สูกรมุขเปตวัตถุ
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย วิมาน-เปตวัตถุ เถร-เถรีคาถา
๒. สูกรมุขเปตวัตถุ
เรื่องเปรตปากหมู
(ท่านพระนารทเถระถามเปรตตนหนึ่งว่า)
[๔] ทั่วทั้งกายของท่านมีสีเหมือนทองคำ เปล่งรัศมีสว่างไสวไปทั่วทุกทิศ แต่ปากของท่านเหมือนปากสุกร เมื่อก่อนท่านได้ทำกรรมอะไรไว้
(เปรตนั้นตอบว่า)
[๕] ท่านพระนารทะ เมื่อก่อนข้าพเจ้าได้สำรวมกาย แต่ไม่ได้สำรวมวาจา เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงมีรูปร่างและผิวพรรณตามที่ท่านเห็นอยู่นั้น
[๖] ท่านนารทะ เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าขอบอกท่าน สรีระของข้าพเจ้านี้ท่านเห็นเองแล้ว ท่านอย่าได้ทำบาปด้วยปาก ท่านอย่าได้มีปากเหมือนสุกรเลย
สูกรเปตวัตถุที่ ๒ จบ
---------------------
คำอธิบายเพิ่มเติมนี้ นำมาจากบางส่วนของ
อรรถกถา ขุททกนิกาย เปตวัตถุ ปฐมวรรค
๒. สูกรเปตวัตถุ
อรรถกถาสูกรเปตวัตถุที่ ๒
เมื่อพระศาสดาทรงอาศัยกรุงราชคฤห์ ประทับอยู่ในพระเวฬุวัน กลันทกนิวาปวิหาร ทรงปรารภเปรตผู้มีหน้าเหมือนสุกรตนหนึ่ง จึงตรัสพระคาถานี้ ดังนี้.
ได้ยินว่า ในอดีตกาล ในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า กัสสปะ ได้มีภิกษุรูปหนึ่งเป็นผู้สำรวมทางกาย แต่ไม่สำรวมทางวาจา ด่าปริภาษภิกษุทั้งหลาย มรณภาพแล้วไปบังเกิดในนรก ไหม้ในนรกนั้นสิ้นพุทธันดรหนึ่ง จุติจากนรกนั้นแล้ว ในพุทธุปบาทกาลนี้บังเกิดเป็นเปรต ถูกความหิวกระหายครอบงำ ด้วยเศษวิบากของกรรมนั้นนั่นแล ณ เชิงเขาคิชฌกูฏ ใกล้กรุงราชคฤห์.
ร่างของเปรตนั้นได้มีสีเหมือนทองคำ แต่หน้าของเปรตนั้น เหมือนหน้าสุกร.
ลำดับนั้น ท่านพระนารทะอยู่ที่เขาคิชฌกูฏ ชำระร่างกายแต่เช้าตรู่ ถือบาตรและจีวร กำลังเที่ยวบิณฑบาตยังกรุงราชคฤห์ พบเปรตนั้นในระหว่างทาง เมื่อจะถามถึงกรรมที่เปรตนั้นทำ จึงกล่าวคาถาว่า
กายของท่านล้วนมีสีดุจทองคำ รัศมีกายของท่านสว่างไสวไปทุกทิศ แต่หน้าของท่านเหมือนหน้าสุกร เมื่อก่อนท่านได้ทำกรรมอะไรไว้.
เปรตนั้นถูกพระเถระถามถึงกรรมที่ตนทำอย่างนี้ เมื่อจะตอบด้วยคาถาจึงกล่าวว่า :-
ข้าแต่ท่านนารทะ เมื่อก่อนข้าพเจ้าได้สำรวมทางกาย แต่ไม่สำรวมทางวาจา เพราะเหตุนั้น รัศมีกายของข้าพเจ้าจึงเป็นเช่นกับที่ท่านเห็นอยู่นั้น.
เปรตถูกพระเถระถามอย่างนี้ ครั้นแก้คำถามนั้นแล้ว เมื่อจะทำความนั้นนั่นแหละให้เป็นเหตุแล้วตักเตือนพระเถระ จึงกล่าวคาถาว่า :-
ข้าแต่ท่านพระนารทะ เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าขอกล่าวแก่ท่าน สรีระของข้าพเจ้า ท่านเห็นเองแล้ว ขอท่านอย่าได้ทำบาปด้วยปาก อย่าให้หน้าสุกรเกิดมีแก่ท่านเลย.
ข้าแต่ท่านพระนารทะผู้เจริญ เพราะเหตุที่ร่างกายของข้าพเจ้านี้ ตั้งแต่คอลงไปถึงกายท่อนล่างมีทรวดทรงเหมือนมนุษย์ กายท่อนบนมีทรวดทรงเหมือนสุกรที่ท่านเห็นประจักษ์อยู่นั่นแหละ. เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจะขอกล่าวเตือนท่าน. เพื่อจะเลี่ยงคำถามว่า เธอกล่าวอย่างไร? เปรตจึงกล่าวว่า ขอท่านอย่าได้ทำบาปด้วยปาก อย่าให้หน้าสุกรเกิดมีแก่ท่านเลย.
ลำดับนั้น ท่านพระนารทะเที่ยวบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ กลับจากบิณฑบาตภายหลังอาหาร กราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระศาสดาผู้ประทับนั่งท่ามกลางบริษัท ๔.
พระศาสดาตรัสว่า นารทะเมื่อก่อนแล เราได้เคยเห็นสัตว์นั้นแล้ว เมื่อจะทรงประกาศโทษอันต่ำทรามโดยอาการเป็นอเนกซึ่งอาศัยวจีทุจริตและอานิสงส์อันเกี่ยวด้วยวจีสุจริต จึงทรงแสดงธรรม.
เทศนานั้นได้มีประโยชน์แก่บริษัทผู้ถึงพร้อมแล้วแล.
จบอรรถกถาสูกรเปตวัตถุที่ ๒
-----------------------------------------------------