ประวัติพระองค์ท่านท้าวจตุคามรามเทพ ตอนที่ 4


จตุคามรามเทพ
กีฏะ   อนุราธ ก็เขียนไว้น่าสนใจทีเดียวถึงเรื่องของการรวมเทพระหว่างพระพรหมกับพระนารายณ์ให้อยู่ในชื่อชื่อเดียวว่า จตุคามรามเทพ ซึ่งกีฏะ อนุราธ ได้เขียนถึงเรื่องนี้ว่า ถ้าหากพิจารณาดูด้านเทวรูปของ จตุคามแล้ว จะเห็นว่าบานประตูด้านนั้นสลักเป็นรูปพระพรหมสี่หน้าอยู่บนบานประตู  ส่วนอีกด้านหนึ่งซึ่งเป็นเทวรูปของ รามเทพนั้น บานประตูสลักเป็นรูปพระนารายณ์  เมื่อนำคำเรียกขานของ จตุคาม รามเทพ มาพิจารณาดู ก็พบว่า คำว่า จตุหมายถึง สี่ , “คามหมายถึง บ้าน  เมื่อรวมคำว่าจตุคาม หรือสี่บ้าน ก็มีความหมายเปรียบได้กับพระพรหมซึ่งมี ๔ หน้า  ส่วนคำว่า รามเทพเป็นคำเรียกขานของพระนารายณ์พระนามหนึ่ง ในสมัยที่อวตารลงมาเกิดเป็นพระรามเพื่อต่อสู้กับทศกัณฑ์ จึงมีความหมายถึงพระนารายณ์โดยตรง  การนำเทพทั้ง ๒ องค์มาจำหลักอยู่บนบานประตูนี้ จึงเป็นการบอกความนัยถึงองค์เทพที่ถูกอัญเชิญลงมาคุ้มครองรักษาพระบรมธาตุ และเมืองนครฯ ซึ่งผู้คนในยุคสมัยนั้นทราบกันดีว่าเป็นเทพองค์ใด  มิฉะนั้นแล้ว ทำไมไม่สลักเป็นเทพหรือเทวดาองค์อื่น ๆ และทำไมไม่สลักให้เหมือนกันทั้งสองบานเช่นเดียวกับรูปปั้นที่ถูกสร้างขึ้นเป็นคู่ ๆ ในลักษณะที่เหมือนกัน  สิ่งที่น่าสังเกตุอีกเรื่องหนึ่งคือ ผมไม่เคยพบว่าบานประตูตามวัดหรือโบสถ์ในประเทศไทยแห่งใด มีการแกะสลักเป็นเทพทั้งสององค์นี้เลย  นอกจากเป็นเทวดาหรือลวดลายอื่น ๆ และก็จะแกะสลักเหมือนกันทั้งสองบานอีกด้วย  บริเวณรอบพระบรมธาตุภายในวิหารยังมีรูปปั้นติดฝาผนังเป็นรูปพระพรหมกับพระนารายณ์จับมือของพระพุทธเจ้าอยู่ทั้งด้านซ้ายและขวาด้วย แสดงถึงความเชื่อของคนในยุคนั้นว่า เทพทั้งสององค์นี้คอยคุ้มครองรักษาและค้ำจุนพระพุทธศาสนาอยู่ตลอดเวลาผมขอย้อนกลับไปถึงในสมัยของพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชอีกครั้งหนึ่ง ในสมัยนั้น กษัตริย์ถูกยกย่องเป็นสมมติเทพ คือ พระศิวะ การอัญเชิญเทพที่สำคัญเพื่อลงมาคุ้มครองรักษาสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และสำคัญของอาณาจักรย่อมจะเป็นเทพชั้นสูง และเทพเจ้าที่สูงสุดของศาสนาพราหมณ์ก็มีเพียง ๓ องค์เท่านั้น คือ พระศิวะ พระนารายณ์ และพระพรหม  พระศิวะก็ถือว่าคือกษัตริย์อยู่แล้ว เทพที่สำคัญรองลงมาก็คือ พระพรหมและพระนารายณ์ จึงไม่น่าแปลกที่จะอัญเชิญเทพทั้งสององค์นี้ ลงมาเพื่อคุ้มครองรักษาบ้านเมืองและพระบรมธาตุ  แต่ทำไมคำเรียกขานจึงเป็น จตุคาม รามเทพ  ผมสันนิษฐานว่า ในสมัยนั้นก็มีการนับถือศาสนาพราหมณ์ ลัทธิไวษณพนิกายแพร่หลายเข้ามาสู่ชุมชนเมืองตามพรลิงค์ด้วย น่าจะมีการเข้ามาประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๒ เมื่อมีการบูชาพระศิวะเป็นใหญ่ฝ่ายหนึ่ง และมีการบูชาพระนารายณ์เป็นใหญ่อีกฝ่ายหนึ่ง ย่อมไม่พ้นที่จะเกิดการขัดแย้งกันขึ้น  ในประเทศอินเดียยังมีลัทธิที่บูชาพระพรหมเป็นใหญ่เหนือเทพองค์อื่นอีกด้วย  เมื่อการขัดแย้งมีสูงมากขึ้น จึงเกิดลัทธิใหม่ที่รวบรวมเทพเจ้าทั้ง ๓ องค์เข้าด้วยกันเป็นองค์เดียว แล้วเรียกขานใหม่ว่า ตรีมูรติ  ในกรณีของลัทธิไศวนิกายและไวษณพนิกาย ก็ก่อให้เกิดเทพเจ้าองค์ใหม่ขึ้นด้วยเช่นกันคือ พระหริหระซึ่งเป็นการรวมกันของพระนารายณ์ คือ พระหริ และพระศิวะ คือ พระหระ      ในแนวความคิดเดียวกัน จตุคาม รามเทพอาจเป็นคำเรียกขานจากการรวมกันของเทพเจ้าสององค์ คือ พระพรหมและพระนารายณ์ก็ได้ ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับ ตรีมูรติและ พระหริหระเพื่อก่อกำเนิดเป็นเทพองค์ใหม่ขึ้น ทำหน้าที่คุ้มครองรักษาพระบรมธาตุเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ หรือพระทันตธาตุของพระพุทธเจ้า                จะเห็นว่าผู้คนมีความเชื่อเกี่ยวกับพระองค์ท่านท้าวจตุคามรามเทพที่แตกต่างกันไปมากมายเหมือนกัน ซึ่งก็ต่างกับที่อาจารย์จักรัชได้เขียนไว้ที่ข้าพเจ้าหยิบยกมาก่อนหน้านี้มากทีเดียว
คำสำคัญ (Tags): #จตุคามรามเทพ
หมายเลขบันทึก: 76488เขียนเมื่อ 5 กุมภาพันธ์ 2007 23:44 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 มิถุนายน 2012 16:56 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท