สกุณชาดก


พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ในกาลก่อน แม้สัตว์เดียรัจฉานทั้งหลายอยู่บนยอดไม้ ก็ยังรู้ความสบาย และไม่สบายของตนอย่างนี้ เพราะเหตุไร เธอจึงไม่รู้ ดังนี้

สกุณชาดก 

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]

ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑

๖. สกุณชาดก (จากพระไตรปิฎก ลำดับเรื่องที่ ๓๖)

ว่าด้วยนกโพธิสัตว์

             (นกโพธิสัตว์เห็นกิ่งไม้เสียดสีกันเกิดไฟป่า จึงกล่าวแก่นกยูงว่า)

             [๓๖] นกทั้งหลายอาศัยต้นไม้ใด ต้นไม้นั้นปล่อยไฟออกมา นี่นกทั้งหลาย พวกเธอจงหนีไปยังทิศทั้งหลายเถิด ภัยได้เกิดมีแต่ต้นไม้อันเป็นที่พึ่งของพวกเรา

สกุณชาดกที่ ๖ จบ

------------------

คำอธิบายเพิ่มเติมนำมาจากบางส่วนของอรรถกถา 

เอกกนิบาตชาดก กุลาวกวรรค

๖. สกุณชาดก ว่าด้วยที่พึ่งให้โทษ

               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระวิหารเชตวัน ทรงปรารภภิกษุผู้ถูกไฟไหม้บรรณศาลา จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
               ได้ยินว่า ภิกษุนั้นเรียนพระกรรมฐานในสำนักของพระศาสดา แล้วออกจากพระเชตวันวิหาร เข้าไปอาศัยปัจจันตคามแห่งหนึ่ง ในโกศลชนบท อยู่ในเสนาสนะป่าแห่งหนึ่ง.
               ลำดับนั้น บรรณศาลาของภิกษุนั้นถูกไฟไหม้ ในเดือนแรกนั่นเอง ภิกษุนั้นคิดว่า บรรณศาลาของเราถูกไฟไหม้เสียแล้ว เราจักอยู่ลำบาก จึงบอกแก่คนทั้งหลาย.
               คนทั้งหลายอ้างการงานนั้นๆ อย่างนี้ว่า บัดนี้ นาของพวกเราแห้ง พวกเราระบายนํ้าเข้านาแล้วจักทำให้ เมื่อระบายนํ้าเข้านาแล้วหว่านพืช เมื่อหว่านพืชแล้วทำรั้ว เมื่อทำรั้วแล้วสางพืช เก็บเกี่ยวนวด ดังนี้ ให้กาลเวลาล่วงเลยไป ๓ เดือน.
               ภิกษุนั้นอยู่ลำบากในที่แจ้งตลอด ๓ เดือน จึงไม่อาจเจริญกรรมฐานยังคุณวิเศษให้บังเกิด ก็ครั้นปวารณาแล้ว ก็ไปยังสำนักของพระศาสดา ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง.
               พระศาสดาทรงทำปฏิสันถารกับภิกษุนั้นแล้ว ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุ เธออยู่จำพรรษาโดยสะดวกหรือ? กรรมฐานของเธอถึงที่สุดแล้วหรือ?
               ภิกษุนั้นกราบทูลเรื่องราวนั้นแล้ว กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กรรมฐานของข้าพระองค์ไม่ถึงที่สุด เพราะไม่มีเสนาสนะอันเป็นสัปปายะ.
               พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ในกาลก่อน แม้สัตว์เดียรัจฉานทั้งหลาย ก็ยังรู้ที่อันเป็นสัปปายะ และไม่เป็นสัปปายะของตน เพราะเหตุไร เธอจึงไม่รู้.
               แล้วทรงนำอดีตนิทานมา ดังต่อไปนี้
               ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติ ในนครพาราณสี. พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดนก อันหมู่นกห้อมล้อม อาศัยต้นไม้ใหญ่อันสมบูรณ์ ด้วยกิ่งและค่าคบ อยู่ในราวป่า.
               ครั้นวันหนึ่ง จุรณตกในที่กิ่งทั้งหลายของต้นไม้นั้น เสียดสีกันไปมา ควันเกิดขึ้น. พระโพธิสัตว์เห็นดังนั้น จึงคิดว่า กิ่งทั้งสองนี้ เมื่อเสียดสีกันอยู่อย่างนี้จักเกิดไฟ ไฟนั้นตกลงไปติดใบไม้เก่าๆ จำเดิมแต่นั้น ไฟจักเผาต้นไม้แม้นี้ พวกเราไม่อาจอยู่ในที่นี้ พวกเราหนีจากที่นี้ไปอยู่ที่อื่น จึงจะควร.
               พระโพธิสัตว์จึงกล่าวคาถานี้แก่หมู่นก ว่า
               นกทั้งหลายอาศัยต้นไม้ใด ต้นไม้นั้นย่อมทิ้งไฟลงมา นกทั้งหลายจงพากันหนีไปอยู่เสียที่อื่นเถิด ภัยเกิดจากที่พึ่งของเราแล้ว.
               นกทั้งหลายที่เป็นบัณฑิตกระทำตามคำของพระโพธิสัตว์ พากันบินขึ้นพร้อมกันกับพระโพธิสัตว์นั้น ไปอยู่ที่อื่น. ส่วนนกทั้งหลายที่ไม่เป็นบัณฑิต พากันกล่าวอย่างนี้ว่า พระโพธิสัตว์นี้เห็นว่า มีจระเข้ในนํ้าเพียงหยดเดียว จึงไม่เชื่อถือคำของพระโพธิสัตว์นั้น คงอยู่ในที่นั้นนั่นเอง. แต่นั้นไม่นานนัก ไฟบังเกิดขึ้นจับติดต้นไม้นั้นแหละ ตามอาการที่พระโพธิสัตว์คิดแล้ว นั่นแล. เมื่อควันและเปลวไฟตั้งขึ้น นกทั้งหลาย (มีตา) มืดมัวเพราะควัน จึงไม่อาจไปที่ไหนได้ พากันตกลงในไฟถึงความพินาศ.
               พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ในกาลก่อน แม้สัตว์เดียรัจฉานทั้งหลายอยู่บนยอดไม้ ก็ยังรู้ความสบาย และไม่สบายของตนอย่างนี้ เพราะเหตุไร เธอจึงไม่รู้ ดังนี้.
               ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประกาศสัจจะทั้งหลาย.
               ในเวลาจบสัจจะ ภิกษุนั้นตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล.
               ฝ่ายพระศาสดาก็ทรงสืบอนุสนธิ ประชุมชาดก ว่า
               นกทั้งหลายที่ทำตามคำของพระโพธิสัตว์ ในครั้งนั้น ได้เป็น พุทธบริษัท ในบัดนี้
               ส่วนนกผู้เป็นบัณฑิต ได้เป็น เราเอง แล.

--------------------

หมายเลขบันทึก: 715909เขียนเมื่อ 7 พฤศจิกายน 2023 04:53 น. ()แก้ไขเมื่อ 25 พฤศจิกายน 2023 18:52 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท