เหตุการณ์ ลาออกจากนายกสภ า สบช. ชวนให้ผมใคร่ครวญหรือวิพากษ์นิสัยของตนเอง เอามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในวงกว้าง โปรดให้อภัยหากสุนัขเผลอยกหางตัวเอง
ผมคิดว่า ที่ผมมีชีวิตที่ดีได้ขนาดนี้เพราะผมเรียนรู้ข้อจำกัดของตนเอง เหตุการณ์ที่สะท้อนข้อตระหนักนี้เกิดขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๓๙ เมื่อคณะกรรมการนโยบาย สกว. มีมติให้แต่งตั้งผมเป็น ผอ. สกว. สมัยที่ ๒ ก่อนผมหมดวาระ ๑ ปี เพราะได้พิสูจน์ว่า สกว. ประสบความสำเร็จสูงมาก
เดือนต่อมา ผมเสนอให้คณะกรรมการนโยบาย สกว. มีมติว่า การดำรงตำแหน่ง ผอ. สกว. ให้ดำรงได้ไม่เกิน ๒ วาระติดต่อกัน โดยที่ พรบ. กองทุนสนับสนุนการวิจัย พ.ศ. ๒๕๓๕ ระบุเพียงว่า ให้ ผอ. ดำรงตำแหน่งวาระละ ๔ ปี ไม่ระบุว่าให้ดำรงตำแหน่งได้ไม่เกินกี่วาระ
เพราะผมมีความเชื่อว่าตนเอง (และทุกคน) มีข้อจำกัด จึงเสนอให้ คณะกรรมการนโยบายกองทุนสนับสนุนการวิจัย ลงมติเช่นนั้น เพื่อเปิดโอกาสให้คนอื่นที่มีความถนัดบางด้านดีกว่าผมได้มีโอกาสทำงานสร้างความเจริญก้าวหน้าแก่องค์กร ซึ่งก็ได้พิสูจน์ว่าผู้อำนวยการ สกว. ท่านหลังจากผมทำงานหลายด้านได้ดีกว่า
ตรงนี้คงต้องชี้ประเด็น “จิตใหญ่” (transcendent mind) ว่ามีคุณต่อชีวิตอย่างไร มันช่วยให้เราเลือกทางสองแพร่งในชีวิตได้ถูกต้อง ไม่หลงเลือกเส้นทางเพื่อผลประโยชน์ของตนเองแต่ถ่ายเดียว คำนึงถึงโอกาสทำประโยชน์แก่ส่วนรวมด้วย และหลายครั้งที่ผม “ลาออก” ก็น่าจะเป็นเพราะสะดุดตอ “จิตเล็ก” หรือ “จิตหลงผิด” ที่มีอยู่ดาษดื่น
การ “ลาออก” อีกครั้งที่ผมถือว่ายิ่ง ใหญ่ที่สุดในชีวิตของผม คือลาออกจากสิทธิรับมรดกของพ่อแม่ในฐานะลูกชายคนโต ตามธรรมเนียมไทยเชื้อสายจีน ผมเสนอให้พ่อแม่แบ่งมรดก (ที่ไม่ได้มากมายนัก) ให้แก่น้องๆ ตามความจำเป็นในการครองชีพ คือให้แก่น้องๆ ที่เรียนทางด้านเกษตร และจะเป็นเกษตรกรตามรอยพ่อแม่ ไม่ต้องให้ผมและน้องอีก ๒ คนที่เป็นแพทย์ ผมแนะนำว่า น้องคนที่อ่อนแอกว่าคนอื่นควรได้รับมรดกมากหน่อย
มรดกที่ว่านี้ ส่วนใหญ่คงจะเป็นที่ดิน เดาว่าเงินน่าจะไม่มาก ผมเพิ่งมาตระหนักตอนเขียนบันทึกนี้ ว่าผมไม่เคยรู้เลยว่าพ่อแม่แบ่งมรดกเป็นเงินและเป็นที่ดิน ให้แก่ลูกคนไหนเท่าไร คือผมไม่เคยเอาใจใส่เรื่องมรดกเหล่านี้เลย เอาใจใส่แต่ทำงาน และบอกตัวเองว่า มรดกประเสริฐที่สุดที่ผมได้รับจากพ่อแม่คือ (๑)
ข้อจำกัดของผมที่เด่นชัดที่สุดคือโอกาสเป็นใหญ่เป็นโต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทสังคมไทย ตอนที่การทำงานกำลังก้าวหน้า ก็มีดาวเด่นด้านการเมืองของพรรคการเมืองหนึ่งชวนไปช่วยงานการเมือง ผมปฏิเสธ ด้วยเหตุผลว่าผมไม่ถนัด ซึ่งเป็นเหตุผลที่จริงใจ ว่าคนตรงไปตรงมาอย่างผมไม่น่าจะทำงานการเมืองเป็น
เพราะผมเป็นคน “ไม่เอาพวก” เป็นคำติฉินที่ผมได้รับสมัยอายุสามสิบกว่าๆ ที่เมื่อคนที่เป็นญาติหรือคนบ้านเดียวกัน หรือคนรู้จัก ต้องการเล่นเส้นลัดคิว การรับบริการบางอย่าง หรือต้องการให้ยกเว้นหลักการบางอย่างในธุรกิจของตน และมาขอให้ผมช่วย ผมปฏิเสธ เพราะคิดว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของคอร์รัปชั่น น่าจะเป็นข้อจำกัดความเจริญก้าวหน้าอย่างแรง
แต่ก็ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น เพราะตอนนี้เวลามีการสรรหาตำแหน่งใหญ่ และผมโดนแต่งตั้งให้เข้าร่วมทำหน้าที่ ผมจะเป็นคนเดียวในคณะกรรมการที่ไม่มีคนเข้าหาขอให้ช่วยเหลือ
ตอนนี้ข้อจำกัดชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ว่าอายุมากขึ้น ร่างกายและสมองเสื่อมลง และข้อจำกัดด้านอายุขัยก็ชัดเจน ที่เรียกว่า มรณานุสติ
ในทุกข้อจำกัด มีพลังแฝงอยู่
วิจารณ์ พานิช
๑๑ ส.ค. ๖๖
อาจารย์เป็นคนที่ควรเอาเยี่ยงอย่างค่ะ
หากมีคนแบบนี้ในประเทศไทยมากๆ ก็จะเจริญรุ่งเรืองยิ่งๆขึ้นนะคะ
อยากให้มีคนแบบอาจารย์เยอะๆในสังคมไทย