สสส. ภายใต้ภาวะผู้นำของผู้จัดการ นพ. พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ต้องการใช้พลังของ DE – Developmental Evaluation หนุนประสิทธิผล (effectiveness) และประสิทธิภาพ (efficiency) ของ สสส. ผ่านการให้ทุนสนับสนุนกิจกรรมพัฒนาการเสร้างเสริมสุขภาวะ และการป้องกันโรค ในหลากหลายรูปแบบ หลากหลายมิติ
ต่อจากตอนที่แล้ว (๑)
วันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๖๘ เป็นวันนัดประชุมคณะทำงานหลักสูตร DE ครั้งที่ 2 ที่คณะทำงานสถาบันการเรียนรู้การสร้างเสริมสุขภาพ ของ สสส. เตรียมมาอย่างดีเยี่ยม
จับความได้ว่า สสส. มองการริเริ่มนำ DE ไปใช้ประโยชน์ในลักษณะ sandbox คือเป็นโครงการนำร่อง มีการยกเว้นข้อบังคับหรือกติกาในการทำงานบางอย่าง ผมอ่านเอกสารแล้วมองว่า สสส. เตรียมอบรมทีมงาน ๒ กลุ่มที่สนใจ (สมัครใจ) ให้เข้าใจ DE แล้วทดลองนำไปใช้ เพื่อเรียนรู้ ทำความรู้จัก DE จากประสบการณ์ตรง และทำความเข้าใจว่า ควรปรับใช้ในสถานการณ์ของ สสส. อย่างไร สสส. ต้องปรับตัวอย่างไร หากจะใช้ DE ให้เกิดพลัง อย่างทั่วถึงทั้งองค์กร
คือผมมองว่าการที่ผู้จัดการ สสส. นพ. พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ริเริ่มนำ DE ไปปรับใช้ใน สสส. ครั้งนี้ มีเป้าหมายลึกๆ ในระดับ transform วิธีทำงานใน สสส. และภาคีเครือข่าย เพื่อให้มีข้อมูลสื่อสารกับสังคมว่า เงินภาษีบาปร้อยละ ๒ ที่นำมาใช้หนุนกิจกรรมสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคของประเทศนั้น ก่อผลกระทบอย่างแท้จริงเพียงไร
เป็นการทดลองบูรณาการ DE เข้ากับการจัดการโครงการหรือแผนงานของ สสส. ที่น่าสนใจยิ่ง
ความท้าทายคือ น่าจะมีการทำความเข้าใจว่า การทำงานแนวใหม่นี้ มีประเด็นท้าทายที่จะต้องฟันฝ่าอย่างไรบ้าง คือต้องไม่ละเลยการทำความเข้าใจจิตวิทยาว่าด้วยการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ (change management) ที่มีมิติของการต่อต้านการเปลี่ยนแปลง (resistance to change) อยู่ด้วยเป็นธรรมดา
ผมบอกตัวเองว่า ระบบติดตามประเมินผลเดิมที่ สสส. ใช้อยู่ ใช้กระบวนทัศน์แบบ Fixed Mindset คือมองผลลัพธ์ของแต่ละโครงการตามที่ผู้ดำเนินการเสนอ ติดตามประเมินว่าได้ผลจริงตามนั้นหรือไม่ ได้เพียงไร เป็นการประเมินผลลัพธ์ (summative evaluation)
แต่ DE ที่เรากำลังนำเข้าไปทดลองใช้นั้น ใช้ Growth Mindset คือมองว่าเราช่วยกันเรียนรู้และปรับวิธีทำงาน และในบางกรณีปรับเป้าหมายของโครงการให้ส่งมอบผลลัพธ์และผลกระทบมากกว่าที่วางแผนไว้เดิมได้ โดยใช้ทรัพยากรเท่าเดิม หรือมากกว่าเดิมเพียงเล็กน้อย หรือในทางกลับกัน อาจค้นพบวิธีทำงานที่ได้ผลตามที่ระบุในโครงการ แต่ใช้ทรัพยากรลดลงอย่างชัดเจน คือ DE เป็น formative assessment หรือจริงๆ แล้วเป็น Learning & Development
สะท้อนคิดเรื่องข้างบนแล้ว อดย้อนคิดกลับไปสมัย ๒๐ ปีก่อน ตอนผมทำหน้าที่ ผอ. สกว. ไม่ได้ ว่าเราใช้ DE แบบบ้านๆ หรือแบบสามัญสำนึกโดยเราไม่รู้ตัว คือ สกว. สมัยนั้น มีกลไกให้ทีมวิจัยขนาดใหญ่ มาเสนอความก้าวหน้า (และปัญหา) โดยมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิมาฟัง ตั้งคำถาม และให้ข้อเสนอแนะ ทั้งแก่ทีมวิจัย และแก่ทีม สกว. ที่ส่งผลให้ในบางกรณีมีการปรับโจทย์วิจัย และสกว. ให้ทุนวิจัยเพิ่มขึ้น ยังมีคนมาเอ่ยเรื่องทำนองนี้กับผมในปัจจุบัน สมัยนี้ทำไม่ได้แล้ว เพราะในหน่วยงานภาครัฐในปัจจุบัน ไม่ยอมรับการบริหารงานแบบ strong executive, high accountability อย่างที่ผมเคยได้รับเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๖ - ๒๕๔๔
หาก สสส. จะใช้ DE แบบเต็มที่สุดกู่ บอร์ดของ สสส. ต้องเอาด้วยทั้งสองบอร์ด คือบอร์ดนโยบาย และบอร์ดติดตามและประเมินผล โดยทีมนำร่องที่เราจะประชุมกันในวันนี้ต้องค่อยๆ สื่อสารนำเสนอผลของ DE Sandbox ว่าส่งมอบ ROI สูงกว่าเดิมอย่างไร โดย สสส. ต้องเตรียมวิธีการประเมิน ROI แบบง่ายๆ คร่าวๆ เอาไว้ใช้
ข้างบนนั้น เป็นการสะท้อนคิดแบบก่อนประชุม ที่อาจเรียกว่า BAR – Before Action Review
ในการประชุมเป็นการขอคำแนะนำวิธีใช้ DE แนว สสส. ที่ทดลองพัฒนา
- “ทีมพี่เลี้ยง DE” (DE Facilitator) จากผู้บริหารและนักวิชาการของ สสส. เอง
- ทีมดำเนินการ DE ประกอบด้วยผู้รับผิดชอบโครงการ ผู้ประเมินผลของแผน ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับแผน และนักวิชาการ สสส. รวมทีมละ 3 - 4 คน
เริ่มจากหลักสูตรฝึกอบรม ๒๐ - ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๘ เพื่อทำความรู้จัก DE และเรียนรู้วิธีประยุกต์ใช้ DE แล้วนำไปทดลองใช้ เดือนสิงหาคมโครงการนำร่องทดลองใช้ DE จะนำประสบการณ์การทดลองใช้ DE มาเสนอ
คณะกรรมการให้คำแนะนำจากประสบการณ์การประเมิน และการใช้ DE ตามรูปแบบของตน ที่ต่างจากโมเดลที่ สสส. คิดขึ้นใช้ ผมคาดว่า ในปี ๒๕๖๘ นี้จะเกิดการเรียนรู้วิธีประยุกต์ใช้ DE จากประสบการณ์ของ สสส. อย่างมาก
วิจารณ์ พานิช
๔ พ.ค. ๖๘