หน้าแรก
สมาชิก
yotin
สมุด
การจัดการความรู้
การจัดการความรู
yotin
นาย โยธิน yo เสือคล้ำ
สมุด
บันทึก
อนุทิน
ความเห็น
ติดต่อ
การจัดการความรู
KM
การจัดการความรู้ (
Knowledge Management : KM)
การจัดการความรู้ คือ การรวบรวมองค์ความรู้ที่มีอยู่ในส่วนราชการซึ่งกระจัดกระจายอยู่ในตัวบุคคลหรือเอกสาร มาพัฒนาให้เป็นระบบ เพื่อให้ทุกคนในองค์กรสามารถเข้าถึงความรู้ และพัฒนาตนเองให้เป็นผู้รู้ รวมทั้งปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันจะส่งผลให้องค์กรมีความสามารถในเชิงแข่งขันสูงสุด โดยที่ความรู้มี
2
ประเภท คือ
1.
ความรู้ที่ฝังอยู่ในคน (
Tacit Knowledge)
เป็นความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ พรสวรรค์หรือสัญชาติญาณของแต่ละบุคคลในการทำความเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ เป็นความรู้ที่ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดหรือลายลักษณ์อักษรได้โดยง่าย เช่น ทักษะในการทำงาน งานฝีมือ หรือการคิดเชิงวิเคราะห์ บางครั้ง จึงเรียกว่าเป็นความรู้แบบนามธรรม
2.
ความรู้ที่ชัดแจ้ง (
Explicit Knowledge)
เป็นความรู้ที่สามารถรวบรวม ถ่ายทอดได้ โดยผ่านวิธีต่าง ๆ เช่น การบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ทฤษฎี คู่มือต่าง ๆ และบางครั้งเรียกว่าเป็นความรู้แบบรูปธรรม
1.
มุ่งสู่ความเป็นเลิศ
(Personal
Mastery)
สมาชิกขององค์การจะต้องมีเป้าหมายชีวิต
ทั้งในชีวิตส่วนตน
การทำงานและทางด้านครอบครัว
จะต้องมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาตนเองให้ไปถึงเป้าหมายนั้น
ด้วยการปฏิบัติ
รู้จักใช้เหตุและผล
หมั่นฝึกฝนตนเองอยู่เป็นนิจ
เพื่อให้เก่งในทุกด้าน จำเป็นต้องเรียนรู้ให้ทันสมัย
และต้องเรียนรู้ไปตลอดชีวิต
(Lifelong
Learning)
ด้วยแรงใฝ่ดี
พัฒนาทักษะและทำงานอย่างชำนิชำนาญจนสามารถใช้จิตใต้สำนึก
(Subconscious)
ในการทำงาน
ในการมุ่งสู่ความเป็นเลิศนี้
มีแนววิธีปฏิบัติซึ่งประกอบด้วย
1.1
สร้างวิสัยทัศน์ส่วนตน
(Personal
Vision)
คือความคาดหวังของแต่ละคนที่ต้องการจะให้เกิดขึ้นจริงแก่ชีวิตของตนในอนาคต
1.2
มีแรงมุ่งมั่นใฝ่ดี
(Creative
Tension)
ที่จะช่วยเสริมให้มีความเพียรพยายามและมีพัฒนาการอยู่ตลอดเวลาเพื่อมุ่งสู่ความเป็นเลิศ
(Personal
Mastery)
มีการใช้เวลาอย่างคุ้มค่าแก่ตนเองอยู่เสมอ
1.3
ใช้ข้อมูลเพื่อคิดวิเคราะห์
และตัดสินใจ
(Commitment
to
the
Truth)
โดยการใช้ข้อมูลข้อเท็จจริงเพื่อคิดวิเคราะห์
โดยอาศัยข้อมูล
ข่าวสาร
องค์ความรู้
และภูมิปัญญาเป็นองค์ประกอบสำคัญในกระบวนการตัดสินใจ
และตัดสินใจใช้เหตุผลทุกครั้งอย่างเป็นระบบ
1.4
ฝึกใช้จิตใต้สำนึกในการทำงาน
(Using
Subconsciousness)
โดยมีการฝึกทักษะในงานแต่ละประเภทอย่างจริงจังจนมีความชำนาญขั้นสูงสุดสามารถทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งได้โดยอัตโนมัติและมีผลงานออกมาดีเยี่ยมโดยไม่ต้องใช้สมาธิใช้เพียงจิตใต้สำนึกเป็นตัวสั่งงานเท่านั้น
2.
รูปแบบวิธีคิด
และมุมมองที่เปิดกว้าง
(Mental
Models)
ทำให้สมาชิกขององค์การทุกคนมีความรู้
และความเข้าใจไปในทางเดียวกัน
มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
เปิดกว้างต่อการเรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ
เข้าใจและยอมรับวิถีการเปลี่ยนแปลงที่จะเป็นประโยชน์ต่อปัจเจกบุคคลและองค์การ
เลิกยึดติดกับรูปแบบและวิธีการที่ตนคุ้นเคย
เพราะรูปแบบวิธีคิดแบบเดิมๆ
อาจเป็นตัวสกัดกั้นความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และมองไม่เห็นโอกาสใหม่ๆ
คนในองค์การพึงยอมรับว่า
“
ความสำเร็จในอดีต
มิใช่สิ่งที่จะบ่งบอกถึงความสำเร็จในอนาคตอีกต่อไป
ถ้าเราจะไม่ทำอะไรให้มันดีขึ้นกับองค์การของเรา
”
ทุกองค์การจะต้องยอมรับเข้าใจในพัฒนาการของระบบเศรษฐกิจใหม่
(Knowledge-Based
Economy)
ที่ต้องพึ่งพาข้อมูลข่าวสาร
-
ภูมิรู้
-
ภูมิปัญญา
เพื่อการคิดและการตัดสินใจ
การสร้างรูปแบบวิธีคิด
และมุมมองที่เปิดกว้างจะเป็นผลดีแก่ปัจเจกบุคคลและองค์การ
ทำให้เกิดการยอมรับในพัฒนาการใหม่ๆ
ตลอดจนความเปลี่ยนแปลงต่างๆ
อันเกิดจากพลังความคิดสร้างสรรค์ของสมาชิกทุกคนในองค์การ
มิฉะนั้นจะเป็นการสร้างข้อจำกัดให้แก่ตนเอง
มองโอกาสไม่ออก
คิดสร้างสรรค์ไม่เป็น
ปรับเปลี่ยนตัวเองไม่ได้
และหากไม่คิดจะปรับตัวสู้กับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงเห็นทีจะตามโลกและตามผู้อื่นไม่ทัน
3.
การสร้างและสานวิสัยทัศน์
(Share
Vision)
กำหนดวิสัยทัศน์องค์การให้ชัดเจน
และให้สมาชิกขององค์การทุกคนได้รู้และเข้าใจถึงความมุ่งหวังในอนาคตขององค์การนี้
และมุ่งมั่นสู่วิสัยทัศน์องค์การ
(Corporate
Vision)
ที่ทุกคนในองค์การจะต้องร่วมกันทำให้สิ่งที่คาดหวังไว้นั้นเป็นจริงขึ้นมาให้จงได้
โดยผู้บริหารเปิดโอกาสให้สมาชิกขององค์การมีส่วนร่วมในการสร้าง
“
วิสัยทัศน์ร่วม
(Shared
Vision)”
ขององค์การ และเมื่อได้กำหนดวิสัยทัศน์องค์การเรียบร้อยแล้ว
การที่จะให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมขั้นตอนที่สำคัญคือการสร้างและสานวิสัยทัศน์
(Share
Vision)
ให้ทุกคนมีส่วนร่วมรับรู้และสำนึกในวิสัยทัศน์องค์การ
ไม่ใช่ต่างสร้างฝันไปตามทางของตนหรือสร้างดาวคนละดวงอีกต่อไป
4.
การเรียนรู้ร่วมกันเป็นทีม
(Team
Learning)
เน้นการทำงานเป็นทีม
โดยทุกคนในทีมงานจะต้องมีวิจารณญาณร่วมกันอยู่ตลอดเวลาว่า
เรากำลังทำงานอะไร
และจะทำให้ดีขึ้นได้อย่างไร
จึงจะมีส่วนช่วยเพิ่มคุณค่าแก่ลูกค้าหรือผู้รับบริการ
และสร้างพัฒนาการแก่องค์การได้
จิตสำนึกนี้จะก่อให้เกิดความต้องการของกลุ่มคนในองค์การที่จะเรียนรู้ร่วมกัน
แลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกัน
ช่วยเหลือเกื้อกูล
สามัคคี
เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
ขยันคิด
ขยันเรียนรู้
และขยันทำอย่างต่อเนื่อง
5.ความคิดความเข้าใจเชิงระบบ (
Systems
Thinking)
ปัจเจกบุคคลหรือทีมงานต้องมีความเข้าใจให้ชัดเจนถึงความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งต่างๆ ซึ่งเป็นการมองภาพรวมมากกว่ามองภาพเดี่ยวๆ
ซึ่งนอกจากจะมองเห็นภาพรวมแล้ว
ยังต้องมองเห็นรายละเอียดของส่วนประกอบย่อยๆ ภายในภาพนั้นออกด้วย
ทำให้เราขจัดปัญหาจากความสลับซับซ้อน
(Complexity)
ของงาน
ความซับซ้อนของการคิด
ความซับซ้อนขององค์การได้เป็นอย่างดี
ความคิดความเข้าใจเชิงระบบ (
Systems
Thinking)
นี้
ถือเป็นวินัยข้อที่มีความสำคัญมากที่สุด
แม้วินัยประการที่
1
ถึง
4
เมื่อจะนำไปใช้ปฏิบัติในการพัฒนาองค์การเรียนรู้ก็ยังจะต้องปฏิบัติภายใต้กรอบของวินัยประการที่
5
คือ
ต้องมีความคิดความเข้าใจเรื่องนั้นๆ อย่างเป็นระบบ (
Systems
Thinking)
เพราะฉะนั้นแม้หากองค์การมีวิสัยทัศน์แต่ขาดการคิดอย่างเป็นระบบ
วิสัยทัศน์องค์การนั้นก็ไม่อาจบรรลุเป้าหมาย
กระบวนการจัดการความรู้
9
ประการ
1. การค้นคว้าความรู้ หรือการขุดค้นความรู้
โดยการสำรวจความรู้ที่จำเป็นที่จะใช้ในการปฏิบัติงาน
อาจจะอยู่ทั้งภายนอก
และภายในองค์กร
นำมาตรวจสังเคราะห์ความน่าเชื่อถือ และประโยชน์ของการนำไปใช้
2. การสะสมความรู้
โดยการจัดหมวดหมู่ของความรู้ ให้เป็นระบบ เหมาะสมกับการนำไปใช้ประโยชน์ภายในองค์กร
3. สร้างวิธีการจัดเก็บ
อาจใช้สื่อ
นวัตกรรม
หรืออุปกรณ์มาช่วยในการจัดเก็บ
เพื่อให้เกิดการค้นหาและนำไปใช้ได้สะดวกรวดเร็วเหมาะกับประเภทของการนำไปใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
4. กระบวนถ่ายทอดและกระจายความรู้
(Transfer Knowledge)
หรือเป็นการแพร่กระจายความรู้
โดยใช้กระบวนการสื่อสาร
(communication)
เป็นการจัดการความรู้ที่นำเทคโนโลยีสารสนเทศ
และการสื่อสารมาใช้ร่วมกันไม่เฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
5. การสร้างบรรยากาศให้เกิดการเรียนรู้
ด้วยการจัดกิจกรรมและกระบวนการให้บุคคลในองค์กรเกิดการเรียนรู้ทุกรูปแบบ
เพื่อส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยน ถ่ายทอดความรู้ที่ฝังแน่นหรือแฝงอยู่ในตัวบุคคล
ด้วยการสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้ทุกรูปแบบ
6. การปรับระดับความรู้ และการสังเคราะห์
ความรู้ เนื่องจากความรู้มีหลากหลายรูปแบบ
เมื่อนำมารวมกันจำเป็นต้องวิเคราะห์
สังเคราะห์
เพื่อนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่องค์กร
แต่หาใช่การปรับเปลี่ยนความรู้เดิมแต่หมายถึงการนำความรู้นั้นมาปรับปรุงให้เกิดความรู้เชิงบูรณาการใหม่
และนำไปใช้เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ และเป็นประโยชน์แก่การนำไปปฏิบัติ
7. การสร้างความรู้ใหม่
(Knowledge generation )
เนื่องจากความรู้มีอยู่ในตัวบุคคลมากมายหลายรูปแบบ
เราสามารถกระตุ้นให้บุคคลที่มีความรู้นำความรู้ที่เขามีอยู่มาสร้างความรู้ใหม่ๆ
เกิดขึ้นเพื่อนำมาใช้ในองค์กรได้
8. การนำมาบูรณาการและการประยุกต์ใช้
เป็นหัวใจสำคัญของกระบวนการบริหารองค์ความรู้หรือการจัดการความรู้
ซึ่งสามารถกระทำในลักษณะบูรณาการ
การดำเนินการควรดำเนินการให้อยู่ในกิจกรรมหรืองานประจำ
โดยไม่ถือเป็นภาระเพิ่มเติมจากงานประจำ
เพราะพื้นฐานของการจัดการความรู้ คือ การนำความรู้ที่ได้มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่องค์กร
ซึ่งต้องอาศัยวัฒนธรรมองค์กร
เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้นำความรู้ไปใช้หรือเกิดการถ่ายโอน
9. การธำรงรักษาไว้
(Knowledge maintenance)
เมื่อมีระบบการบริหารองค์ความรู้ สิ่งหนึ่งที่จะทำให้ความรู้ทั้งหมดมีค่าแก่องค์กร
และสังคม คือ
การเผยแพร่
และการดำรงรักษาความรู้ไว้มิให้สูญสลาย
แต่กลับส่งเสริมให้นำความรู้ไปใช้ให้เกิดความคิดใหม่ บูรณาการสิ่งใหม่
และให้คนในองค์กรเรียนรู้จาการใช้ความรู้เป็นการประยุกต์การเรียนรู้ที่เป็นระบบ
เขียนใน
GotoKnow
โดย
yotin
ใน
การจัดการความรู้
คำสำคัญ (Tags):
#33
หมายเลขบันทึก: 76257
เขียนเมื่อ 4 กุมภาพันธ์ 2007 17:30 น. (
)
แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 17:16 น. (
)
สัญญาอนุญาต:
จำนวนที่อ่าน
จำนวนที่อ่าน:
ความเห็น (0)
ไม่มีความเห็น
ชื่อ
อีเมล
เนื้อหา
จัดเก็บข้อมูล
หน้าแรก
สมาชิก
yotin
สมุด
การจัดการความรู้
การจัดการความรู
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID
@gotoknow
สงวนลิขสิทธิ์ © 2005-2023 บจก. ปิยะวัฒนา
และผู้เขียนเนื้อหาทุกท่าน
นโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy)
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท