ที่ผ่านมา พันธุกรรมพืช (ส่วนที่คุมลักษณะของพืชที่ถ่ายทอดได้ถึงลูกหลาน เช่นที่อยู่ในเมล็ดพันธุ์) ที่มาจากธรรมชาติ เป็นสมบัติสาธารณะที่ทุกคน(ในโลก)สามารถเข้าถึงได้
วิธีคิดใหม่ ภายใต้สนธิสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยทรัพยากรพันธุกรรมพืชเพื่ออาหารและการเกษตร (ITPGR)นี้คือ ทรัพยากรพันธุกรรมพืช (64 รายการที่กำหนดในสนธิสัญญา) ที่เป็นสมบัติสาธารณะของประเทศภาคีสมาชิก จะถูกจัดเข้ามาอยู่ในระบบพหุภาคี (ประกอบด้วยหลายประเทศ แต่มีหน่วยจัดการกลาง) ประเทศสมาชิกทุกประเทศมีสิทธิใช้เพื่อการปรับปรุงพันธุ์ได้ แต่ต้องมีการ “จ่าย” และการ “แบ่งผลประโยชน์”กัน
สนธิสัญญานี้ยอมรับว่า รัฐ มีอำนาจอธิปไตยเหนือทรัพยากรพันธุกรรมพืชของประเทศ (แปลว่า รัฐเป็นเจ้าของและมีอำนาจในการควบคุมจัดการ และมีส่วนร่วมในเวทีพหุภาคีในการแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างประเทศ) โดยยอมรับสิทธิของเกษตรกรในการใช้ประโยชน์ และการมีส่วนร่วม (แปลว่า ในการจะก่อให้เกิดประโยชน์สู่เกษตรกร จะต้องมีการจัดการในประเทศที่เชื่อมโยงจากรัฐถึงท้องถิ่นหรือชุมชนอีกทีหนึ่ง)
สนธิสัญญานี้ สร้างกติกาเกี่ยวกับการใช้ และการแบ่งปันผลประโยชน์จากการที่ต่างชาตินำทรัพยากรพันธุกรรมของประเทศไปใช้ แต่จะครอบคลุมเฉพาะ พืชที่อยู่ในสนธิสัญญา และบังคับใช้เฉพาะกับประเทศที่ให้สัตยาบันในสนธิสัญญา
ประเทศใหญ่ๆเช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย ไม่ให้สัตยาบัน ภาคีสมาชิกส่วนใหญ่ในปัจจุบัน จึงเป็นประเทศในแอฟริกา ยุโรป อินเดีย บราซิล เป็นต้น
ไทยยังไม่ให้สัตยาบัน ด้วยเหตุผลว่า เรายังไม่พร้อมและประโยชน์ยังไม่ชัดเจน โจทย์ของการวิจัยที่ได้จากที่ประชุมในวันนั้นคือ เราจะเตรียมความพร้อมอย่างไร โดยใคร มีประเด็นด้าน กม. ด้านการมีส่วนร่วม ด้านศักยภาพของการปรับปรุงพันธุ์พืช ที่นักวิจัยจะต้องไปดูต่อ
"ความพร้อม" ในการเผชิญกับสังคมโลกที่หมุนเร็วใบนี้ ดูเหมือนจะเป็นปัญหาสำหรับประเทศไทยในแทบทุกกรณี
ไม่มีความเห็น