ตอนที่ผมป่วย เข้าโรงพยาบาลเป็นครั้งแรกในชีวิต ลูกๆ ผลัดเวรกันไปนอนเฝ้า ดังเล่าไว้ในบันทึกชุด บันทึกการเข้าโรงพยาบาล ให้ความอบอุ่นชื่นใจแก่ผมเป็นอย่างยิ่ง ลูกๆ รับมรดกประจำตระกูลในด้านความกตัญญูรู้คุณของบรรพบุรุษ โดยไม่ต้องสอน
ตอนผมเป็นเด็ก ผมเฝ้าถามตนเองว่าจะเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่ทำประโยชน์แก่สังคมได้หรือไม่ ถึงตอนนี้ผมมีความสุขว่า ไม่เพียงตัวผมจะเป็นกำลังเล็กๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมเท่านั้น ลูกๆ ๔ คน ก็เป็นคนที่เติบโตขึ้นเป็นคนที่เป็นประโยชน์เล็กๆ แก่สังคมได้ทุกคน โดยที่ลูกคนโตอายุ ๕๓ คนเล็กอายุ ๔๓ เมื่อมีโอกาสผมก็จะคุยกับหลานเพื่อส่งต่ออุดมการณ์นี้ไปยังรุ่นหลาน
โดยที่ผมได้รับมรดกนี้มาจากพ่อแม่
คนโตเป็นทันตแพทย์ ทำหน้าที่อาจารย์ และเป็นทันตแพทย์ให้บริการ มีหน้าที่การงานมั่นคง ทำประโยชน์ทั้งด้านการศึกษาและการให้บริการ
คนที่ ๒ ทำ มูลนิธิพูนพลัง เป็นมูลนิธิเล็กๆ ให้ทุนช่วยเหลือนักเรียนนักศึกษา ต่อเนื่องมา ๒๐ ปีแล้ว
คนที่ ๓ ทำงานในต่างประเทศอยู่นาน ผมเฝ้าเตือนสติเขาว่า เขาควรกลับมาทำประโยชน์แก่สังคมไทย ชดใช้ทุนการศึกษาที่ได้รับ จึงดีใจมากที่เขากลับมาทำงานให้แก่บริษัทในประเทศไทย และสร้างความสำเร็จในระดับมหัศจรรย์ ได้รับการยกย่องระดับโลก เมื่อเร็วๆ นี้ได้รับยกย่องเป็น ๑ ใน ๑๐๐ ผู้สร้างอนาคตของการลงทุนขององค์กร ที่อ่านส่วนของ มุขยา พานิช ได้ ที่นี่
คนที่ ๔ บุกเบิกกิจกรรมพัฒนาจิตวิญญาณ หรือพัฒนาด้านในของมนุษย์ ตั้งสถาบันวัชรสิทธา ทำประโยชน์แก่คนรุ่นใหม่ที่ชีวิตและหน้าที่การงานก่อความเครียด ต้องการการพัฒนาด้านใน
ลูกๆ ช่วยกันดูแลแม่ที่เป็นโรคสมองเสื่อม ให้แม่มีความสุขที่สุดในสภาพความเสื่อมของสมอง
มรดกที่สำคัญที่สุดไม่ใช่เงินหรือสิ่งของ แต่เป็นมรดกอุดมการณ์ในการดำรงชีวิต
วิจารณ์ พานิช
๒๕ มิ.ย. ๖๖
อ่านแล้วพลอยมีความสุขไปกับอาจารย์ค่ะ