลขบันทึก: 77818เขียนเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2007 19:23 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 17:48 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (9)

อย่างงนะคะ   ไม่ใช่เจ้าของ blog แต่แอบใช้ตอนที่เจ้าของเผลอ   ถ้าได้อ่านข้อความเหล่านี้โดยไม่ได้รู้จักคนเขียนมาก่อนจะรู้สึกว่าคนเขียนเป็นคนที่โรแมนติกมากๆ  แต่เผอิญรู้จักสนิทกันดีเลยต้องลองมองผู้เขียนในแง่มุมใหม่ๆแล้วละคะ  รู้สึกดีที่มีคนที่รักการอ่านหนังสือ (เหมือนเจิคนประเภทเดียวกัน) แต่ที่ดีที่สุดก็คือ อ่านแล้วได้ประโยชน์และข้อคิดต่างๆจากหนังสือ ได้มีโอกาสวิเคราะห์ความคิดของผู้อืนๆ ถือเป็นการพัฒนาทางด้านความคิดนะคะ  เชื่อว่าคนที่ได้มีโอกาสอยู่ใกล้ๆคนที่ชอบอ่านหนังสือจะรู้สึกว่าเค้าเป็นคนมีโลกส่วนตัว  แต่รับรองคะว่า ต้องได้ข้อคิดแปลกๆใหม่ๆสำหรับชีวิตแน่นอน  ถ้าไม่เชื่อลองเข้าไปอยู่ใกล้คนชอบอ่านหนังสือดูสิคะ   ......

 

                                                             yayam

ขอสนับสนุนข้อความ  ของ yayam นะคะ เพราเป็นคนเขียนเอง  อยากให้คุณทิพย์ฤทัยเขียนบทความดีดีอย่างนี้ลงมาอีกนะคะ

                                            

อันนี้ตัวจริงเสียงจริงของเจ้าของ Blog ค่า ต้องขอบคุณ คุณ yayam จริงๆค่าที่มาร่วมแสดงความคิดเห็นใน Blog นี้ (Blog นี้เงียบเหงาจัง ฮือๆๆๆ)  แต่อย่างไงก็เห็นด้วยกับคุณ yayam จริงๆคะว่าการที่เราได้พูดคุยกับคนที่เค้าอ่านหนังสือมาเยอะ อ่านมาหลายแนว มันทำให้เราเหมือนได้เปิดโลกกระทัศน์ที่แสนจะแคบของตัวเราเองได้อีกทางหนึ่ง เหตุผลหนึ่งที่ทำ Blog นี้ขึ้นมาก็อยากจะเอาเนื้อหาและความรู้สึกหลังจากที่อ่านหนังสือเล่มหนึ่งจบแล้วถ่ายทอดออกมาเก็บไว้แล้ววันหลังๆจะได้กลับมาอ่าน จะได้ไม่ลืมนะคะ (ความจำสั้นเหมือนปลาทองค่า) เสียดายอารมณ์และความรู้สึก ณ ตอนนั้นอะคะ อีกเหตุผลที่ทำขึ้นมาก็เพื่อจะได้รับฟังเสียงของผู้อื่นว่าเค้าคิดและรู้สึกอย่างไรกับเรื่องบางเรื่องที่เราได้แสดงความคิดไว้นะคะ อาจจะได้เห็นแง่มุมบางแง่มุมที่แปลกแตกต่างหรือที่คาดไม่ถึง อย่างไงก็ร่วมแสดงความคิดเห็นกันได้น่าค่า อยากได้แง่มุมที่หลากหลายค่า ช่วยเปิดกะลาของกบตัวนี้หน่อยนะคะ

มันชั่งเป็นบทความที่น่าอ่านจริงๆๆ ครับ เขียนได้ดีจริงๆ โอ้ยพระเจ้าฉันเกิดมาเพื่ออ่านสิ่งนี้ เป็นกำลังใจให้หฯทิพย์เขียนมาให้อ่านต่อไปนะคราบบบบบบบบบบบบบบ

จริงๆแล้วก็ไม่แปลกใจเลยที่แนนจะเขียนแสดงความคิดเห็น
ออกมาได้อย่างละเอียดลึกซึ้งแล้วก็ยังได้เพิ่มเติมเอาข้อคิด
ต่างๆที่ได้อ่านเข้ามาเพิ่มเติมได้อย่างน่าสนใจมากๆ ที่ว่าไม่แปลกใจก็เพราะว่างานเขียนทุกชนิดถือเป็นงานศิลปะ
ที่สะท้อนความคิดความเป็นตัวเองของผู้เขียนออกมาได้อย่าง
ตรงไปตรงมาที่สุด และแนนก็เป็นคนแบบนั้น คือมีความลึกซึ้งและอ่อนไหวต่ออารมณ์พอสมควรทีเดียว

อ่านหมดแล้ว ชอบทุกบันทึกเลย

อยากให้เขียนต่อไปเรื่อยๆ นะ ว่างๆจะเข้ามาอ่าน  

ขอบคุณทั้งคุณ yayam, ttt และ Note ค่า รู้สึกดีจัง เหมือนมีกำลังใจขึ้นอีกเยอะเลยคะ

ส่วน Note เราขอบใจนายมากนะ อ่านแล้วซึ้งจัง น้ำตาเกือบไหลแน่ะ วันหลังอย่าลืมเข้ามาอ่านอีกนะจะพยายามหาเรื่องแปลกๆใหม่ๆมาเล่าให้ฟังอีก อ้อดูแลตัวเองดีๆน่าจ้าอยู่ไกลบ้านเกิดเมืองนอนอย่างนั้นนะ ขอบใจอีกครั้งจ้า

รู้สึกว่า yayam ,ttt และNote จะเป็นเพื่อนกันนะ เรียนทันตะ ม.น. หรอ

เราเป็นคนนอกแต่ขอแจมด้วยคน คงไม่ว่ากันนะ

เราได้อ่านบทความจาก satabun แล้วก็ตามมาที่นี่ อ่านแล้วประทับใจมาก เพราะเป็นหนังที่เราเคยดูเหมือนกัน วันหลังมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นนะ วันนี้หมดเวลาแล้ว

เขียนต่อไปนะ เราจะเป็นกำลังใจให้

ขอบคุณ The Kop มากนะคะที่อุตสาห์ตามมาอ่านถึงนี่ และดีใจจังที่อ่านแล้วประทับใจ จะพยายามหาเรื่องอื่นมาเล่าให้ฟังอีกนะคะ อย่าลืมติดตามและติชมต่อไปด้วยคะ รอฟังคำแนะนำอยู่นะคะ

ปล.แก้ข่าวนิดหนึ่งคะ Note เนี้ยไม่ใช่คน ทันตะ มน. หรอกคะ แต่ชื่ออื่นๆเข้าใจถูกต้องแล้วคะ

รู้สึกดีใจและภูมิใจมากทีเห็นอีกหนึ่งความสามารถของเพื่อน ไม่ใช่แค่ทำได้ และทำได้ดีมากด้วย ทำให้เพื่อนคนนี้รู้สึกดี ดีจริงๆ จากสิ่งที่แนนเขียน และอยากบอกว่าแนนเขียนดีทุก Blog จริงๆ และผลพลอยได้อีกอย่างทำให้ทราบว่ายังมีเพื่อนเก่าๆอีกหลายคนที่คอยดูและให้กำลังเพื่อน คำว่าเพื่อนไม่สูญหายไปตามกาลเวลาจริงๆ แม้จะห่างกันเกือบสิบปี แต่ความรู้สึกก็เหมือนเดิมเลย

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท