ตามประสบการณ์ของผม มหาวิทยาลัยที่ดำเนินการประเมินผู้บริหารมหาวิทยาลัยระดับคณบดี (และหัวหน้าส่วนงาน) และอธิการบดี โดยมีวิธีการที่ดีที่สุดและมาพัฒนาการมาอย่างต่อเนื่องกว่าสิบปี คือ มช.
ที่ว่าดีก็เพราะเป็นวิธีที่ทำให้การประเมินเป็นกลไกหนุนการพัฒนาคณะและมหาวิทยาลัย รวมทั้งมีการเรียนรู้จากประสบการณ์ นำมาพัฒนาวิธีการเป็นระยะๆ โดยเมื่อเร็วๆ นี้มีการเพิ่มการเสวนากับตัวคณบดี และเสวนากับประธานคณะกรรมการอำนวยการของคณะ เป็นเวลาสั้นๆ เพิ่มขึ้น เน้นที่ประเด็นที่ควรพัฒนา และที่ทีมบริหารบริหารมหาวิทยาลัยควรสนับสนุน
สภามหาวิทยาลัยตั้งคณะกรรมการประเมินคณบดีแต่ละคณะ โดยมีคณะกรรมการ ๕ คน เป็นกรรมการสภาฯ ผู้ทรงคุณวุฒิ ๓ คน (เป็นประธาน ๑ คน) ผู้แทนอาจารย์หรือบุคลากรภายใน ๑ คน รองอธิการบดี ๑ คน มีเจ้าหน้าที่สำนักงานสภาฯ เป็นเลขานุการ การประเมิน ดำเนินการ ๒ ครั้งในแต่ละสมัยการดำรงตำแหน่ง คือเมื่อครบ ๑ ๑/๒ ปี กับ ๓ ปี
เมื่อใกล้เวลาประเมิน คณบดีจะส่งรายงานการประเมินตนเองไปให้แก่สำนักงานสภา ในรายงานประกอบด้วย
ฝ่ายเลขานุการของสำนักงานสภาฯ จะดำเนินการส่งแบบสอบถามไปยังผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของส่วนงาน ๕ กลุ่ม ได้แก่ (๑) ผู้บริหารมหาวิทยาลัย (๒) คณาจารย์ในคณะ (๓) เจ้าหน้าที่สายสนับสนุนในคณะ (๔) นักศึกษา (๕) บุคคลภายนอกที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับส่วนงาน เพื่อประเมินผลงานเชิงภาวะผู้นำของคณบดี
แล้วฝ่ายเลขานุการของสำนักงานสภาฯ เสนอร่างรายงานการประเมินผลการบริหารงานของคณบดีท่านนั้นต่อคณะกรรมการประเมิน โดยประเมินใน ๓ มิติคือ ด้านประสิทธิภาพการดำเนินการ (performance) ด้านการปฏิบัติตามกฎ/ระเบียบ (compliance) และด้านภาวะผู้นำ (leadership)
ร่างรายงานประกอบด้วย ๒ ส่วน คือ (๑) ส่วนสรุปผลการดำเนินการ จำแนกตาม ๓ มิติ (๒) ส่วนผลการประเมินในภาพรวม
ผลการประเมินในภาพรวมประกอบด้วย (๑) สรุปผลการประเมินในภาพรวม (๒) ข้อน่าชื่นชม (๓) ข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนา (๔) ข้อเสนอแนะต่อมหาวิทยาลัย
รายงานส่วนต้นเป็นบทสรุปสำหรับผู้บริหาร ส่วนท้ายเป็นภาคผนวก
เมื่อได้ร่างรายงาน ก็นัดประชุมคณะกรรมการ สมัยก่อนต้องเดินทางไปประชุมที่ มช. เชียงใหม่ แต่สมัยนี้สบายมาก ประชุม ออนไลน์ ได้สบาย
ผมเป็นกรรมการทำหน้าที่นี้มากว่าสิบปี ตอนนี้การประชุมมีการพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง คือเชิญคณบดีมาคุยด้วยเป็นเวลาสั้นๆ ๒๐ นาที หลังจากนั้นเชิญประธานคณะกรรมการอำนวยการของคณะมาคุยด้วย ๒๐ นาที พบว่าแนวทางใหม่นี้ให้ข้อมูลเชิงลึกเพิ่มขึ้นมาก เป็นประโยชน์มาก ช่วยให้คณะกรรมการประเมินมีข้อเสนอแนะเพิ่มขึ้นมาก
จากการประชุมคณะกรรมการประเมินคณะขนาดเล็กคณะหนึ่ง (มีบุคลากรเพียง ๑๒๘ คน) เมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๖๖ พบข้อเรียนรู้ที่น่าสนใจมาก ว่าเมื่อ ๘ ปีก่อนมีการปฏิรูปการบริหารงาน สลายภาควิชา (สลายไซโล) ให้เป็นสาขาวิชา เอาการบริหารมาไว้ที่ส่วนกลางเพื่อบูรณาการงานข้ามสาขาวิชาการ และเพื่อรวมศูนย์งานสนับสนุน ๘ ปีให้หลัง ภายใต้ความสามารถในการบริหารงานของคณบดีท่านนี้ คณะเจริญก้าวหน้าอย่างน่าชื่นชมมาก โดยในช่วงวาระแรกของการดำรงตำแหน่ง ท่านต้องเผชิญความยากลำบากในการบริหารการเปลี่ยนแปลง
แน่นอนว่า ยังมีโอกาสบริหารคณะนี้ให้เจริญก้าวหน้า สร้างผลงานที่มีคุณประโยชน์ต่อบ้านเมืองได้อีกมากมาย โดยการทำงานเชื่อมโยงกับภาคีหลากหลายฝ่าย ให้ผลงานวิชาการของคณะมีลักษณะเป็นผลงานนวัตกรรม ออกสู่ตลาด สร้างรายได้แก่ผู้ประกอบการและแก่ประเทศได้อย่างยั่งยืน
คณะกรรมการประเมินมีหน้าที่ระบุผลการประเมิน ว่าอยู่ในระดับ ต้องปรับปรุง พอใช้ ดี หรือดีมาก สำหรับท่านคณบดีที่ประชุมประเมินเมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม ได้ระดับ ดีมาก กรรมการบางท่านบอกว่าหากมีระดับดีเลิศก็อยากให้
ผมมองว่า ท่าทีของการประเมิน เน้นประเมินเพื่อการพัฒนาในน้ำหนัก ร้อยละ ๘๐ – ๙๐ การประเมินให้ระดับผลงานมีน้ำหนักเพียงร้อยละ ๑๐ - ๒๐ เท่านั้น
ผลการประเมินนี้ ต้องเอาไปนำเสนอต่อสภามหาวิทยาลัย เพื่อให้สภามหาวิทยาลัยมีมติรับรอง และให้นโยบายพัฒนาคณะสืบต่อไป ประธานคณะกรรมการประเมินต้องลงนามในเอกสารประเมินส่งอธิการบดี ประธานคณะกรรมการอำนวยการ และคณบดี อย่างเป็นทางการ
วิจารณ์ พานิช
๑๘ ส.ค. ๖๖
ไม่มีความเห็น