เคยไหมที่รู้สึกว่าข่าวหรือโฆษณาที่เห็นซ้ำๆ นั้นอยู่กับเรามานานแสนนาน? งานวิจัยชิ้นใหม่ชี้ว่านี่ไม่ใช่แค่ความรู้สึก แต่เป็น ‘ภาพลวงตา’ ที่ทรงพลังซึ่งสมองสร้างขึ้นมาหลอกเราเอง โดยค้นพบว่ายิ่งเหตุการณ์ถูกย้ำบ่อยเท่าไหร่ เราจะยิ่งรู้สึกว่าจุดเริ่มต้นของมันเกิดขึ้นนานกว่าความเป็นจริง ปรากฏการณ์นี้ซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Psychological Science อาจเปลี่ยนวิธีที่เรามองความทรงจำส่วนตัว เหตุการณ์ข่าวสาร ไปจนถึงประสบการณ์ในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในสังคมไทยที่คุ้นเคยกับการนำเสนอซ้ำๆ ทั้งในสื่อและการศึกษา
ซ้ำบ่อยจนคิดว่านาน: ภาพลวงตาที่คุ้นเคยในชีวิตไทย
ไม่ว่าจะเป็นพาดหัวข่าว โฆษณา หรือบทเรียนที่ได้ยินซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลายคนคงรู้สึกคุ้นๆ ว่าเรื่องราวเหล่านี้ฝังอยู่ในความทรงจำมานานกว่าที่ปฏิทินบอก แต่งานวิจัยล่าสุดโดยนักวิทยาศาสตร์ด้านการรับรู้จากสหรัฐฯ ยืนยันว่านี่ไม่ใช่แค่ความรู้สึกส่วนตัว แต่เป็นภาพลวงตาที่วัดผลได้จริงในสมอง เรียกว่า ‘ผลกระทบจากการทำซ้ำเชิงเวลา’ (temporal-repetition effect) ซึ่งทำให้เรารู้สึกว่าเหตุการณ์ต่างๆ เก่ากว่าความเป็นจริงถึง 25% ที่น่าสนใจคือ ข้อค้นพบนี้ขัดแย้งกับความเชื่อทางจิตวิทยากระแสหลักที่ว่า ยิ่งความจำชัดเจนจากการถูกย้ำ เราจะยิ่งรู้สึกว่ามันเพิ่งเกิดขึ้น
วิจัยย้ำแล้วซ้ำอีก ความรู้สึกเวลาก็ห่างขึ้นเรื่อยๆ
ทีมวิจัยได้ทำการทดลองถึง 6 ชุดกับผู้เข้าร่วมหลายร้อยคน โดยให้ดูชุดภาพที่มีทั้งภาพที่ปรากฏครั้งเดียวและภาพที่ปรากฏซ้ำ จากนั้นจึงถามว่าภาพแต่ละภาพปรากฏขึ้นครั้งแรกเมื่อใด ผลลัพธ์ที่ได้นั้นชัดเจน ผู้เข้าร่วมมักจะผลักความทรงจำเกี่ยวกับภาพที่เห็นซ้ำๆ ให้ไกลออกไปในอดีตมากกว่าภาพที่เห็นเพียงครั้งเดียว ทั้งที่จริงแล้วเกิดขึ้นในกรอบเวลาเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้น ยิ่งภาพถูกฉายซ้ำมากเท่าไหร่ ความรู้สึกว่าเหตุการณ์ครั้งแรกเกิดขึ้นนานแล้วก็ยิ่งเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เช่น ภาพที่ถูกฉายซ้ำ 5 ครั้ง จะทำให้ผู้เข้าร่วมรู้สึกว่ามันเก่ากว่าภาพที่เห็นครั้งเดียวอย่างชัดเจน (อ่านเพิ่มเติมได้ที่ PsyPost)
ความน่าสนใจอยู่ที่ภาพลวงตานี้เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ ผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่ไม่รู้ตัวว่าการเห็นภาพซ้ำๆ มีผลต่อการตัดสินใจเรื่องเวลาของตนเอง แม้จะถูกเตือนล่วงหน้าให้พยายามจดจ่อกับเวลาที่ภาพปรากฏครั้งแรกก็ตาม และไม่ว่าจะมีการเว้นช่วงพักระหว่างการดูภาพหรือไม่ ผลลัพธ์ก็ยังคงออกมาเหมือนเดิม
แค่ถามว่าอะไรมาก่อน ผู้คนก็มักตอบผิด
ในการทดลองอีกรูปแบบหนึ่ง ทีมวิจัยให้ผู้เข้าร่วมดูภาพเพียง 2 ภาพ โดยภาพหนึ่งเป็นภาพที่เคยเห็นซ้ำมาก่อน และอีกภาพเป็นภาพใหม่ แล้วถามง่ายๆ ว่าภาพไหนปรากฏขึ้นก่อนกัน น่าทึ่งที่เกือบ 80% ของผู้เข้าร่วมตอบผิด โดยเลือกภาพที่เห็นซ้ำว่ามาก่อน ทั้งที่ความจริงแล้วมันปรากฏทีหลัง ที่สำคัญ ภาพลวงตานี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในระยะสั้นๆ แต่ยังคงอยู่ข้ามวัน ซึ่งหมายความว่ามันอาจส่งผลต่อการระลึกถึงข่าวสาร กิจวัตรประจำวัน หรือบทเรียนต่างๆ แม้เวลาจะผ่านไปหลายสัปดาห์แล้วก็ตาม
ทำไมสมองเราจึงจดจำผิดไปแบบนี้
แล้วทำไมสมองถึงเล่นตลกกับเราแบบนี้? นักวิจัยอธิบายว่า ทุกครั้งที่ข้อมูลถูกย้ำ สมองจะถูกกระตุ้นให้ระลึกถึงเหตุการณ์ครั้งแรกซ้ำๆ กระบวนการนี้เองที่ทำให้เรารู้สึกว่าจุดเริ่มต้นนั้นอยู่ไกลออกไปในอดีต นอกจากนี้ สมองอาจไม่ได้บันทึกเวลาเป็นตัวเลขตรงๆ แต่ใช้วิธีประเมินจากความคุ้นเคยหรือความถี่ที่พบเจอ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่เนื้อหาสำคัญ วลีฮิต หรือข่าวสารที่ภาครัฐและสื่อไทยนำเสนออย่างต่อเนื่อง อาจทำให้เรารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องเก่า ทั้งที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน
ทีมวิจัยสรุปไว้อย่างชัดเจนว่า “การรับรู้เวลาของเรานั้นเป็นสิ่งที่สร้างขึ้น ความรู้สึกว่าสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นเมื่อใดสามารถบิดเบือนได้ง่าย และบ่อยครั้งก็มาจากเหตุผลง่ายๆ อย่างการเจอข้อมูลซ้ำๆ” แนวคิดนี้ท้าทายทฤษฎีจิตวิทยาเดิมๆ ที่เชื่อว่าความทรงจำที่ชัดเจนจะทำให้เรารู้สึกว่าเหตุการณ์นั้นเพิ่งเกิดขึ้น ไม่ใช่เก่ากว่าเดิม
ผลสะท้อนกับสังคมไทย: ทำไมความจำผิดเพี้ยนจึงสำคัญ
แม้การทดลองจะทำในสหรัฐอเมริกา แต่ข้อค้นพบที่ว่า ‘การย้ำคิดย้ำทำบิดเบือนปฏิทินในสมอง’ นั้นมีนัยสำคัญอย่างยิ่งต่อสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นระบบการศึกษาที่เน้นการท่องจำบทเรียนเดิมๆ ข่าวที่ถูกนำเสนอซ้ำ หรือแคมเปญการตลาดในชีวิตประจำวัน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การรณรงค์เรื่องโรคไข้เลือดออกหรือโควิด-19 ที่ถูกสื่อสารซ้ำๆ ผ่านหลายช่องทาง อาจทำให้เรารู้สึกว่าการระบาดครั้งแรกนั้นเกิดขึ้นนานกว่าความเป็นจริง ซึ่งอาจส่งผลต่อระดับความตื่นตัวและการรับรู้ความเสี่ยงในระยะยาว
สังคมไทยให้ความสำคัญกับการท่องจำมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่การสวดมนต์ในวัดไปจนถึงสโลแกนรณรงค์ต่างๆ ครูจากโรงเรียนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ให้ความเห็นว่า นักเรียนมักจะจำเนื้อหาได้แม่นยำแต่กลับสับสนเรื่องลำดับเวลา “เราเน้นย้ำบทเรียนเดิมๆ ก่อนสอบทุกครั้ง เด็กหลายคนเลยรู้สึกว่าเรื่องนี้เรียนมานานมากแล้ว ทั้งที่เพิ่งเรียนไปเทอมก่อน งานวิจัยชิ้นนี้อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี”
สิ่งที่ควรคำนึงถึงต่อจากนี้
การค้นพบนี้ยังนำไปสู่คำถามที่น่าขบคิดอีกมากมาย เช่น ภาพลวงตาแห่งเวลานี้จะส่งผลรุนแรงขึ้นหรือไม่กับเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนอารมณ์อย่างภัยพิบัติหรือความวุ่นวายทางการเมือง และจะเกิดผลเช่นเดียวกันในกลุ่มเด็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีปัญหาด้านความจำหรือไม่ ซึ่งเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับประเทศไทยที่กำลังก้าวสู่สังคมสูงวัย นักวิจัยจึงเสนอให้มีการศึกษาเพิ่มเติมในบริบททางวัฒนธรรมและช่วงวัยที่แตกต่างกัน รวมถึงศึกษาความทรงจำประเภทที่เชื่อมโยงกับอารมณ์และสังคมให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
บทสรุปสำคัญสำหรับเราทุกคนก็คือ การรับรู้เวลาไม่ใช่สิ่งที่เที่ยงตรงเสมอไป แต่อาจถูกบิดเบือนได้ง่ายจากการนำเสนอข้อมูลซ้ำๆ ไม่ว่าจะในแวดวงการศึกษา การตลาด หรือการสร้างความทรงจำร่วมของสังคม ดังนั้น การระบุวันเวลาที่ชัดเจนควบคู่กับข้อมูลสำคัญ การจดบันทึกส่วนตัว หรือการใช้เทคโนโลยีช่วยเตือนความจำ อาจเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เรารับมือกับ ‘จุดบอด’ ทางการรับรู้นี้ได้
ท้ายที่สุด คำถามสำคัญที่ทิ้งไว้ให้เราขบคิดคือ ยังมีอะไรอีกบ้างที่ส่งอิทธิพลต่อการเรียงร้อยเส้นเวลาในความทรงจำของเรา การทำความเข้าใจภาพลวงตาแห่งเวลานี้ ไม่เพียงช่วยให้เราเท่าทันและส่งต่อข้อมูลได้แม่นยำขึ้น แต่ยังเป็นบทเรียนสำคัญในการใช้ชีวิตท่ามกลางยุคสมัยที่ข้อมูลข่าวสารถูกย้ำเตือนอยู่ตลอดเวลา
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ PsyPost และวารสาร Psychological Science