อุรคชาดก


ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราได้ทำให้ชนทั้งสองเหล่านี้สามัคคีกัน มิใช่บัดนี้เท่านั้น แม้เมื่อก่อน เราก็ทำชนเหล่านี้ให้สามัคคีกัน

อุรคชาดก 

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]

ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑

๔. อุรคชาดก (จากพระไตรปิฎก ลำดับเรื่องที่ ๑๕๔)

ว่าด้วยงูมีคุณธรรมสูง

             (พญาครุฑเรียกพระโพธิสัตว์มาประกาศให้ทราบว่า จักจับพญานาควักกละกิน จึงกล่าวว่า)

             [๗] พญานาคผู้ประเสริฐกว่างูทั้งหลายต้องการจะพ้นจากข้าพเจ้าจึงได้แปลงกายเป็นแก้วมณี เข้าไปอยู่ในผ้าเปลือกไม้นี้ ก็ข้าพเจ้าเป็นผู้มีความเคารพยำเกรงเพศอันประเสริฐของท่าน ถึงจะหิวก็ไม่สามารถที่จะจับพญานาคตัวนั้นกินได้

             (พระโพธิสัตว์ดาบสกล่าวชมเชยพญาครุฑว่า)

             [๘] เธอนั้นเป็นผู้เคารพยำเกรงเพศอันประเสริฐ ถึงจะหิวก็ไม่อาจที่จะคร่าพญานาคตัวนั้นมากินได้ ขอเธอนั้นจงเป็นผู้อันพรหมรักษาคุ้มครองแล้ว จงดำรงชีวิตอยู่สิ้นกาลนาน อนึ่ง ภักษาทิพย์จงปรากฏมีแก่เธอ

อุรคชาดกที่ ๔ จบ

------------------------

คำอธิบายเพิ่มเติมนำมาจากบางส่วนของอรรถกถา 

อุรคชาดก

ว่าด้วย งูผู้มีคุณธรรมสูง

               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภการผูกเวรของคนมีเวร ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
               ได้ยินว่า มหาอำมาตย์สองคนเป็นหัวหน้าทหารเป็นเสวกของพระเจ้าโกศล เห็นกันและกันเข้าก็ทะเลาะกัน การจองเวรของเขาทั้งสองเป็นที่รู้กันทั่วนคร พระราชา ญาติและมิตรไม่สามารถจะทำให้เขาทั้งสองสามัคคีกันได้.
               อยู่มาวันหนึ่ง ในเวลาใกล้รุ่งพระศาสดาทรงตรวจดูเผ่าพันธุ์สัตว์ที่ควรแนะนำให้ตรัสรู้ ทรงเห็นอุปนิสัยแห่งโสดาปัตติมรรคของเขาทั้งสอง วันรุ่งขึ้น เสด็จสู่กรุงสาวัตถีเพื่อบิณฑบาตพระองค์เดียวเท่านั้น ประทับยืนที่ประตูเรือนของคนหนึ่ง เขาออกมารับบาตรแล้ว นิมนต์พระศาสดาให้เสด็จเข้าไปภายในเรือนปูอาสนะให้ประทับนั่ง. พระศาสดาประทับนั่งแล้ว ตรัสอานิสงส์แห่งการเจริญเมตตาแก่เขา ทรงทราบว่า มีจิตอ่อนแล้ว จึงทรงประกาศอริยสัจ เมื่อจบอริยสัจ เขาตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล.
               พระศาสดาทรงทราบว่า เขาบรรลุโสดาแล้ว ให้เขาถือบาตร ทรงพาไปประตูเรือนของอีกคนหนึ่ง. อำมาตย์นั้นก็ออกมาถวายบังคมพระศาสดากราบทูลว่า ขอเชิญเสด็จเข้าไปเถิดพระเจ้าข้า. แล้วทูลเสด็จเข้าไปยังเรือน อัญเชิญให้ประทับนั่ง. อำมาตย์ที่ตามเสด็จ ก็ถือบาตรตามเสด็จพระศาสดา เข้าไปพร้อมกับพระศาสดา. พระศาสดาตรัสพรรณนาอานิสงส์เมตตา ๑๑ ประการ ทรงทราบว่า เขามีจิตสมควรแล้ว จึงทรงประกาศสัจธรรม เมื่อจบแล้ว อำมาตย์นั้นก็ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล.
               อำมาตย์ทั้งสองบรรลุโสดาบันแล้ว ก็แสดงโทษขอขมากันและกัน มีความสมัครสมานบันเทิงใจ มีอัธยาศัยร่วมกันด้วยประการฉะนี้. วันนั้นเอง เขาทั้งสองบริโภคร่วมกัน เฉพาะพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
               พระศาสดาเสวยภัตตาหารเสร็จแล้ว ได้เสด็จกลับพระวิหาร. อำมาตย์สองคนนั้นก็ถือดอกไม้ของหอมเครื่องลูบไล้และเนยใส น้ำผึ้ง น้ำอ้อย เป็นต้น ออกไปพร้อมกับพระศาสดา. เมื่อหมู่ภิกษุแสดงวัตรแล้ว พระศาสดาทรงประทานสุคโตวาท แล้วเสด็จเข้าพระคันธกุฎี.
               ในเวลาเย็น ภิกษุทั้งหลายประชุมสนทนากัน ถึงกถาแสดงคุณของพระศาสดา ในธรรมสภาว่า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย พระศาสดาทรงฝึกคนที่ฝึกไม่ได้ พระตถาคตทรงฝึกมหาอำมาตย์ทั้งสองซึ่งวิวาทกันมาช้านาน พระราชาและญาติมิตรเป็นต้น ก็ไม่สามารถจะทำให้สามัคคีกันได้ เพียงวันเดียวเท่านั้น.
               พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร? เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราได้ทำให้ชนทั้งสองเหล่านี้สามัคคีกัน มิใช่บัดนี้เท่านั้น แม้เมื่อก่อน เราก็ทำชนเหล่านี้ให้สามัคคีกัน
               แล้วทรงนำเรื่องในอดีตมา ตรัสว่า
               ในอดีตกาล ครั้งเมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสี เมื่อเขาประกาศมีมหรสพในกรุงพาราณสี ได้มีการประชุมใหญ่. พวกมนุษย์เป็นอันมากและเทวดา นาค ครุฑ เป็นต้น ต่างประชุมกันเพื่อชมมหรสพ.
               ในสถานที่แห่งหนึ่งที่เมืองพาราณสีนั้น พญานาคจำพญาครุฑไม่ได้ จึงพาดมือลงไว้เหนือจะงอยบ่าพญาครุฑ. พญาครุฑนึกในใจว่า ใครเอามือวางบนจะงอยบ่าของเรา เหลียวไปดูรู้ว่า เป็นพญานาค. พญานาคมองดูก็จำได้ว่าเป็นพญาครุฑ จึงหวาดหวั่นต่อมรณภัย ออกจากพระนครหนีไปทางท่าน้ำ. พญาครุฑก็ติดตามไปด้วยคิดว่า จักจับพญานาคนั้นให้ได้.
               ในสมัยนั้น พระโพธิสัตว์เป็นดาบสอาศัยอยู่ ณ บรรณศาลาใกล้ฝั่งแม่น้ำนั้น เพื่อระงับความกระวนกระวายในตอนกลางวัน จึงนุ่งผ้าอุทกสาฎก (ผ้าอาบน้ำ) วางผ้าเปลือกไม้ไว้ที่นอกฝั่ง แล้วลงอาบน้ำ. พญานาคคิดว่า เราจักได้ชีวิตเพราะอาศัยบรรพชิตนี้ จึงแปลงเพศเดิม เนรมิตเพศเป็นก้อนมณี เข้าไปอาศัยอยู่ในผ้าเปลือกไม้. พญาครุฑติดตามไปเห็นพญานาคนั้นเข้าไปอาศัยอยู่ในผ้าเปลือกไม้นั้น ก็ไม่จับต้องผ้าเปลือกไม้เพราะความเคารพ จึงปราศรัยกะพระโพธิสัตว์ว่า ท่านขอรับข้าพเจ้าหิว ท่านจงเอาผ้าเปลือกไม้ของท่านไป ข้าพเจ้าจักกินพญานาคนี้.
               เพื่อประกาศความนี้ จึงกล่าวคาถาแรกว่า :-
               พญานาคผู้ประเสริฐกว่างูทั้งหลาย ต้องการจะพ้นไปจากสำนักของข้าพเจ้า จึงแปลงเพศเป็นก้อนแก้วมณี เข้าไปอยู่ในผ้าเปลือกไม้นี้ ข้าพเจ้าเคารพยำเกรงเพศของพระคุณเจ้า ซึ่งเป็นเพศประเสริฐนัก แม้จะหิวก็ไม่อาจจะจับพญานาคซึ่งเข้าไปอยู่ในผ้าเปลือกไม้นั้น ออกมากินได้.
               พระโพธิสัตว์ ทั้งๆ ที่ยืนอยู่ในน้ำได้สรรเสริญพญาครุฑ แล้วกล่าวคาถาที่สองว่า :-
               ท่านเคารพยำเกรงผู้มีเพศอันประเสริฐ แม้จะหิว ก็ไม่อาจจะจับนาค ซึ่งเข้าไปอยู่ในผ้าเปลือกไม้นั้น ออกมากินได้ ขอท่านจงเป็นผู้อันพรหมคุ้มครองแล้ว ดำรงชีวิตอยู่สิ้นกาลนานเถิด อนึ่ง ขอภักษาหารอันเป็นทิพย์จงปรากฏแก่ท่านเถิด.
               พระโพธิสัตว์ ทั้งๆ ที่ยืนอยู่ในน้ำ กระทำอนุโมทนาแล้ว ขึ้นนุ่งผ้าเปลือกไม้ พาสัตว์ทั้งสองไปอาศรมบท แสดงถึงคุณของการเจริญเมตตา แล้วได้กระทำให้สัตว์ทั้งสองนั้นสามัคคีกัน. ตั้งแต่นั้นมา สัตว์ทั้งสองนั้นก็มีความสมัครสมาน เบิกบานกันอยู่ร่วมกันด้วยความสุข.
               พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ประชุมชาดก.
               พญานาคและพญาครุฑในครั้งนั้น ได้เป็นอำมาตย์ผู้ใหญ่ทั้งสอง ในบัดนี้.
               ส่วนดาบสได้เป็น เราตถาคต นี้แล.

--------------------------------

 

คำสำคัญ (Tags): #ดาบส
หมายเลขบันทึก: 717575เขียนเมื่อ 12 มีนาคม 2024 04:55 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 มีนาคม 2024 04:55 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท