วันนี้ 11 กุมภาพันธ์ 2550
"งานรวมพลคนปฏิรูป ครูโคราช" ที่ มทส. มีการจัดนิทรรศการทางวิชาการมากมาย ฉันมีโอกาสได้ช่วย สพท.นม 1 จัดนิทรรศการด้วย มีเนื้อหาน่าใจมากๆ ประกอบไปด้วยปัญหาที่พบจากการที่นักเรียนอ่านหนังสือไม่ออก เขียนไม่ได้ มีแนวทางแก้ไขปัญหาไว้หลากหลายวิธีการ ฉันเคยอ่านบทความของท่าน ดร.สุรัฐ ศิลปอนันต์ ทำให้ฉันรู้ว่า ทำไมต้องมีการปฏิรูป แล้วปฎิรูปอย่างไร ได้ผลอะไรบ้าง มาลองอ่านกันนะคะ
ปฏิรูป คือ
คือ การเปลี่ยนแปลงการศึกษาทั้งระบบ เป็น systemic change เป็นการรื้อและปรับปรุงครั้งใหญ่ ยกเครื่องกันทั้งระบบเลย ปรับขนานใหญ่ทั้งระบบอันได้แก่ระบบ
การบริหาร (คือตั้งแต่กระทรวงลงมาถึงโรงเรียน)
หลักสูตร
กระบวนการเรียนการสอน
วิชาชีพ (ของครูและผู้บริหาร)ที่เราเรียกกันว่า ปฏิรูป 4 องค์ประกอบ(Components) ใหญ่ ๆ
ปฏิรูปแล้วจะได้อะไร อย่างไร
-
คุณภาพการเรียนได้มาตรฐานสูง
-
ให้เด็กทุกคนที่จบการศึกษาไปไม่ว่า ป.6, ม.3, ปวช., ปวส., หรือปริญญาตรี - โท - เอก
จบออกมาโดยมีคุณภาพอย่างดี เรียนต่อที่ไหนก็ฉลุยสมัครงานที่ไหนก็เป็นที่ปรารถนาของนายจ้าง เจ้าของงาน เราต้องทำเด็กของเราให้เป็น..... เด็กเก่งและคนดี ที่ตนเองภาคภูมิใจ พ่อแม่ชื่นชมสมใจ สังคมกระหยิ่ม
-
หัวใจของการจัดการศึกษา คือ การเรียนรู้ของเด็ก ระบบการศึกษามีหน้าที่สร้างประชากรที่มีคุณภาพให้กับประเทศชาติ ที่ผ่านมาแม้พวกเราจะทำงานหนักและประสบความสำเร็จพอสมควร ก็ยังไม่ถึงขีดที่ต้องการ เราจึงต้องมาเปลี่ยนแปลงกันใหม่หมดทั้งระบบเพื่อให้..... คุณภาพการเรียน (ของเด็ก) ได้มาตรฐาน
- เราต้องทำให้เด็กทุกคนจบการศึกษาระดับยอด ประเภทพอผ่าน (2.00) สุก ๆ ห่าม ๆ
ได้ ๆ ตก ๆ ไม่เอาแล้ว ออกไปก็เดินต่อไม่ได้ ทำอะไรก็ไม่เป็น มันต้องถึงคุณภาพชั้นยอด คือเกรด 4 อย่างน้อยควรเป็น 3
จะใช้ยุทธศาสตร์อะไร โรงเรียนจึงจะมีประสิทธิภาพ
-
เราจะใช้ยุทธศาสตร์ 5 ยุทธศาสตร์ด้วยกัน คือ
1. การกระจายอำนาจ (ในการบริหาร)
2. การใช้แผนยุทธศาสตร์ (เป็นเครื่องมือปรับปรุงโรงเรียน)
3. การมีส่วนร่วม (ของทุกฝ่ายที่มีประโยชน์ได้เสียกับโรงเรียน)
4. การประเมินผลและการรายงาน
5. การประกันคุณภาพ
-
ก่อนนี้อะไร ๆ ก็ต้องสั่งจากกรมต้องบัญชาการจากกระทรวงในกรุงเทพฯ เด็กในโรงเรียนซึ่งเป็นผลผลิตปลายทางห่างไกล จึงไม่ได้รับการหล่อหลอมเอาใจใส่ได้ระดับนักคุณภาพการเรียนย่ำแย่ก็จับมือผู้รับผิดชอบที่แท้จริงไม่ได้สถาบันการศึกษาจึงผลิต ประกาศนียบัตรลดราคาออกมาเยอะ (ทำงานที่ไหนเขาก็ไม่บรรจุเต็มอัตราตามวุฒิ)
- ต่อไปนี้ต้องกระจายอำนาจการบริหารให้ผู้อยู่ติดกับเด็ก คือ โรงเรียนคิดเอง ทำเอง วางแผนเอง บริหารเอง แก้ไขปัญหาเอง ตัดสินใจเอง และต้องรับผิดชอบต่อผลการเรียนของเด็กเองด้วย ขณะเดียวกันก็ให้ผู้มีประโยชน์ได้เสียร่วมกัน อันได้แก่ ตัวนักเรียน ผู้ปกครอง ชุมชน ครู - อาจารย์ ผู้บริหารสถานศึกษาเข้ามามีส่วนร่วมในการวางแผนและมีส่วนรับผิดชอบด้วยกัน
- แต่ละโรงเรียนจะต้องใช้แผนยุทธศาสตร์ อันเป็นแผนปรับปรุงพัฒนาเฉพาะของแต่ละโรงเรียน เป็นเครื่องมือทำงานแต่ละช่วงเวลาอย่างมีเป้าหมายชัดเจน แก้ปัญหาเฉพาะของตนเอง มีจุดเน้นและแนวทางปรับปรุงพัฒนาเป็นการเฉพาะโรงเรียนอย่างแน่นอน
-
มี Teaching Focus
-
เมื่อ 2 ปีที่แล้วก็ปฏิรูปกันมาก เช่น สร้างห้องปฏิบัติการภาษา อุปกรณ์และเครื่องมือวิทยาศาสตร์ เครื่องคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์ และการทำโรงเรียนให้เป็นปัจจุบัน แม้กระทั่งการประกาศเป็นโรงเรียนปฏิรูป เป็นเรื่องเดียวกับปฏิรูปขณะนี้หรืออย่างไร?
- เป็นการปฏิรูปการศึกษาในแนวหนึ่ง ตามวิธีของผู้รับผิดชอบในช่วงนั้นเป็นการปฏิรูปตามแบบการใช้นวัตกรรม (Innovation แนวความคิดใหม่)
-
การปฏิรูปเป็นการเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น อะไรที่ผู้รับผิดชอบคาดว่าการศึกษาจะดีขึ้นก็จับใส่เข้าไปในระบบการศึกษา เช่นเห็นว่าโรงเรียนมีสภาพใหม่ มั่นคงปลอดภัย สีสันงดงามจะทำให้เด็กเรียนได้ดีก็ทำกันใหญ่ ทำให้เป็น " โรงเรียนปัจจุบัน " เห็นว่าเด็กไทยอ่อน วิทยาศาสตร์ ก็โถมเครื่องไม้เครื่องมือ สื่ออุปกรณ์เข้าไป เทคโนโลยีข่าวสารเช่น คอมพิวเตอร์อย่างดีราคาแพง ก็ล้วนคิดว่าเป็นนวัตกรรม
(แนวความคิดใหม่) ที่จะช่วยให้เด็กสร้างคุณลักษณะของคนทันสมัยทันเหตุการณ์ และมีคุณภาพการเรียนดีขึ้น ไม่มีเงินเพื่อการเหล่านี้ไว้ก่อนก็ปรับเปลี่ยนงบประมาณแผ่นดินโปะเข้าไปหลายพันล้าน จนมีคนโวยเรื่องความโปร่งใสเข้าไปถึงสภาผู้แทน
-
หลายสิบประเทศในโลกก็ปฏิรูปการศึกษาของตน โดยยุทธศาสตร์นวัตกรรม (innovation
approach) ดังกล่าว คือ ใส่แนวความคิดใหม่เข้าไปในระบบการศึกษา ไม่ว่าเรื่องบริหารหลักสูตร วิธีการสอน เครื่องมือ การประเมินผล แม้กระทั่งปรัชญาการศึกษา หรือ กระบวนการสร้างแรงจูงใจ ครูบาอาจารย์ และอื่น ๆ อีกมากมายหลายแนวคิด
- ผมไม่เห็นด้วยกับกลยุทธแบบนี้เพราะเป็นการปฏิรูปหรือเปลี่ยนแปลงเป็นจุด ๆ เป็นเรื่อง ๆ
ไม่เป็นกระบวนการ ไม่ครบวงจรเป็นการปฏิรูปจากบน(สั่งลง) มาล่าง จึงไม่ได้ผลตามที่ควร แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางดีขึ้นก็ไม่ยั่งยืน เปลี่ยนแปลงแต่พื้นผิว ไม่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ถาวร ที่ทำมาแล้วนั้น จึงเหมือนการปฏิรูป " ความพร้อม " ซึ่งเป็นตัวป้อน (Input) ทางการศึกษาเหมือนจัดให้ได้เครื่องมือ และเทคโนโลยีจับปลาที่ล้ำยุค แต่จับปลาไม่ได้ผล หรือการได้อุปกรณ์พร้อม วัตถุดิบปรุงอาหารครบครันทันสมัย แต่เสร็จแล้วไม่ได้อรรถรส ลูกค้าเบ้หน้า
- เพราะขาดบางส่วนในกระบวนการ
- ไป ๆ มา ๆ ครูบาอาจารย์และผู้คนในสังคมก็ลืมเลือน เหลวเป๋ว รังแต่ทำให้การปฏิรูปเสียชื่อ
อ่านแล้ว ท่านมีความคิดเห็นเหมือนฉันหรือไม่คะ ว่าการปฏิรูปมีความสำคัญกับเรามาก เป็นโอกาสของครูโคราชและพื้นที่การศึกษาใกล้เคียงแล้วค่ะ วันนี้เจอกันที่ มทส. นะคะ