การประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ HITAP เช้าวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๖๘ ช่วยให้ผมตระหนักใน “การผุดบังเกิด” (emergence) ของสถาบันวิชาการแนวใหม่ ที่อยู่ในภาคประชาสังคม คือภายใต้มูลนิธิ ที่มีคุณค่าต่อสังคมไทย และต่อโลก อย่างประมาณค่ามิได้ ทำให้ผมมีความสุข ที่ได้มีส่วนเล็กๆ ในกระบวนการผุดบังเกิดนี้ ที่นำโดย นพ. ยศ ตีระวัฒนานนท์ และ รศ. ดร. วรรณฤดี อิสรานุวัฒน์ชัย (ดร. มิ้งค์)
International College of Health Intervention and Technology Assessment คือชื่อที่ผมตั้งให้แก่กิจกรรมของ HITAP ในปัจจุบัน เพราะเมื่อฟังจากรายงานการปฏิบัติงานในช่วงปี ๒๕๖๘ ที่ผ่านมาแล้ว HITAP ได้ทำงานโดยมีเป้าหมายหลักสองด้านคือ สร้างผลงาน (ด้าน HITA) กับสร้างคน ซึ่งก็คือ สร้างนักประเมิน HIT ที่มีค่านิยมทำเพื่อประโยชน์ของสังคม มีความมั่นคงในคุณธรรม (integrity) ในการทำหน้าที่ ที่มีโอกาสแสวงผลประโยชน์ส่วนตนสูง
จากคำแนะนำของคณะกรรมการมูลนิธิในปี ๒๕๖๖ ในปี ๒๕๖๗ HITAP จึงลดเป้าหมายสั่งสมทุน (เงิน) จากการทำงาน มาเน้นการสั่งสมทุนมนุษย์ ด้าน HITA ให้แก่สังคมไทย และโลก จึงมีการรับพนักงานใหม่จำนวนมาก เข้ามาทำงาน ในลักษณะฝึกงานและเรียนรู้ HITA ที่เปี่ยมด้วยความเข้มแข็งทางวิชาการ และความเข้มแข็งทางจริยธรรม ที่ นพ. ยศ และ ดร. มิ้งค์ ทำเป็นตัวอย่าง
มีการจัดการด้านบุคคลอย่างเข้มแข็งในการกลั่นกรองบุคคลที่ทดลองงาน ที่จะรับเข้าเป็นบุคลากรประจำ นำสู่สภาวะที่องค์กรต้องรับมือกับ turn over ของบุคลากรจำนวนมาก ที่เป็นภาระด้านการบริหาร และด้านการเงินเป็นอย่างมาก แต่ก็ส่งผลต่อการสร้างบุคลากรคุณภาพสูง ให้แก่วงการ HITA ของประเทศ และของโลก
ผมตั้งชื่อให้ HITAP เป็น International College เพราะเวลานี้ HITAP มีบรรยากาศของ International Organization คือมีคนคุณภาพสูงจากหลากหลายประเทศ สมัครเข้ามาทำงานที่ HITAP ได้รับการคัดเลือกเข้าทำงาน และผ่านการประเมินในช่วงทดลองงาน มีคนที่อยู่มานานเกิน ๕ ปี และได้รับการมอบความรับผิดชอบ ให้เป็นหัวหน้าหน่วยที่ตั้งใหม่
ในการประชุมวันนี้ ผมได้เห็นคนต่างชาติศักยภาพสูง ที่เพิ่งเข้ามาทำงาน ๓ เดือน นำเสนองานในที่ประชุมอย่างน่าประทับใจ สะท้อนการเป็นสถาบันเรียนรู้จากการปฏิบัติ (Practical หรือ Experiential Learning) - เรียนรู้จากการทำงาน ที่ไม่ใช่แค่เรียนรู้ด้านเทคนิค หรือก้านวิชาการ แต่มีการเรียนรู้ด้านค่านิยม (values) ที่ได้จากการฝังตัวปฏิบัติงานอยู่ในองค์การอุดมคติสูง - อุดมคติเพื่อสังคม กล้าฟันฝ่าผลประโยชน์ส่วนกลุ่ม ส่วนบุคคล รวมทั้งผลประโยชน์ของตนเองที่อาจมีคนเสนอ
ผมตั้งคำถามต่อตนเอง ว่าจะช่วยกันสร้างความยั่งยืนให้แก่องค์กรแบบนี้ได้อย่างไร โดยตระหนักว่า ปัจจัยสำคัญที่สุดคือ ภาวะผู้นำ (leadership) ที่เวลานี้ทำโดย นพ. ยศ ร่วมกัย ดร. มิ้งค์ และตระหนักว่า สิ่งที่เรากำลังทำให้แก่ชาติบ้านเมืองและโลก นี้ เป็น การ “เข็นครกขึ้นภูเขา” หรือการดำเนินการที่ต้านแรงโน้มถ่วงทางสังคมในปัจจุบัน และผมมีประสบการณ์ชีวิตว่า องค์กรที่มีเป้าหมายทำนองนี้ มักจะไม่ยั่งยืน ดังตัวอย่าง สกว. ด้วยปัจจัยด้านความซับซ้อนของมนุษย์และสังคม
บันทึกนี้ มุ่งสื่อสารสังคมว่า สถาบันสร้างคนคุณภาพสูง ไม่จำเป็นต้องจัดตั้งโดยกลไกภาครัฐเสมอไป อาจ “ผุดบังเกิด” (emergence) ขึ้นจากการปฏิบัติงานของหน่วยงานภาคประชาชน หรือภาคประชาสังคม ก็ได้ คำถามคือ เราจะมีกลไดส่งเสริมสถาบันที่ผุดบังเกิด และมีศักยภาพในการทำหน้าที่สร้างเสริมความเข้มแข็งของสังคมได้อย่างไร
ผมมีความเห็นว่า ส่งเสริมได้โดยการสนับสนุนทรัพยากรให้ทำงาน เพื่อพิสูจน์คุณค่าขององค์กร และสนับสนุนโดยการเสนอปัญหาให้ดำเนินการ ไม่ใช่สนับสนุนแบบอุปถัมภ์อุ้มชู เพื่อสร้างความเป็นพวกพ้อง หรือความจงรักภักดี อย่างที่ผู้มีอำนาจในสังคมไทยนิยมทำ
วิจารณ์ พานิช
๑๒ มี.ค. ๖๘