นักท่องเที่ยวต่างชาติกำลังเริ่มทยอยกลับเข้าไปเยือนอัฟกานิสถานอีกครั้ง ผสมผสานระหว่างความท้าทายและความอยากรู้อยากเห็น ในขณะที่รัฐบาลตาลีบันเองก็พยายามผลักดันการท่องเที่ยวอย่างเต็มที่ แม้ประชาคมโลกจะยังคงกังวลต่อสถานการณ์ภายในประเทศ การฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่แม้จะค่อยเป็นค่อยไป แต่กลับกลายเป็นแสงสว่างทางเศรษฐกิจที่ไม่คาดคิดสำหรับประเทศที่แทบจะถูกตัดขาดจากโลกภายนอก และมีประชากรกว่า ๔๑ ล้านคนที่กำลังเผชิญกับความยากจนที่รุนแรงขึ้น
เทรนด์การท่องเที่ยวนี้น่าจับตามองอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในมุมมองของภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงบทบาทของการเดินทางที่ต้องชั่งน้ำหนักระหว่างความปลอดภัยและประเด็นทางจริยธรรมที่ซับซ้อน ข้อมูลพบว่านักท่องเที่ยวเดินทางเข้าสู่อัฟกานิสถานในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะทางเครื่องบิน ขี่มอเตอร์ไซค์ ขับรถบ้าน หรือแม้กระทั่งปั่นจักรยาน โดยรัฐบาลคาดหวังว่าการท่องเที่ยวจะเป็นแหล่งรายได้ใหม่ ในยามที่เม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติเหือดหายไปเกือบทั้งหมด รองรัฐมนตรีท่องเที่ยวอัฟกานิสถานให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Associated Press ว่า “การท่องเที่ยวให้อะไรกับประเทศเราหลายอย่าง… และเราเชื่อว่าวันหนึ่งมันจะเติบโตเป็นภาคเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สร้างประโยชน์มหาศาล… การท่องเที่ยวคือกุญแจสำคัญต่อความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของเรา” (AP News)
อัฟกานิสถานเป็นดินแดนที่บอบช้ำจากสงครามยาวนานกว่า ๔ ทศวรรษ จึงไม่ใช่จุดหมายปลายทางในฝันของนักเดินทางส่วนใหญ่ แต่หลังจากกลุ่มตาลีบันกลับมาครองอำนาจอีกครั้งในเดือนสิงหาคม ๒๐๒๑ ความขัดแย้งและความรุนแรงในพื้นที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด จนถูกนำเสนอว่าเป็น “ยุคใหม่ที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น” แม้ว่าภัยคุกคามจะยังไม่หมดไป โดยเฉพาะจากกลุ่มติดอาวุธอื่น ๆ ดังเช่นเหตุการณ์สะเทือนขวัญเมื่อเดือนพฤษภาคม ๒๐๒๔ ที่นักท่องเที่ยวชาวสเปน ๓ คนและพลเมืองอัฟกัน ๓ คนถูกสังหารในเมืองบามิยัน ซึ่งเป็นที่ตั้งของมรดกโลกอย่างประติมากรรมพระพุทธรูปโบราณ
แม้ชาติตะวันตกหลายประเทศจะยังคงประกาศเตือนพลเมืองไม่ให้เดินทางไปยังอัฟกานิสถาน แต่ในปีที่ผ่านมา กลับมีชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศถึงราว ๙,๐๐๐ คน และเพียงไตรมาสแรกของปี ๒๐๒๕ ตัวเลขก็พุ่งเกิน ๓,๐๐๐ คนแล้ว ตามข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยวอัฟกานิสถาน ขณะนี้การขอวีซ่าทำได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น มีเที่ยวบินตรงจากเมืองศูนย์กลางการบินอย่างดูไบและอิสตันบูล นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การตั้งสถาบันฝึกอบรมด้านการท่องเที่ยวสำหรับผู้ชาย เพื่อยกระดับมาตรฐานการบริการและขยายธุรกิจ แต่ในขณะเดียวกัน ก็สะท้อนถึงข้อจำกัดด้านสิทธิสตรีที่ยังคงมีอยู่
สำหรับนักเดินทาง การเลือกไปเยือนอัฟกานิสถานเต็มไปด้วยประเด็นที่ต้องขบคิดทั้งในทางปฏิบัติและเชิงจริยธรรม ในแง่หนึ่ง การท่องเที่ยวเชิงผจญภัยอย่างการปีนเขาสูง เดินป่า หรือสำรวจแหล่งประวัติศาสตร์ ก็สอดรับกับเทรนด์ของนักท่องเที่ยวยุคใหม่ที่โหยหาประสบการณ์ในเส้นทางที่ยังไม่ช้ำ ขณะเดียวกัน อัฟกานิสถานก็มีมรดกทางวัฒนธรรมที่ล้ำค่า ตั้งแต่ร่องรอยบนเส้นทางสายไหมไปจนถึงประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิต่าง ๆ ซึ่งอาจเทียบเคียงได้กับบทบาท “ทางผ่าน” ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอดีต
อย่างไรก็ตาม การเดินทางครั้งนี้ก็มาพร้อมคำถามเชิงจริยธรรมที่คาใจ มีเสียงวิจารณ์ว่าการไปเที่ยวอาจดูไม่เหมาะสม เมื่อพิจารณาถึงการที่ผู้หญิงและเด็กหญิงในอัฟกานิสถานถูกลิดรอนสิทธิอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นการห้ามเรียนหนังสือหลังจบชั้นประถม การจำกัดอาชีพ การห้ามเข้าพื้นที่สาธารณะอย่างสวนสาธารณะหรือโรงยิม รวมถึงการบังคับให้คลุมใบหน้าและแต่งกายอย่างเคร่งครัด แม้แต่ร้านเสริมสวยก็ถูกสั่งปิด นักเดินทางบางรายยอมรับว่าการมาเที่ยวอัฟกานิสถานอาจ “ขัดต่อมโนธรรม” แต่ก็เลือกที่จะมาโดยหวังว่าเงินของพวกเขาจะส่งตรงถึงมือชาวบ้านมากกว่ารัฐบาล ดังที่นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษคนหนึ่งกล่าวว่า “การเดินทางแบบนี้ เงินจะตกถึงคนท้องถิ่น ไม่ใช่รัฐบาล”
ด้านกลุ่มตาลีบันประกาศชัดเจนว่ายินดีต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งชายและหญิงจากทุกประเทศ หากเคารพกฎหมายและวัฒนธรรมท้องถิ่น แม้จะมีข้อบังคับที่เข้มงวดต่อสตรีชาวอัฟกัน แต่สำหรับนักท่องเที่ยวหญิงชาวต่างชาติกลับมีความยืดหยุ่นกว่า ทั้งในเรื่องการแต่งกายและการเข้าถึงสถานที่ต่าง ๆ
มุมมองของตาลีบันต่อการท่องเที่ยวนั้นไปไกลกว่าเรื่องเศรษฐกิจ แต่ยังหมายถึง “การสร้างสะพาน” เชื่อมวัฒนธรรม เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้คนจากต่างแดนได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์และสร้างความเข้าใจซึ่งกันและกัน หรืออาจมองไปถึงบทบาทในเชิงจิตวิทยาและการเมือง ดังที่รองรัฐมนตรีท่องเที่ยวอัฟกานิสถานกล่าวว่า “การท่องเที่ยวสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้คน ทำให้เกิดความเข้าใจและเรียนรู้ซึ่งกันและกัน… มันไม่ได้ช่วยแค่เรื่องเศรษฐกิจ แต่ยังส่งผลดีในทางการเมืองและจิตใจด้วย” แนวคิดนี้สะท้อนว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวกำลังถูกใช้เป็นเครื่องมือสร้างภาพลักษณ์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศให้กับอัฟกานิสถาน
สำหรับประเทศไทยซึ่งมีเศรษฐกิจและซอฟต์พาวเวอร์ที่ขับเคลื่อนด้วยการท่องเที่ยวเป็นหลัก เรื่องราวของอัฟกานิสถานจึงเป็นทั้งภาพสะท้อนและบทเรียนสำคัญ ประเทศไทยแสดงให้เห็นมาตลอดว่าการท่องเที่ยวสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เชื่อมโยงวัฒนธรรม และส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนได้ ซึ่งเป็นเส้นทางที่อัฟกานิสถานใฝ่ฝันอยากจะเดินตาม แม้ต้องเผชิญอุปสรรคที่หนักหน่วงกว่า ขณะเดียวกัน การสร้างสมดุลระหว่างการขยายตัวด้านการท่องเที่ยวกับการอนุรักษ์วัฒนธรรมและรักษาสิทธิทางสังคมของไทย ก็สามารถนำมาเทียบเคียงกับความท้าทายที่อัฟกานิสถานกำลังเผชิญ ท่ามกลางความไม่แน่นอนและความกังวลด้านสิทธิมนุษยชน
บรรดาผู้เชี่ยวชาญ สถาบันการศึกษา และผู้ประกอบการในแวดวงท่องเที่ยวไทย มองว่าประสบการณ์ของอัฟกานิสถานเป็นเครื่องย้ำเตือนถึงศักยภาพและความเสี่ยงที่มาคู่กันเมื่อเปิดประตูต้อนรับโลก หลายฝ่ายในไทยเน้นย้ำเสมอว่าหัวใจของการพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวคือความปลอดภัย การเปิดกว้าง และจริยธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่กำลังถูกท้าทายอย่างหนักในอัฟกานิสถาน
อนาคตการท่องเที่ยวของอัฟกานิสถานยังคงแขวนอยู่บนเส้นด้าย ความปลอดภัยเป็นปัจจัยที่เปราะบางและอาจพังทลายลงได้ทุกเมื่อหากเกิดเหตุรุนแรงครั้งใหญ่ ขณะที่การยอมรับรัฐบาลตาลีบันในเวทีโลกก็ยังไม่เกิดขึ้นจริง และข้อถกเถียงด้านจริยธรรมก็จะยังคงอยู่ ตราบใดที่สิทธิมนุษยชนยังไม่ได้รับการเคารพอย่างที่ควรจะเป็น ถึงกระนั้น เสน่ห์ของภูมิประเทศที่บริสุทธิ์และวัฒนธรรมที่ยังคงความดั้งเดิม ก็ยังเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักเดินทางสายผจญภัยให้ยอมเสี่ยง พร้อมกับต้องชั่งน้ำหนักระหว่างความท้าทายและความรับผิดชอบในทุกย่างก้าว
สำหรับคนไทย ไม่ว่าจะกำลังพิจารณาอัฟกานิสถานเป็นจุดหมายปลายทาง หรือเพียงศึกษาบทเรียนจากกรณีนี้ หัวใจสำคัญคือความรอบคอบและระมัดระวัง ต้องติดตามคำเตือนการเดินทางอย่างใกล้ชิด ปรึกษาบริษัททัวร์ที่มีความเชี่ยวชาญ และไตร่ตรองถึงมิติด้านจริยธรรมอย่างถี่ถ้วน ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวของไทยเองก็ควรมุ่งรักษาหลักการของการเปิดกว้าง เคารพความหลากหลาย และยืนหยัดบนแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นแนวคิดที่ทั่วโลกให้ความสำคัญมากขึ้นทุกวัน
ที่มา: Associated Press