GotoKnow

แค่เสียงไอก็ทำเกรดร่วง? งานวิจัยใหม่ชี้ สัญญาณป่วยในห้องเรียนกระทบสมาธินักเรียนกว่าที่คิด

ทีมข่าวสาระความรู้
เขียนเมื่อ 6 กรกฎาคม 2568 02:45 น. ()

ผลการศึกษาทางจิตวิทยาชิ้นใหม่เผยว่า เสียงธรรมดาๆ ที่เราได้ยินในชีวิตประจำวันอย่างเสียงไอหรือเสียงสูดน้ำมูก อาจส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้ของนักเรียนมากกว่าที่เคยคาดการณ์กันไว้ เสียงเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นสิ่งรบกวนสมาธิแบบเงียบๆ และนำไปสู่ผลการเรียนที่ลดต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญ งานวิจัยซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Evolutionary Psychological Science และรายงานโดย PsyPost พบว่า เมื่อนักเรียนต้องเรียนรู้เนื้อหาใหม่ๆ พร้อมกับฟังเสียงที่เกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วย พวกเขาจะทำคะแนนสอบได้น้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ผลลัพธ์นี้นำไปสู่คำถามที่น่าสนใจว่า บรรยากาศในห้องเรียนและสภาพแวดล้อมที่แฝงไปด้วยสัญญาณของโรคภัยไข้เจ็บนั้น ส่งผลต่อกลไกทางจิตใจของมนุษย์อย่างไร (psypost.org)

สำหรับบริบทของไทย เรื่องนี้ถือว่าใกล้ตัวนักเรียน ครู และผู้กำหนดนโยบายการศึกษาอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในโรงเรียนที่มีจำนวนนักเรียนต่อห้องค่อนข้างหนาแน่น ซึ่งเป็นแหล่งรวมของสิ่งรบกวนสมาธิอยู่แล้ว ประกอบกับคนไทยมีความตื่นตัวด้านสุขภาพสูงขึ้นอย่างมากหลังการระบาดของโควิด-19 ที่เปลี่ยนมุมมองของผู้คนต่อความเสี่ยงของโรคในที่สาธารณะไปโดยสิ้นเชิง งานวิจัยชิ้นนี้จึงเป็นข้อมูลสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่า แม้แต่สัญญาณเตือนเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บ ก็อาจส่งผลกระทบต่อความสำเร็จในการเรียนรู้ได้

ทีมวิจัยด้านจิตวิทยาจากสหรัฐอเมริกาได้ทำการทดลองโดยแบ่งนักศึกษาระดับปริญญาตรี 89 คน ซึ่งไม่เคยมีความรู้ด้านสถิติมาก่อน ออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรกเรียนรู้บทเรียนในห้องที่เงียบสนิท กลุ่มที่สองเรียนรู้โดยมีเสียงรบกวนทั่วไปเป็นพื้นหลัง เช่น เสียงกุญแจกระทบกันหรือเสียงรูดซิป และกลุ่มสุดท้ายเรียนรู้ขณะฟังเสียงไอและสูดน้ำมูก โดยนักเรียนทั้งหมดจะได้ชมวิดีโอบรรยายสั้นๆ เกี่ยวกับเนื้อหาทางสถิติ จากนั้นให้ทำกิจกรรมอื่นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ก่อนจะทำแบบทดสอบเพื่อวัดความเข้าใจ เสียงไอและสูดน้ำมูกที่ใช้นั้นถูกบันทึกมาจากนักวิจัยคนหนึ่งที่ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์บีจริงๆ โดยจะเปิดเสียงที่ระดับความดัง 70 เดซิเบล ทุกๆ 15 วินาที เพื่อสร้างบรรยากาศที่สมจริงแต่ปราศจากความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ

ผลปรากฏว่า กลุ่มที่ได้ยินเสียงไอและสูดน้ำมูกทำคะแนนสอบได้น้อยกว่าอีกสองกลุ่มอย่างชัดเจน โดยทำข้อสอบถูกเฉลี่ยประมาณ 10 ข้อจากทั้งหมด 20 ข้อ ในขณะที่กลุ่มควบคุมซึ่งเรียนในห้องที่เงียบสงบทำคะแนนได้เกือบ 14 ข้อ ซึ่งแตกต่างกันถึง 17% ส่วนกลุ่มที่ได้ยินเสียงรบกวนทั่วไปทำคะแนนเฉลี่ยได้ประมาณ 12 ข้อ ซึ่งในทางสถิติแล้วไม่แตกต่างจากกลุ่มที่เรียนในความเงียบมากนัก ข้อสรุปที่ได้จึงชัดเจนว่า ไม่ใช่แค่เสียงรบกวนใดๆ ก็ตามที่เป็นปัญหา แต่เป็นเสียงที่เกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วยโดยตรงต่างหากที่ส่งผลกระทบมากกว่า

นักวิจัยอธิบายปรากฏการณ์นี้ว่าเกิดจากกลไกที่เรียกว่า “ระบบภูมิคุ้มกันเชิงพฤติกรรม” (behavioral immune system) ซึ่งเป็นระบบป้องกันทางจิตใจที่ช่วยให้มนุษย์สังเกตและหลีกเลี่ยงสัญญาณของโรคภัยต่างๆ แม้โดยปกติเราอาจจะแค่รู้สึกรังเกียจหรืออยากถอยห่าง แต่การวิจัยก่อนหน้านี้ชี้ว่า ระบบนี้ส่งผลกระทบต่อการรับรู้ ความจำ และสมาธิของเราในระดับจิตใต้สำนึก ทุกครั้งที่สมองได้รับสัญญาณว่าอาจมีคนป่วยอยู่ใกล้ๆ เช่น ได้ยินเสียงไอหรือจาม แม้จะไม่มีอันตรายจริง แต่จิตใจของเราก็จะถูกกระตุ้นให้ตื่นตัวเป็นพิเศษ ผู้นำทีมวิจัยกล่าวว่า “ข้อมูลของเราชี้ว่ามนุษย์มีแนวโน้มที่จะให้ความสนใจกับสัญญาณของเชื้อโรคเป็นพิเศษเพื่อความปลอดภัย แต่เนื่องจากทรัพยากรด้านความสนใจของเรามีจำกัด เมื่อเราต้องแบ่งสมาธิไปให้กับเรื่องเหล่านี้ ก็อาจทำให้ความสนใจในบทเรียนลดลง และส่งผลต่อคะแนนสอบในที่สุด”

เพื่อให้แน่ใจว่าผลลัพธ์ที่ได้ไม่ได้เกิดจากเสียงที่เกี่ยวกับโรคภัยนั้นดังหรือน่ารำคาญกว่าเสียงทั่วไป ทีมวิจัยจึงให้ผู้เข้าร่วมการทดลองประเมินระดับความดังและความน่ารำคาญของเสียงแต่ละประเภท ซึ่งผลปรากฏว่าคะแนนการรับรู้แทบไม่แตกต่างกันเลย สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่า แม้ผู้เรียนอาจไม่รู้สึกตัวว่าเสียงไอหรือสูดน้ำมูกกำลังรบกวนสมาธิ แต่สมองของพวกเขาก็กำลังถูกเบี่ยงเบนความสนใจไปโดยไม่รู้ตัว

ผลการศึกษานี้ยังสอดคล้องกับทฤษฎีภาระทางการรับรู้ (cognitive load theory) ที่อธิบายว่าสมองของมนุษย์มีความสามารถในการประมวลผลข้อมูลที่จำกัด เมื่อสมาธิส่วนหนึ่งต้องถูกแบ่งไปใช้ในการเฝ้าระวังสัญญาณของโรคโดยไม่รู้ตัว ก็จะทำให้ทรัพยากรที่เหลือสำหรับการเรียนรู้ลดน้อยลง หากมองย้อนไปในอดีต มนุษย์ที่สามารถตอบสนองต่อสัญญาณความเจ็บป่วยรอบตัวได้อย่างรวดเร็วย่อมมีโอกาสรอดชีวิตสูงกว่า แต่ในยุคปัจจุบัน กลไกการป้องกันตัวนี้กลับกลายเป็นอุปสรรคที่บั่นทอนประสิทธิภาพการเรียนรู้หรือการทำงานโดยที่เราไม่ทันได้สังเกต

ในบริบทของประเทศไทย ซึ่งมีสภาพห้องเรียนที่หนาแน่นและระบบปรับอากาศที่แตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ ผลกระทบจากเสียงเหล่านี้จึงเป็นเรื่องที่น่ากังวล โดยเฉพาะในช่วงฤดูที่ไข้หวัดใหญ่หรือโรคทางเดินหายใจระบาด ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะหลีกเลี่ยงเสียงเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนในชนบทที่เปิดหน้าต่างโล่งและเรียนรวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ หรือโรงเรียนในเมืองที่มีจำนวนนักเรียนคับคั่ง โอกาสที่จะได้ยินเสียงไอหรือจามนั้นแทบจะหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย และยิ่งในห้องเรียนที่อากาศถ่ายเทไม่ดี ก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงที่จะถูกรบกวนจากเสียงเหล่านี้มากขึ้นไปอีก

ที่ผ่านมา วัฒนธรรมในห้องเรียนของไทยก็ไม่ต่างจากที่อื่นทั่วโลก คือครูและนักเรียนมักจะพยายามฝืนอาการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ เพื่อมาเรียนหรือมาสอน เพราะถือเป็นความรับผิดชอบและไม่อยากรบกวนผู้อื่น แม้ในช่วงการระบาดของโควิด-19 การสวมหน้ากากและมาตรการด้านสุขอนามัยจะช่วยลดเสียงเหล่านี้ลงไปได้บ้าง แต่เมื่อวิถีชีวิตกลับสู่ภาวะปกติ เสียงเหล่านี้ก็กลับมาเป็นส่วนหนึ่งของบรรยากาศในห้องเรียนอีกครั้ง

นอกเหนือจากผลกระทบต่อคะแนนสอบโดยตรง งานวิจัยนี้ยังอาจเปลี่ยนมุมมองของผู้ปกครองและครูไทยเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพในโรงเรียน แม้มาตรการที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เช่น การรณรงค์ให้ล้างมือและสวมหน้ากากอนามัยเมื่อมีโรคระบาด จะช่วยลดการแพร่เชื้อได้ดี แต่ในอนาคต เราอาจต้องคำนึงถึง “การจัดการเสียง” ในห้องเรียนด้วย ไม่ว่าจะเป็นการจัดพื้นที่สำหรับนักเรียนที่ป่วย การส่งเสริมให้นักเรียนกล้าที่จะหยุดเรียนเมื่อไม่สบาย การปรับปรุงระบบระบายอากาศ หรือแม้กระทั่งการทดลองใช้เครื่องกำเนิดเสียงสีขาว (white noise) เพื่อกลบเสียงรบกวนที่อาจส่งผลกระทบโดยไม่ตั้งใจ

อย่างไรก็ตาม ทีมวิจัยยอมรับว่าการทดลองนี้มีข้อจำกัดอยู่บ้าง เช่น การศึกษาทำขึ้นในสภาพแวดล้อมที่ควบคุมอย่างเข้มงวด โดยมีผู้เข้าร่วมทีละคน ไม่ใช่ในห้องเรียนจริงที่มีนักเรียนจำนวนมาก นักวิจัยหลักท่านหนึ่งตั้งข้อสังเกตว่า “เราคาดว่าผลกระทบนี้อาจจะรุนแรงขึ้นในห้องเรียนจริง แต่รูปแบบการทดลองของเรายังไม่สามารถยืนยันเรื่องนี้ได้” โดยทีมวิจัยกำลังวางแผนที่จะศึกษาเพิ่มเติมในสภาพแวดล้อมจริง ซึ่งจะต้องพิจารณาปัจจัยที่ซับซ้อนขึ้น เช่น ระดับภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของนักเรียนและปฏิสัมพันธ์ทางสังคมในห้อง

ในเชิงนโยบายและการบริหารโรงเรียนไทย คำถามสำคัญที่ตามมาคือ เราจะปรับปรุงการจัดสรรพื้นที่ ระบบหมุนเวียนอากาศ และมาตรการคัดกรองสุขภาพให้ดีขึ้นได้อย่างไร เพื่อลดทั้งการแพร่กระจายของเชื้อโรคและลดเสียงรบกวนที่บั่นทอนสมาธิไปพร้อมกัน เทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น เซ็นเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศ หรือการออกแบบทางวิศวกรรมเพื่อปรับปรุงคุณภาพเสียงในห้องเรียน อาจกลายเป็นทางเลือกที่สำคัญเพื่อปกป้องผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนไทย ในขณะที่กระทรวงศึกษาธิการยังคงส่งเสริมการเรียนรู้แบบออนไลน์และแบบผสมผสาน ประเด็นเรื่องเสียงรบกวนภายในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเสียงจากคนในครอบครัวที่ป่วย หรือเสียงรบกวนทั่วไป ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ควรให้ความสำคัญ เนื่องจากครอบครัวไทยจำนวนมากอาศัยอยู่ร่วมกันหลายรุ่น ทำให้การจัดการสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบทำได้ยาก

สิ่งที่ครูและผู้บริหารสถานศึกษาควรตระหนักในตอนนี้คือ แม้แต่ “เสียงธรรมดา” อย่างการไอหรือสูดน้ำมูก ก็อาจกำลังบั่นทอนกระบวนการเรียนรู้ของนักเรียนอย่างเงียบๆ โดยเฉพาะในช่วงเวลาสำคัญที่นักเรียนต้องเตรียมตัวสอบแข่งขันในระดับต่างๆ ผู้ปกครองสามารถช่วยได้ด้วยการให้บุตรหลานที่ป่วยได้หยุดพักที่บ้านเมื่อเป็นไปได้ ส่วนครูก็สามารถช่วยสร้างวัฒนธรรมในห้องเรียนที่เปิดกว้างและสนับสนุนให้นักเรียนสวมหน้ากากหรือขออนุญาตออกไปพักข้างนอกได้เมื่อรู้สึกไม่สบาย

คนไทยมีวัฒนธรรมของการใส่ใจดูแลซึ่งกันและกันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว การหันมาใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อผู้อื่นในพื้นที่แห่งการเรียนรู้ร่วมกัน ก็ถือเป็นการสร้างสังคมแห่งความเอื้ออาทรอีกรูปแบบหนึ่ง หากเราตระหนักถึงปัญหานี้มากขึ้นและปรับเปลี่ยนรายละเอียดเล็กน้อยในการบริหารจัดการด้านสุขภาพหรือการออกแบบห้องเรียน ก็อาจช่วยให้มั่นใจได้ว่าสิ่งที่นักเรียนได้รับกลับไปจากโรงเรียนคือความรู้ ไม่ใช่เชื้อโรคหรือสิ่งรบกวนสมาธิ

อ่านต้นฉบับงานวิจัยฉบับเต็มได้ที่ Evolutionary Psychological Science (อ่านเพิ่มเติมที่นี่)


ความเห็น

ยังไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท
ภาษาปิยะธอน (Piyathon)
เขียนโค้ดไพทอนได้ด้วยภาษาไทย