สีลวีมังสชาดก


ว่าด้วย ธรรมที่นำความสุขมาให้

สีลวีมังสชาดก

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]

ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑

๑๐. สีลวีมังสชาดก (จากพระไตรปิฎก ลำดับเรื่องที่ ๓๓๐)

ว่าด้วยการพิจารณาอานิสงส์ของศีล

             (ปุโรหิตโพธิสัตว์ยืนอยู่ในที่ใกล้พระราชา ได้พรรณนาศีลด้วยคาถานี้ว่า)

             [๑๑๗] ได้ยินว่า ศีลเป็นสิ่งดีงาม ศีลเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมในโลกดูเถิด นาคที่มีพิษร้ายแรงยังไม่เบียดเบียนใครๆ เพราะสำนึกอยู่ว่าตนมีศีล

             (พระโพธิสัตว์เห็นโทษของกามแล้ว จึงกล่าวว่า)

             [๑๑๘] ตราบใด เหยี่ยวนั้นยังคาบชิ้นเนื้อใดๆ อยู่ ตราบนั้น เหยี่ยวทั้งหลายในโลกก็พากันรุมจิกตีกัน แต่พวกมันจะไม่เบียดเบียนเหยี่ยวที่ไม่มีความกังวล

             [๑๑๙] คนที่ไม่มีความหวังย่อมหลับสบาย ความหวังที่ได้ผลสมหวังเป็นความสุข นางปิงคลาทำความหวังให้สิ้นแล้วย่อมหลับสบาย

             [๑๒๐] ความสุขอื่นยิ่งกว่าสมาธิไม่มีทั้งในโลกนี้และโลกหน้า คนผู้มีจิตเป็นสมาธิย่อมไม่เบียดเบียนทั้งผู้อื่นและตนเอง

สีลวีมังสชาดกที่ ๑๐ จบ

กุฏิทูสกวรรคที่ ๓ จบ

------------------------

คำอธิบายเพิ่มเติมนำมาจากบางส่วนของอรรถกถา 

สีลวีมังสชาดก

ว่าด้วย ธรรมที่นำความสุขมาให้

               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภพราหมณ์ผู้ทดลองศีล จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
               เรื่องปัจจุบันนิทานแม้ทั้งสองเรื่อง ได้กล่าวไว้แล้วในหนหลังทีเดียว.
               ส่วนในชาดกนี้ พระโพธิสัตว์ได้เป็นปุโรหิตของพระเจ้าพาราณสี เมื่อพระโพธิสัตว์นั้นจะทดลองศีลของตน จึงถือเอากหาปณะจากแผ่นกระดานสำหรับนับเงินไป ๓ วัน ราชบุรุษทั้งหลายจึงแสดงพระโพธิสัตว์นั้นแก่พระราชาว่าเป็นโจร.
               พระโพธิสัตว์นั้นยืนอยู่ในสำนักของพระราชา พรรณนาศีลด้วยคาถาที่ ๑ นี้ว่า :-
               ได้ยินว่า ศีลแลเป็นความงาม ศีลเป็นเยี่ยมในโลก ขอพระองค์จงทอดพระเนตรงูใหญ่ มีพิษร้าย ย่อมไม่เบียดเบียนผู้อื่น ด้วยมารู้สึกตัวว่า เป็นผู้มีศีล.
               แล้วทูลขอให้พระราชาทรงอนุญาตบรรพชาแล้วไปบรรพชา.
               ครั้งนั้น เหยี่ยวเฉี่ยวเอาชิ้นเนื้อในร้านขายเนื้อสัตว์แห่งหนึ่งแล้วบินไปทางอากาศ นกทั้งหลายอื่นจึงล้อมจิกตีมันด้วยเล็บเท้าและจะงอยปากเป็นต้น เหยี่ยวนั้นไม่สามารถอดทนความทุกข์นั้นได้ จึงทิ้งชิ้นเนื้อ นกตัวอื่นก็คาบเอาไป แม้นกตัวนั้น เมื่อถูกเบียดเบียนอย่างนั้นเข้า ก็ทิ้งชิ้นเนื้อนั้น. ทีนั้น นกตัวอื่นๆ ก็คาบเอาไป รวมความว่า นกใดๆ คาบเอาไป นกทั้งหลายก็ติดตามนกนั้นๆ ไป. นกใดๆ ทิ้ง นกนั้นๆ ก็มีความสบาย.
               พระโพธิสัตว์เห็นดังนั้นจึงคิดว่า ขึ้นชื่อว่ากามทั้งหลายนี้เปรียบด้วยชิ้นเนื้อ เมื่อเป็นอย่างนั้น คนที่ยึดไว้เหล่านั้นเท่านั้นจึงเป็นทุกข์ เมื่อสละเสียได้ก็เป็นสุข แล้วกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-
               ชิ้นเนื้อหน่อยหนึ่งยังมีอยู่แก่เหยี่ยวนั้นเพียงใด นกตะกรุมทั้งหลายในโลกก็พากันล้อมจิกอยู่เพียงนั้น หาได้เบียดเบียนนกที่ไม่มีความกังวลไม่.
               คำที่เป็นคาถานั้นมีอธิบายว่า ชิ้นเนื้อหน่อยหนึ่งที่เอาปากคาบอยู่ ได้มีอยู่แก่เหยี่ยวนั้นเพียงใด นกตะกรุมทั้งหลายในโลกนี้ ก็พากันรุมจิกเหยี่ยวนั้นอยู่เพียงนั้น แต่เมื่อมันปล่อยชิ้นเนื้อนั้นเสีย นกที่เหลือก็ย่อมไม่เบียดเบียน นกนั้นผู้ไม่มีความกังวล คือไม่มีปลิโพธเครื่องกังวล.
               พระโพธิสัตว์นั้นออกจากพระนครแล้ว ในตอนเย็นได้นอนอยู่ในเรือนของคนผู้หนึ่ง ในบ้านนั้นในระหว่างทาง. ก็นางทาสีในเรือนนั้นชื่อปิงคลา ได้นัดแนะกับชายผู้หนึ่งว่า พึงมาในเวลาชื่อโน้น นางล้างเท้าของนายทั้งหลายแล้ว เมื่อนายทั้งหลายนอนแล้ว นั่งแลดูการมาของชายผู้นั้นอยู่ที่ธรณีประตู คิดว่าประเดี๋ยวเขาจักมา ประเดี๋ยวเขาจักมา จนเวลาล่วงเลยไปถึงปฐมยามและมัชฌิมยาม.
               ก็ในเวลาใกล้รุ่ง นางหมดหวังว่า เขาคงไม่มาในบัดนี้แน่ จึงนอนหลับไป. พระโพธิสัตว์ได้เห็นเหตุการณ์นี้ จึงคิดว่า ทาสีนี้นั่งอยู่ได้ตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ด้วยความหวังว่า ชายผู้นั้นจักมา รู้ว่าบัดนี้เขาไม่มา เป็นผู้หมดความหวัง ย่อมนอนหลับสบาย ขึ้นชื่อว่าความหวังในกิเลสทั้งหลาย เป็นทุกข์ ความไม่มีความหวังเท่านั้น เป็นสุข
               จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า :-
               ผู้ไม่มีความหวังย่อมหลับเป็นสุข ความหวังมีผลก็เป็นสุข นางปิงคลากระทำความหวัง จนหมดหวังจึงหลับสบาย.
               วันรุ่งขึ้น พระโพธิสัตว์นั้นจากบ้านนั้นเข้าไปยังป่า เห็นดาบสผู้หนึ่งนั่งเข้าฌานอยู่ในป่า จึงคิดว่า ความสุขอันยิ่งกว่าความสุขในฌาน ย่อมไม่มีในโลกนี้และในโลกหน้า
               จึงกล่าวคาถาที่ ๔ ว่า :-
               ทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า ธรรมคือความสุขอื่นจากสมาธิ ย่อมไม่มี ผู้มีจิตตั้งมั่นย่อมไม่เบียดเบียนทั้งคนอื่นและตนเอง.
               พระโพธิสัตว์นั้น ครั้นเข้าป่าแล้วบวชเป็นฤาษี ทำฌานและอภิญญาให้เกิดขึ้น ได้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า.
               พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า
               ดาบสในครั้งนั้น ได้เป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.

               จบ อรรถกถาสีลวีมังสชาดกที่ ๑๐

---------------------

 

หมายเลขบันทึก: 719312เขียนเมื่อ 3 กันยายน 2024 04:50 น. ()แก้ไขเมื่อ 3 กันยายน 2024 04:50 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่าน


ความเห็น

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท