ในวัฒนธรรมไทย เสียงหัวเราะเปรียบเสมือนกาวใจชั้นดีที่ช่วยเชื่อมผู้คนเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นวงสนทนาของกลุ่มเพื่อน คู่รักที่หยอกล้อกัน หรือบรรยากาศชื่นมื่นในวงเครือญาติช่วงเทศกาลสำคัญอย่างสงกรานต์ แต่ใครจะรู้ว่างานวิจัยล่าสุดได้ชี้ให้เห็นอีกด้านหนึ่งว่า “เสียงหัวเราะ” ไม่ได้สร้างผลดีเสมอไป โดยเฉพาะในความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด เพราะความเข้าใจผิดเกี่ยวกับอารมณ์ขัน อาจเปลี่ยนเครื่องมือสร้างความผูกพันให้กลายเป็นอาวุธที่แฝงการดูถูก ซึ่งค่อยๆ บ่อนทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจ ความเคารพในตัวเอง และความรู้สึกปลอดภัยทางใจ
ข้อมูลล่าสุดจากนักจิตวิทยาที่เผยแพร่ใน Psychology Today ได้วิเคราะห์ว่า อารมณ์ขันบางประเภทอาจส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ในระยะยาว แม้คนส่วนใหญ่จะเชื่อว่า “คู่รักที่หัวเราะด้วยกันจะอยู่ด้วยกันยืด” (psychologytoday.com) ก็ตาม โดยงานศึกษาชิ้นนี้ได้จำแนกอารมณ์ขันออกเป็น ๒ ประเภทหลัก คือ “อารมณ์ขันเชิงบวก” ที่เน้นสร้างความอบอุ่น การหยอกล้อที่น่ารัก หรือการหัวเราะให้กำลังใจตัวเอง และ “อารมณ์ขันเชิงลบ” เช่น การเสียดสี การเยาะเย้ย หรือมุกตลกประชดประชัน แม้แบบแรกจะช่วยกระชับความสัมพันธ์ แต่อย่างหลังกลับเป็นเหมือนยาพิษที่ค่อยๆ ทำลายความสัมพันธ์อย่างเงียบเชียบ เพราะมันคือเกมอำนาจที่ซ่อนอยู่ใต้ความขบขัน
สำหรับสังคมไทยที่ให้ความสำคัญกับความเกรงใจและการรักษาหน้าตา ผลวิจัยนี้ยิ่งน่าสนใจเป็นพิเศษ เพราะช่วยให้เราฉุกคิดและแยกแยะได้ว่า “มุกตลก” แบบไหนที่สร้างสรรค์ และแบบไหนที่ควรระวัง ก่อนที่เสียงหัวเราะจะกลายเป็นต้นตอของรอยร้าวทั้งในกลุ่มเพื่อน คนรัก หรือแม้กระทั่งในครอบครัว
ส่อง 3 รูปแบบ ‘มุกตลก’ ที่แฝงการดูถูกทำร้ายใจ
งานวิจัยที่อ้างถึงในบทความ Psychology Today ได้ระบุถึงลักษณะของมุกตลกที่แฝงการดูถูกไว้ ๓ รูปแบบหลัก ดังนี้
๑. การเล่นกับปมด้อยหรือเรื่องอ่อนไหวซ้ำๆ
หลายครั้งที่คู่รักหรือเพื่อนสนิทมักหยิบยกเรื่องที่อีกฝ่ายไม่สบายใจมาล้อเลียน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน ครอบครัว หรือรูปลักษณ์ภายนอก แม้จะเคยบอกไปแล้วว่าไม่ชอบ แต่เมื่ออีกฝ่ายแสดงความอึดอัด ก็มักจะถูกสวนกลับมาว่า “ล้อเล่นน่า คิดมากไปหรือเปล่า” ซึ่งสะท้อนถึงการไม่ให้เกียรติและเพิกเฉยต่อความรู้สึกของคนฟัง งานศึกษาเมื่อปี ๒๐๑๐ ในวารสาร Journal of Personality and Social Psychology พบว่าคนที่มองว่า “มุกตลกเป็นเรื่องขำๆ ไม่ต้องจริงจัง” มักมีแนวโน้มที่จะใช้คำพูดติดตลกเป็นเกราะกำบังเพื่อหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบและซ่อนการดูถูกเอาไว้ (แหล่งที่มา) ปรากฏการณ์นี้สอดคล้องกับบริบทของสังคมไทย ที่การแสดงความไม่พอใจในที่สาธารณะอาจถูกมองว่าไม่มีมารยาท ทำให้หลายคนเลือกที่จะเก็บความเจ็บปวดไว้ และปล่อยให้วงจรการล้อเลียนที่ทำร้ายจิตใจดำเนินต่อไป
๒. การเสียดสีประชดประชันจนเป็นนิสัย
มุกเสียดสีหรือคำพูดประชดประชัน แม้จะพบได้ทั่วไปในวงสนทนาหรือรายการตลก แต่หากถูกนำมาใช้บ่อยครั้งจนกลายเป็นนิสัย ก็สามารถบั่นทอนความสัมพันธ์ได้อย่างร้ายกาจ งานวิจัยปี ๒๐๒๒ ในวารสาร Personality and Individual Differences ชี้ว่าคนที่ชอบใช้อารมณ์ขันแนวเยาะเย้ยมักมีบุคลิกชอบควบคุมและมีแนวโน้มหลีกเลี่ยงความใกล้ชิดทางใจ (แหล่งที่มา) เช่น การพูดประชดว่า “ลืมอีกแล้วสิ สมกับเป็นเธอจริงๆ” อาจดูเหมือนเป็นเรื่องขำๆ แต่แท้จริงแล้วคือการสะสมความขุ่นเคือง จนทำให้อีกฝ่ายรู้สึกด้อยค่า ทั้งที่ผู้พูดอ้างว่า “แค่หยอกเล่น” วัฒนธรรมไทยที่เน้นการรักษาหน้าและเลี่ยงการเผชิญหน้าโดยตรง ยิ่งเปิดช่องให้อารมณ์ขันลักษณะนี้กลายเป็นเครื่องมือระบายความไม่พอใจแบบไม่ต้องรับผิดชอบ
๓. การล้อเลียนต่อหน้าคนอื่นเพื่อความสะใจ
อีกรูปแบบที่ “อารมณ์ขัน” ถูกใช้เป็นเครื่องมือทำร้ายจิตใจ คือการทำให้ใครคนหนึ่งเป็นตัวตลกต่อหน้าคนหมู่มาก เพื่อให้ตัวเองดูเหนือกว่า ซึ่งตรงกับทฤษฎี superiority theory of humor ที่อธิบายว่าความขบขันเกิดจากการรู้สึกว่าตนเองเหนือกว่าผู้อื่น (britannica.com) แน่นอนว่าหากเป็นการหยอกล้อกันไปมาอย่างเท่าเทียมในกลุ่มเพื่อนหรือญาติสนิท ก็อาจช่วยสร้างความสนิทสนมได้ แต่หากมีใครคนหนึ่งต้องตกเป็นเป้าให้ถูกล้ออยู่ฝ่ายเดียวซ้ำๆ ย่อมนำไปสู่ความรู้สึกแปลกแยก ไม่ปลอดภัย และอาจกลายเป็นบาดแผลในใจโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะในสังคมไทยที่คนส่วนใหญ่มักไม่กล้าโต้แย้งหรือแสดงความรู้สึกไม่พอใจต่อหน้าคนเยอะๆ ผลลัพธ์ที่ตามมาคือความรู้สึกไม่มั่นใจที่ถูกสะสมไว้เงียบๆ
การใช้อารมณ์ขันอย่างสร้างสรรค์ในบริบทไทย
ผู้เชี่ยวชาญย้ำว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือบริบทและความรู้สึกของผู้ฟัง หากมุกตลกหรือการล้อเล่นนั้นทำให้อีกฝ่ายรู้สึกด้อยค่า อับอาย หรือต้องคอยตั้งรับอยู่เสมอ นั่นคือสัญญาณอันตราย เพราะแทนที่เสียงหัวเราะจะช่วยสานสัมพันธ์ มันอาจกลายเป็นกำแพงที่ขวางกั้นความเข้าใจ และนำไปสู่วัฒนธรรมของการปัดความรับผิดชอบต่อความรู้สึกของอีกฝ่าย ในสังคมไทยที่ให้คุณค่ากับภาพลักษณ์ภายนอกและความสงบสุข หลายครั้งเรายอมฝืนทนทั้งที่ในใจเจ็บปวด ดังนั้น สิ่งที่ทุกคนควรทำคือการสังเกตว่ามุกตลกของเราสร้างความอบอุ่นใจหรือกำลังสร้างบาดแผลให้ใครอยู่
แนวทางปฏิบัติเพื่อความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน
ในทางวัฒนธรรมไทย อารมณ์ขันมีบทบาทสำคัญในการลดช่องว่างระหว่างวัย คลายความตึงเครียด หรือแม้แต่สร้างความกลมเกลียวในกลุ่ม เช่น การแสดงตลกเสียดสีการเมือง หรือการที่ผู้ใหญ่หยอกล้อเด็กๆ ในงานมงคล ซึ่งทั้งหมดนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของเจตนาที่ดีต่อกัน ปัญหาจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่ออารมณ์ขันนั้นกลายเป็นเครื่องมือให้อีกฝ่ายรู้สึกเหนือกว่า และใช้ทิ่มแทงอีกฝ่ายอย่างต่อเนื่องโดยไม่ได้รับความยินยอมจากใจจริง
คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญคือ ให้ลองสังเกตว่าอารมณ์ขันในความสัมพันธ์ของคุณกำลังพอดีหรือข้ามเส้นไปแล้ว หากพบว่าตัวเองถูกล้อเลียนในเรื่องที่ไม่สบายใจซ้ำๆ ควรหาโอกาสพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว แต่หากปัญหายังคงอยู่และมีรูปแบบอื่นของการควบคุมหรือบั่นทอนจิตใจร่วมด้วย การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์หรือนักจิตวิทยาก็เป็นทางออกที่ดี
นอกจากนี้ การสร้างความเข้าใจว่าแต่ละคนมีขอบเขตของอารมณ์ขันที่แตกต่างกัน จะช่วยให้คู่รัก ครอบครัว และกลุ่มเพื่อน สามารถใช้เสียงหัวเราะเป็นเครื่องมือสร้างสายใยรัก มากกว่าใช้เป็นเกราะกำบังปัญหา นักจิตวิทยาชี้ว่าการกล้าพูดถึงความไม่สบายใจเมื่อถูกหยอกล้อ คือกุญแจสำคัญในการรักษาความไว้ใจและความสนิทใจในระยะยาว
สิ่งที่น่าขบคิดต่อคือ การกลับมาทบทวนขอบเขตอารมณ์ขันของตัวเองและเปิดใจรับฟังคนใกล้ชิดว่า มุกตลกของเราสร้างความอบอุ่นหรือกำลังทำลายความเชื่อใจกันแน่ ในขณะที่โรงเรียนหรือที่ทำงาน ผู้บริหารและครูควรเป็นแบบอย่างของการใช้อารมณ์ขันเชิงบวกที่เน้นการให้เกียรติซึ่งกันและกัน ไม่ใช่การแข่งขันหรือลดทอนคุณค่าของใคร
สำหรับผู้ที่สนใจเนื้อหาเพิ่มเติม สามารถอ่านบทความฉบับเต็มได้ที่ Psychology Today รวมถึงรายงานการศึกษาใน Journal of Personality and Social Psychology ปี ๒๐๑๐ และ Personality and Individual Differences ปี ๒๐๒๒ ส่วนแหล่งข้อมูลในไทย สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จากคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรมสุขภาพจิต หรือศูนย์ให้คำปรึกษาในพื้นที่
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ดีได้ที่ Mental Health Thailand