พระราหุลกุมารทรงบรรพชาเป็นสามเณร


ภิกษุทั้งหลาย บุตรที่มารดาบิดาไม่อนุญาตไม่พึงให้บรรพชารูปใดให้บรรพชา ต้องอาบัติทุกกฏ

พระราหุลกุมารทรงบรรพชาเป็นสามเณร

พลตรี มารวย ส่งทานินทร์

๑๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๖

 

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๔ [ฉบับมหาจุฬาฯ]

มหาวรรค ภาค ๑

๔๑. ราหุลวัตถุ

ว่าด้วยพระราหุลกุมารบรรพชา

 

พระราหุลกุมารทรงผนวชเป็นสามเณร

             [๑๐๕] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ กรุงราชคฤห์ตามพระอัธยาศัย แล้วได้เสด็จจาริกไปทางกรุงกบิลพัสดุ์ เสด็จจาริกไปโดยลำดับจนถึงกรุงกบิลพัสดุ์ ทราบว่าพระองค์ประทับอยู่ ณ นิโครธาราม กรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ ครั้นเวลาเช้า ทรงอันตรวาสกแล้วถือบาตรและจีวรเสด็จไปยังพระนิเวศน์พระเจ้าสุทโธทนศากยะ ประทับนั่ง ณ พุทธอาสน์ที่ได้ปูลาดไว้

             ขณะนั้น พระเทวีมารดาพระราหุลกุมารได้ทรงมีพระเสาวนีย์ว่า “แน่ะราหุล สมณะนั้นเป็นบิดาของเจ้า เจ้าจงไปทูลขอทรัพย์มรดกเถิด”

             พระราหุลกุมารจึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ประทับยืน ณ เบื้องพระพักตร์ พลางกราบทูลว่า “ข้าแต่พระสมณะ พระฉายาของพระองค์เป็นสุข”

             พระผู้มีพระภาคได้เสด็จลุกจากอาสนะแล้วเสด็จกลับไป พระกุมารก็เสด็จติดตามไปเบื้องพระปฤษฎางค์ พลางกราบทูลขอว่า “พระสมณะได้โปรดประทานทรัพย์มรดกแก่หม่อมฉัน พระสมณะได้โปรดประทานทรัพย์มรดกแก่หม่อมฉัน”

             ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเรียกท่านพระสารีบุตรมารับสั่งว่า “สารีบุตร ถ้าอย่างนั้นเธอจงให้ราหุลกุมารบรรพชาเถิด”

             ท่านพระสารีบุตรทูลถามว่า “ข้าพระองค์จะให้ราหุลกุมารบรรพชาอย่างไรพระพุทธเจ้าข้า”

             ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมีกถาเพราะเรื่องนี้เป็นต้นเหตุ แล้วรับสั่งกับภิกษุทั้งหลายว่า “ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตการบรรพชาเป็นสามเณรด้วยไตรสรณคมน์” (เดิมที พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตการบรรพชาและอุปสมบทด้วยไตรสรณคมน์ ต่อมาทรงห้ามอุปสมบทด้วยไตรสรณคมน์ ทรงอนุญาตวิธีอุปสมบทด้วยญัตติจตุตถกรรม แต่ไม่ได้ทรงห้ามการบรรพชา ทั้งไม่ได้ทรงอนุญาตให้ภิกษุสงฆ์ใช้วิธีนี้ต่อไปอีก แต่มีพระประสงค์ที่จะอนุญาตให้บรรพชาสามเณรด้วยไตรสรณคมน์ พระสารีบุตรทราบพุทธอัธยาศัย จึงกราบทูลให้ทรงอนุญาตการบรรพชาอีก และใช้วิธีการบรรพชาด้วยไตรสรณคมน์ บวชราหุลกุมารเป็นสามเณรรูปแรก)

 

วิธีให้บรรพชา

             ภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุพึงให้กุลบุตรบรรพชา อย่างนี้

             ในเบื้องต้น พึงให้กุลบุตรผู้มุ่งบรรพชาปลงผมและหนวด ให้ครองผ้ากาสายะ ให้ห่มผ้าเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ให้กราบเท้าภิกษุทั้งหลาย ให้นั่งกระโหย่ง ให้ประนมมือแล้วสั่งว่า “เธอจงกล่าวอย่างนี้” แล้วให้ว่าสรณคมน์ ดังนี้

 

ไตรสรณคมน์

ว่าด้วยการถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ

             ข้าพเจ้า ขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ

             ข้าพเจ้า ขอถึงพระธรรมเป็นสรณะ

             ข้าพเจ้า ขอถึงพระสงฆ์เป็นสรณะ

             ข้าพเจ้า ขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ แม้ครั้งที่ ๒

             ข้าพเจ้า ขอถึงพระธรรมเป็นสรณะ แม้ครั้งที่ ๒

             ข้าพเจ้า ขอถึงพระสงฆ์เป็นสรณะ แม้ครั้งที่ ๒

             ข้าพเจ้า ขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ แม้ครั้งที่ ๓

             ข้าพเจ้า ขอถึงพระธรรมเป็นสรณะ แม้ครั้งที่ ๓

             ข้าพเจ้า ขอถึงพระสงฆ์เป็นสรณะ แม้ครั้งที่ ๓

             ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตการบรรพชาเป็นสามเณรด้วยไตรสรณคมน์เหล่านี้”

             ลำดับนั้น ท่านพระสารีบุตรได้ให้พระราหุลบรรพชาแล้ว

 

เรื่องพระเจ้าสุทโธทนะทูลขอพร

            (ในวันที่ ๒ หลังจากที่เสด็จถึงกรุงกบิลพัสดุ์แล้ว พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าไปบิณฑบาตในกรุงกบิลพัสดุ์ในเวลาเช้า พระเจ้าสุทโธทนะทรงทราบข่าว จึงเสด็จไปหา ตรัสว่า การที่พระพุทธองค์เสด็จเที่ยวบิณฑบาตนี้ ทำให้ข้าพระองค์ละอายยิ่งนัก พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า การเที่ยวบิณฑบาตนี้เป็นวงศ์ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย แล้วตรัสพระคาถาว่า ไม่ควรประมาทในบิณฑบาตที่พึงลุกรับ พึงประพฤติธรรมให้สุจริต ผู้ประพฤติธรรม ย่อมอยู่เป็นสุขทั้งในโลกนี้และโลกหน้า เมื่อตรัสพระคาถานี้จบ พระเจ้าสุทโธทนะบรรลุโสดาปัตติผล ครั้นแล้วพระผู้มีพระภาคได้เสด็จเข้าพระนิเวศน์ตรัสพระคาถาว่า พึงประพฤติธรรมให้สุจริต ไม่พึงประพฤติธรรมให้ทุจริต ผู้ประพฤติธรรม ย่อมอยู่เป็นสุขทั้งในโลกนี้และโลกหน้า พระเจ้าสุทโธทนะทรงบรรลุสกทาคามิผล วันต่อมาได้ทรงสดับธรรมปาลชาดก ทรงบรรลุอนาคามิผล ก่อนที่จะสวรรคตประทับบนแท่นบรรทมภายใต้เศวตฉัตร ทรงบรรลุอรหัตตผล)

             ครั้งนั้น พระเจ้าสุทโธทนศากยะได้เสด็จไปเฝ้าพระผู้พระภาคถึงที่ประทับ ครั้นถึงแล้วได้ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วประทับนั่ง ณ ที่สมควร ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า “พระเจ้าข้า หม่อมฉันทูลขอพรพระผู้มีพระภาคอย่างหนึ่ง”

             พระผู้มีพระภาคถวายพระพรว่า “มหาบพิตรผู้โคดม ตถาคตทั้งหลายเลิกพรเสียแล้ว”

             พระเจ้าสุทโธทนศากยะทูลว่า “หม่อมฉันทูลขอพรที่สมควรและไม่มีโทษพระพุทธเจ้าข้า”

             พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “โปรดตรัสบอกพรนั้นเถิด มหาบพิตรผู้โคดม”

             พระเจ้าสุทโธทนศากยะทูลว่า “เมื่อพระองค์ทรงผนวช หม่อมฉันมีทุกข์ไม่น้อย เมื่อนันทะผนวชก็เช่นเดียวกัน ครั้นราหุลบรรพชา ยิ่งเกิดทุกข์เหลือประมาณ พระพุทธเจ้าข้า ความรักในพระโอรสย่อมตัดผิว ตัดผิวแล้วก็ตัดหนัง ตัดหนังแล้วก็ตัดเนื้อ ตัดเนื้อแล้วก็ตัดเอ็น ตัดเอ็นแล้วก็ตัดกระดูก ตัดกระดูกแล้วก็จดเยื่อในกระดูก ขอประทานพระวโรกาส ขอพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายไม่พึงให้บุตรที่มารดาบิดายังไม่อนุญาตบรรพชา พระพุทธเจ้าข้า”

             ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้พระเจ้าสุทโธทนศากยะทรงเห็นชัด ชวนให้อยากรับเอาไปปฏิบัติ เร้าใจให้อาจหาญแกล้วกล้า ปลอบชโลมใจให้สดชื่น ร่าเริงด้วยธรรมีกถา

             ครั้นพระเจ้าสุทโธทนศากยะผู้ซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้เห็นชัด ชวนให้อยากรับไปปฏิบัติ เร้าใจให้อาจหาญแกล้วกล้า ปลอบชโลมใจให้สดชื่นร่าเริงด้วยธรรมีกถาแล้ว ก็เสด็จลุกขึ้นจากที่ประทับ ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค ทรงทำประทักษิณเสด็จกลับ

             ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมีกถาเพราะเรื่องนี้เป็นเหตุ แล้วรับสั่งกับภิกษุทั้งหลายว่า “ภิกษุทั้งหลาย บุตรที่มารดาบิดาไม่อนุญาตไม่พึงให้บรรพชารูปใดให้บรรพชา ต้องอาบัติทุกกฏ”

             ครั้นพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ กรุงกบิลพัสดุ์ตามพระอัธยาศัยแล้ว ได้เสด็จจาริกไปทางกรุงสาวัตถี เสด็จจาริกไปโดยลำดับ จนถึงกรุงสาวัตถี ทราบว่าพระองค์ประทับอยู่ ณ พระเชตวันอารามของอนาถบิณฑิกคหบดีเขตกรุงสาวัตถีนั้น

 

ทรงอนุญาตให้ภิกษุผู้ฉลาดมีสามเณรหลายรูปไว้อุปัฏฐาก

             สมัยนั้น ตระกูลอุปัฏฐากของท่านพระสารีบุตรส่งเด็กชายไปยังสำนักของท่านด้วยมอบหมายว่า “ขอพระเถระโปรดให้เด็กคนนี้บรรพชา”

             ขณะนั้น ท่านพิจารณาเห็นว่า “พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ว่า ภิกษุรูปเดียวไม่พึงใช้สามเณร ๒ รูปให้อุปัฏฐาก ก็เรามีสามเณรราหุลนี้อยู่แล้ว จะพึงปฏิบัติอย่างไรหนอ” จึงกราบทูลเรื่องนี้ให้พระผู้มีพระภาคทรงทราบ

             พระผู้มีพระภาครับสั่งกับภิกษุทั้งหลายว่า “ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุรูปเดียวซึ่งเป็นผู้ฉลาดสามารถ ใช้สามเณร ๒ รูปให้อุปัฏฐากได้ หรืออนุญาตให้ใช้สามเณรเท่าที่สามารถจะตักเตือนพร่ำสอนให้อุปัฏฐากได้”

 

๔๒. สิกขาปทกถา

ว่าด้วยสิกขาบทของสามเณร

             [๑๐๖] ครั้งนั้น สามเณรทั้งหลายได้มีความคิดคำนึงว่า “สิกขาบทของพวกเรามีเท่าไรหนอ และเราจะต้องศึกษาในสิกขาบทไหน”

             ภิกษุทั้งหลายจึงนำเรื่องนี้ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ

             พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า “ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตสิกขาบท ๑๐ แก่สามเณร และให้สามเณรศึกษาในสิกขาบท ๑๐ นั้น คือ

                          ๑. เจตนางดเว้นจากการฆ่าสัตว์

                          ๒. เจตนางดเว้นจากการถือเอาของที่เจ้าของมิได้ให้

                          ๓. เจตนางดเว้นจากพฤติกรรมอันมิใช่พรหมจรรย์

                          ๔. เจตนางดเว้นจากการพูดเท็จ

                          ๕. เจตนางดเว้นจากน้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท

                          ๖. เจตนางดเว้นจากการบริโภคอาหารในเวลาวิกาล

                          ๗. เจตนางดเว้นจากการฟ้อนรำ ขับร้อง บรรเลงดนตรีและดูการละเล่น

                               อันเป็นข้าศึกต่อพรหมจรรย์

                          ๘. เจตนางดเว้นจากการทัดทรงดอกไม้ของหอมและเครื่องลูบไล้ซึ่งใช้

                               เป็นเครื่องประดับตกแต่ง

                          ๙. เจตนางดเว้นจากที่นอนสูงและที่นอนใหญ่

                          ๑๐. เจตนางดเว้นจากการรับทองและเงิน

             ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตสิกขาบท ๑๐ เหล่านี้แก่สามเณร และให้สามเณรศึกษาในสิกขาบท ๑๐ เหล่านี้”

------------------

 

คำอธิบายเพิ่มเติม นำมาจากบางส่วนของอรรถกถา มหาวรรค ภาค ๑ มหาขันธกะ

ทายัชชภาณวาร พระราหุลกุมารทรงผนวชเป็นสามเณร

               อรรถกถาราหุลวัตถุกถา               

 

               ได้ยินว่า จำเดิมแต่วันที่พระโพธิสัตว์เสด็จออกอภิเนษกรมณ์ พระเจ้าสุทโธทนมหาราชทรงเงี่ยพระโสตคอยสดับข่าวอยู่เทียวว่า ลูกเราออกไปด้วยหมายใจว่า จักเป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าแล้วหรือยังหนอ? ท้าวเธอทรงสดับการบำเพ็ญเพียร ความตรัสรู้เองและพุทธกิจทั้งหลายมียังธรรมจักรให้เป็นไปเป็นต้นของพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงสดับว่า ได้ยินว่า บัดนี้ลูกเราอาศัยกรุงราชคฤห์อยู่ จึงดำรัสสั่งอำมาตย์คนหนึ่งว่า เราแก่เฒ่าแล้วนะพ่อ ดีละ เจ้าจงแสดงบุตรแก่เราทั้งที่ยังเป็นอยู่ เขารับสาธุแล้ว มีบุรุษพันคนเป็นบริวาร ไปสู่กรุงราชคฤห์ ถวายบังคมพระบาทพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วนั่ง.
               ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสธรรมกถาแก่เขา เขาเลื่อมใสทูลขอบรรพชาและอุปสมบทที่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าให้เขาอุปสมบทด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา ภิกษุนั้นกับทั้งบริษัทบรรลุพระอรหัตแล้ว ได้อยู่เสวยสุขเกิดแต่ผลสมาบัติในที่นั้นเอง. พระราชาทรงส่งทูตแม้อื่นไปอีก ๘ คนโดยอุบายนั้นแล. แม้ทูตเหล่านั้นทั้งหมดกับทั้งบริษัท ได้เสด็จออกจากกรุงราชคฤห์หลีกจาริกไปอย่างไม่รีบเร่ง ด้วยทรงทำในพระหฤทัยว่า เราเมื่อเดินทางวันละโยชน์ ๒ เดือนจักถึงกรุงกบิลพัสดุ์ ซึ่งมีระยะทาง ๖๐ โยชน์จากกรุงราชคฤห์.
               ก็แลครั้นเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จหลีกไปแล้วอย่างนั้น พระอุทายีเถระกระทำภัตกิจในพระนิเวศน์ของพระเจ้าสุทโธทนมหาราช จำเดิมแต่วันพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออก. พระราชาทรงอังคาสพระเถระแล้วทรงเจิมบาตรด้วยกระแจะบรรจุพระกระยาหารอย่างสูงสุดจนเต็ม มอบถวายในมือพระเถระว่า ท่านจักถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้พระเถระย่อมทำตามรับสั่งทั้งนั้น. พระผู้มีพระภาคเจ้าเสวยบิณฑบาตของพระราชาเท่านั้นในระหว่างมรรคา ด้วยประการฉะนี้.
               ฝ่ายพระเถระในเวลาเสร็จภัตกิจทุกวัน ได้ทูลพระราชาว่าวันนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาเท่านี้ และได้ปลูกความเชื่อในพระผู้มีพระภาคเจ้าให้เกิดขึ้นแก่เจ้าศากยะทั้งหลาย ด้วยกถาปฏิสังยุตด้วยพุทธคุณ.
               เพราะเหตุนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตั้งท่านไว้ในเอตทัคคสถานว่า ภิกษุทั้งหลาย บรรดาภิกษุทั้งหลายผู้ยังสกุลให้เลื่อมใส ซึ่งเป็นสาวกของเรา กาฬุทายีเป็นเยี่ยม ดังนี้.

               ฝ่ายเจ้าศากยะเล่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้ายังไม่เสด็จถึง จึงมุ่งพระหฤทัยว่า เราทั้งหลายจักเฝ้าพระญาติอันประเสริฐของพวกเรา จึงประชุมกัน
               เมื่อเลือกหาที่เสด็จอยู่สำหรับพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกำหนดว่า อารามของสักกะชื่อนิโครธ น่ารื่นรมย์ จึงให้ทำปฏิชัคคนวิธิทั้งปวงในอารามนั้น มีของหอมและดอกไม้ในมือ เมื่อจะทำการต้อนรับ ได้ส่งเด็กชายและเด็กหญิงชาวพระนครรุ่นหนุ่มรุ่นสาว ประดับด้วยอลังการทุกอย่างไปก่อน. ถัดจากนั้น ส่งราชกุมารและราชกุมารีทั้งหลายไป แล้วไปเองในลำดับแห่งเหล่าราชกุมารและราชกุมารีเหล่านั้น บูชาด้วยสักการะมีดอกไม้และจุณเป็นต้น ได้เชิญเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าไปสู่นิโครธารามทีเดียว.
               พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระขีณาสพ ๒ หมื่นแวดล้อม ประทับบนบวรพุทธอาสน์ที่เขาตั้งเตรียมไว้ในนิโครธารามนั้น. พวกศากยราชเป็นคนเจ้ามานะถือตัวจัดนัก. พวกศากยราชเหล่านั้นทรงดำริว่า สิทธัตถกุมารยังหนุ่มเด็กกว่าพวกเรา เป็นพระกนิฎฐะ เป็นพระภาคิไนย เป็นพระโอรส เป็นพระนัดดาแห่งพวกเรา จึงรับสั่งกะราชกุมารหนุ่มๆ ว่า พวกเธอจงบังคม พวกฉันจักนั่งข้างหลังพวกเธอ.
               ครั้นเมื่อศากยราชเหล่านั้นประทับนั่งอย่างนั้นแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเล็งดูอัธยาศัยของพวกเธอ แล้วทรงคำนึงว่า พวกพระญาติไม่ยอมไหว้เรา เอาเถิดบัดนี้ เราจักให้พระญาติเหล่านั้นไหว้ ดังนี้แล้ว ทรงเข้าจตุตถฌานเป็นบาทแห่งอภิญญา ออกแล้วเหาะขึ้นสู่อากาศด้วยพระฤทธิ์ ได้ทรงทำปาฏิหาริย์คล้ายยมกปาฏิหาริย์ที่ควงแห่งคัณฑามพฤกษ์ ราวกะว่าทรงโปรยธุลีที่พระบาทลงบนเศียรแห่งพระญาติเหล่านั้น.
               พระราชาทรงเห็นอัศจรรย์นั้นจึงตรัสว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อพระองค์ซึ่งพระพี่เลี้ยงนำเข้าไปเพื่อไหว้พราหมณ์ในวันมงคล หม่อมฉันแม้ได้เห็นพระบาทของพระองค์ ไพล่ไปประดิษฐานบนกระหม่อมของพราหมณ์ จึงบังคมพระองค์ นี้เป็นปฐมวันทนาของหม่อมฉัน. ในวันวัปมงคล เมื่อพระองค์บรรทมบนพระที่อันมีสิริที่เงาไม้หว้า หม่อมฉันเห็นเงาไม้หว้ามิได้คล้อยตามไป จึงบังคมพระบาท นี้เป็นทุติยวันทนาของหม่อมฉัน บัดนี้ หม่อมฉันแม้ได้เห็นปาฏิหาริย์ซึ่งยังไม่เคยเห็นนี้ ขอถวายบังคมพระบาทของพระองค์ นี้เป็นตติยวันทนาของหม่อมฉัน.
               ก็แลเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าอันพระเจ้าสุทโธทนมหาราชถวายบังคมแล้ว แม้ศากยะองค์หนึ่งซึ่งชื่อไม่ถวายบังคม มิได้มี, ได้ถวายบังคมหมดทั้งนั้น.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยังพระญาติทั้งหลายให้ถวายบังคมแล้วเสด็จลงจากอากาศ ประทับบนพระอาสน์ที่เขาแต่งตั้งไว้. ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งแล้ว พระญาติสมาคม ได้เป็นผู้ถึงที่สุด คือหมดมานะ พระญาติทั้งปวงมีพระหฤทัยแน่วแน่ นั่งประชุมกันแล้ว.
               ลำดับนั้น มหาเมฆหลั่งฝนโบกขรพรรษให้ตกลงมา. น้ำมีสีแดงหลั่งไหลไปภายใต้ น้ำแม้หยาดหนึ่งจะตกลงบนสรีระของใครๆ ก็หาไม่. พระญาติทั้งปวงทรงเห็นเหตุนั้นแล้ว ได้เป็นผู้เกิดความอัศจรรย์หลากใจ.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ฝนโบกขรพรรษตกในญาติสมาคมของเรา ในกาลนี้เท่านั้นหามิได้ ถึงในอดีตกาล ก็ได้ตกแล้วดังนี้ แล้วตรัสเวสสันตรชาดก เพราะเกิดเหตุนี้ขึ้น.
               พระญาติทั้งปวงสดับพระธรรมเทศนาแล้ว เสด็จลุกขึ้นถวายบังคม ทำประทักษิณแล้วหลีกไป. แม้บุคคลผู้หนึ่ง คือพระราชาหรือราชมหาอำมาตย์ที่จะทูลว่า พรุ่งนี้ ขอพระองค์ทรงรับภิกษาของข้าพเจ้า แล้วจึงไป มิได้มี.

               ในวันที่ ๒ พระผู้มีพระภาคเจ้ามีภิกษุ ๒ หมื่นเป็นบริวาร เสด็จเข้าไปบิณฑบาตยังกรุงกบิลพัสดุ์. ใครๆ จะลุกรับแล้วนิมนต์หรือได้รับบาตร หามิได้. พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับยืนอยู่ที่เสาอินทขีล (หลักที่ปักไว้กลางประตู สำหรับกันบานประตูทั้งสองข้างในเวลาปิด.) ทรงนึกว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายในกาลก่อน เสด็จเที่ยวบิณฑบาตในนครแห่งสกุลอย่างไรหนอ? ได้เสด็จไปสู่เรือนของเหล่าอิสรชนโดยผิดลำดับหรือ หรือว่าเสด็จเที่ยวจาริกไปตามลำดับตรอก.
               ลำดับนั้น ไม่ได้ทรงเห็นการไปผิดลำดับแม้แห่งพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง จึงทรงรำพึงว่า บัดนี้ วงศ์นี้และประเพณีนี้ แม้เราก็ควรยกย่อง และต่อไปถึงสาวกทั้งหลายของเรา เมื่อสำเหนียกตามเราจักยังบิณฑจาริยวัตรให้เต็มได้ แล้วเสด็จเที่ยวบิณฑบาตตามลำดับตรอกจำเดิมแต่เรือนที่เสด็จเข้าไปครั้งสุดท้าย.

               มหาชนได้ฟังข่าวว่า ได้ยินว่า พระเจ้าสิทธัตถกุมารเสด็จเที่ยวบิณฑบาต จึงเปิดหน้าต่างในปราสาทสี่ชั้นเป็นต้น ได้เป็นผู้กุลีกุจอเพื่อจะเห็น.
               ฝ่ายพระเทวีผู้มารดาพระราหุลทรงจินตนาว่า ได้ยินว่า พระลูกเจ้าเสด็จเที่ยวไปด้วยพระยานมีสุวรรณสีวิกาเป็นต้นด้วยพระราชานุภาพใหญ่ ในพระนครนี้นี่แล บัดนี้ ทรงปลงพระเกสาและพระมัสสุเสีย ทรงผ้ากาสาวพัสตร์ มีกระเบื้องในพระหัตถ์ เสด็จเที่ยวบิณฑบาต. พระองค์จะทรงงดงามไหมหนอ หรือว่าไม่ทรงงดงาม. จึงทรงเปิดพระสีหบัญชรทอดพระเนตร ทรงเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าซึ่งงามสง่าด้วยพระพุทธสิริ ทรงยังนครวิถีทั้งหลายให้โอภาสด้วยพระสรีระรัศมีอันรุ่งเรืองด้วยรัศมีนานา จึงทรงชมพระโฉม จำเดิมแต่พระอุณหิสจนถึงฝ่าพระบาทด้วย ๘ คาถาอันมีนามว่านรสีหคาถา แล้วเสด็จไปเฝ้าพระราชา กราบบังคมทูลแด่พระราชาว่า พระลูกเจ้าของฝ่าพระบาทเสด็จเที่ยวบิณฑบาต.
               พระราชาทรงสดับข่าวนั้น ทรงสลดพระหฤทัย พลางทรงจัดพระภูษาให้รัดกุมด้วยพระหัตถ์ รีบด่วนเสด็จออกไปโดยเร็ว ประทับเบื้องพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้า ทูลว่า พระเจ้าข้า ทำไมจึงทรงยังหม่อมฉันให้ได้อายเล่า พระองค์เสด็จเที่ยวบิณฑบาตเพื่อประโยชน์อะไร? พระองค์ได้เป็นผู้มีความสำคัญอย่างนี้ว่า ภิกษุมีประมาณเท่านี้ ไม่อาจได้ภัตหรือ?
               พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า มหาบพิตร การเที่ยวบิณฑบาตนี้เป็นจารีตสำหรับวงศ์ของอาตมภาพ.
               พระราชาทูลถามว่า พระเจ้าข้า ขึ้นชื่อว่ามหาสมมติขัตติยวงศ์ เป็นวงศ์ของพวกเรามิใช่หรือ? ก็แลในขัตติยวงศ์นั้น แม้กษัตริย์องค์หนึ่ง ชื่อผู้เที่ยวภิกษาย่อมไม่มี.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสนองว่า มหาบพิตร ชื่อว่าราชวงศ์ เป็นวงศ์ของมหาบพิตร แต่ขึ้นชื่อว่าพุทธวงศ์ เป็นวงศ์ของอาตมภาพ พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์เทียว ได้เป็นผู้เสด็จเที่ยวบิณฑบาตดังนี้ คงประทับยืนในท้องถนนเทียว ได้ตรัสพระคาถานี้ว่า :
                บุคคลไม่พึงประมาทในบิณฑบาต อันคนพึงลุกยืนรับ พึงประพฤติธรรมให้เป็นสุจริต ด้วยว่า ผู้มีปกติประพฤติธรรม ย่อมอยู่เป็นสุข ทั้งในโลกนี้และโลกอื่น.
               พระราชาได้ทรงทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล ในกาลที่จบแห่งพระคาถาและได้ทรงสดับพระคาถานี้ว่า :
               บุคคลพึงประพฤติธรรมให้เป็นสุจริต ไม่พึงประพฤติธรรมนั้นให้เป็นทุจริต ด้วยว่า ผู้ประพฤติธรรม ย่อมอยู่เป็นสุข ทั้งในโลกนี้และโลกอื่น.
               ดังนี้แล้ว ทรงประดิษฐานในสกทาคามิผล ได้ทรงสดับธรรมปาลชาดก แล้วทรงประดิษฐานในอนาคามิผล ในมรณสมัย เสด็จบรรทมบนพระที่อันมีสิริภายใต้แห่งเศวตฉัตรนั่นแล จึงทรงบรรลุพระอรหัต. กิจที่จะต้องหมั่นประกอบความเพียรในอรัญวาสมิได้มีแก่พระราชา.
               ก็แลท้าวเธอทรงทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผลนั่นแล จึงทรงรับบาตรของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว เชิญเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากับทั้งบริษัทขึ้นสู่พระมหาปราสาท ทรงอังคาสด้วยขาทนียโภชนียะอันประณีต.
               ในเวลาเสร็จภัตกิจ นางสนมกำนัลทั้งปวง เว้นพระมารดาพระราหุลได้มาถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า ส่วนพระนางนั้น แม้อันชนบริวารทูลว่า ขอพระแม่เจ้าจงเสด็จไปถวายบังคมพระลูกเจ้า ได้รับสั่งว่า ถ้าความดีของเรามีอยู่ พระลูกเจ้าจักเสด็จมาเองทีเดียว เราจักถวายบังคมพระองค์ผู้เสด็จมาแล้ว ดังนี้ มิได้เสด็จไป.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยังพระราชาได้ถือบาตรแล้ว พร้อมด้วยพระอัครสาวกทั้ง ๒ เสด็จไปสู่ห้องอันมีสิริของพระราชธิดา ตรัสว่า พระราชธิดาจงไหว้ตามชอบ อย่าพึงว่ากล่าวอย่างไรเลย แล้วประทับบนพระที่นั่งอันเขาแต่งตั้งไว้. พระนางเสด็จมาโดยเร็ว ทรงจับที่ข้อพระบาทกลิ้งเกลือกพระเศียรบนหลังพระบาทถวายบังคมตามพระอัธยาศัย.
               พระราชาทูลถึงคุณสมบัติมีพระสิเนหาและความนับถือมากในพระผู้มีพระภาคเจ้า ของพระราชธิดา.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า มหาบพิตร ยังไม่อัศจรรย์ ข้อที่พระราชธิดาซึ่งพระบรมบพิตรทรงปกครองอยู่ จึงรักษาพระองค์ไว้ได้ในเมื่อพระญาณแก่กล้าแล้วในบัดนี้ แต่ก่อน เธอหาผู้ปกครองมิได้ เที่ยวไปแทบเชิงบรรพต รักษาพระองค์ไว้ได้ในเมื่อพระญาณยังไม่แก่กล้า ดังนี้แล้ว ตรัสจันทกินรีชาดก.
               วันนั้นเอง พระนันทราชกุมารมีมหามงคล ๕ อย่าง คือ แก้พระเกศา ผูกพระสุพรรณบัฏ ฆรมงคล อาวาหมงคล ฉัตรมงคล.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยังพระนันทกุมารให้ถือบาตรแล้วตรัสมงคล เสด็จลุกจากพระที่นั่งหลีกไป.
               ครั้งนั้น นางชนบทกัลยาณีเห็นพระกุมารกำลังเสด็จไป จึงทูลว่า ข้าแต่พระลูกเจ้า พระองค์รีบเร่งเสด็จกลับมา แล้วชะเง้อคอแลดู. แม้พระนันทกุมารนั้น เมื่อไม่อาจทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ขอพระองค์ทรงรับบาตรเถิด จึงต้องเสด็จไปถึงวัดที่อยู่ทีเดียว.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยังพระนันทกุมารนั้น ผู้ไม่ทรงปรารถนาเลยให้ผนวช. พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาสู่กบิลบุรี ยังพระนันทกุมารให้ผนวชในวันที่ ๒ ด้วยประการฉะนี้.

               ในวันที่ ๗ พระราหุลมารดา ทรงแต่งพระกุมารส่งไปสู่สำนัก พระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยทรงสั่งว่า นี่แน่ะพ่อ เจ้าจงเห็นสมณะนั่นผู้มีพรรณดั่งทองคำ มีพระรูปพรรณดั่งพรหม มีสมณะสองหมื่นแวดล้อม พระสมณะนี้ เป็นพระบิดาของเจ้า พระสมณะนั้นได้มีขุมทรัพย์ใหญ่ จำเดิมแต่เวลาที่ท่านเสด็จออกไป แม่มิได้เห็น ไปเถิดเจ้าจงทูลขอเป็นทายาทกับท่านว่า ข้าแต่พระบิดาเจ้า หม่อมฉันเป็นกุมาร จักยกฉัตรแล้วเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ. หม่อมฉันต้องการทรัพย์ โปรดประทานทรัพย์แก่หม่อมฉันเถิด เพราะว่าบุตรย่อมเป็นเจ้าของทรัพย์ของบิดา.
               พระกุมารพอเสด็จไปสู่สำนักพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็กลับได้ความรักพระบิดา มีพระหฤทัยรื่นเริงยินดีทูลว่า พระสมณเจ้า พระฉายาของพระองค์นำสุขมา แล้วได้ยืนรับสั่งถ้อยคำซึ่งสมควรแก่ตนเป็นอันมาก แม้อื่น.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเสร็จภัตกิจแล้ว กระทำอนุโมทนา เสด็จลุกจากพระที่นั่งหลีกไป.
               ฝ่ายพระกุมารได้ทรงติดตามทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระสมณเจ้า ขอพระองค์ประทานทรัพย์มฤดกแก่หม่อมฉันเถิด, พระสมณเจ้า ขอพระองค์ประทานทรัพย์มฤดกแก่หม่อมฉันเถิด.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงยังพระกุมารให้กลับแล้ว ทั้งบริวารชนก็ไม่สามารถเพื่อจะยังพระกุมารผู้เสด็จไปกับพระผู้มีพระภาคเจ้าให้เสด็จกลับได้.
               ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปพระอาราม แล้วทรงดำริว่า ราหุลนี้ปรารถนาทรัพย์ของบิดาอันใด ทรัพย์อันนั้นเนื่องด้วยวัฏฏะเป็นไปกับด้วยความคับแค้น เอาเถิด เราจะให้อริยทรัพย์ ๗ ประการซึ่งเราได้แล้วที่โพธิมัณฑ์แก่เธอ จักทำเธอให้เป็นเจ้าของมฤดกอันเป็นโลกุตตระ ดังนี้แล้ว รับสั่งหาท่านพระสารีบุตรมา.
               ก็แลครั้นรับสั่งหาแล้วตรัสว่า สารีบุตร ถ้ากระนั้น ท่านจงยังราหุลกุมารให้บวชเถิด.
               อธิบายว่า ราหุลกุมารนี้ขอทรัพย์มฤดก เพราะเหตุนั้น ท่านจงยังราหุลกุมารนั้นให้บวช เพื่อได้เฉพาะซึ่งทรัพย์มฤดกอันเป็นโลกุตตระ.
               บรรพชาและอุปสมบทด้วยไตรสรณคมน์นั้นใด อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตที่กรุงพาราณสี บรรดาบรรพชาและอุปสมบทด้วยไตรสรณคมน์นั้น ทรงห้ามอุปสมบท ทรงยกไว้ในความเป็นของหนัก คือเป็นกิจสลักสำคัญ แล้วจึงทรงอนุญาตอุปสมบทด้วยญัตติจตุตถรรม. ส่วนบรรพชามิได้ทรงห้ามเลย แต่ก็มิได้ทรงอนุญาตอีก เพราะเหตุนั้น ความสงสัยจักเกิดขึ้นแก่ภิกษุทั้งหลายในอนาคตว่า ชื่อว่าบรรพชานี้ เช่นกับด้วยอุปสมบทในกาลก่อน. แม้ในบัดนี้ บรรพชาอันเราทั้งหลายพึงกระทำด้วยกรรมวาจานั่นเอง เหมือนอุปสมบทหรือหนอแล หรือว่า พึงทำด้วยไตรสรณคมน์ ดังนี้.
               ก็แลพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบความนี้แล้วใคร่จะทรงอนุญาตสามเณรบรรพชาด้วยไตรสรณคมน์อีก เพราะเหตุนั้น พระธรรมเสนาบดีทราบพระอัธยาศัยของพระผู้มีพระภาคเจ้า ใคร่จะยังพระผู้มีพระภาคเจ้าให้ทรงอนุญาตบรรพชาอีก จึงทูลว่า ข้าพระองค์จะยังพระราหุลกุมารให้ผนวชอย่างไร พระเจ้าข้า?
               พระมหาโมคคัลลานเถระปลงพระเกศาของพระกุมารแล้วถวายผ้ากาสายะ พระสารีบุตรได้ถวายสรณะ. พระมหากัสสปเถระได้เป็นโอวาทาจารย์. ก็บรรพชาและอุปสมบทมีอุปัชฌาย์เป็นมูล อุปัชฌาย์เท่านั้นเป็นใหญ่ ในบรรพชาและอุปสมบทนั้น อาจารย์ไม่เป็นใหญ่ เพราะเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์จึงกล่าวว่า ครั้งนั้นแล พระสารีบุตรผู้มีอายุ ยังพระราหุลกุมารให้ผนวชแล้ว ดังนี้.
               ด้วยประการอย่างนี้ คำทั้งปวงอันผู้ศึกษาพึงกล่าวว่า ครั้งนั้นแล พระเจ้าสุทโธทนผู้ศากยราชทรงเกิดความสลดพระหฤทัย เพราะทรงสดับว่า พระกุมารผนวชแล้ว ในเมื่อเขากล่าวว่า ข้าพเจ้าขอพร ดังนี้โดยไม่ระบุอย่าง คำว่า จงขอ เป็นคำไม่สมควรแก่บรรพชิตผู้เลี้ยงชีวิตด้วยอุญฉาจริยา (ขอทานเลี้ยงชีพ) ทั้งพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ไม่ทรงประพฤติ เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ในพระบาลีนั้นว่า มหาบพิตรผู้โคตมะ พระตถาคตทั้งหลาย ทรงเลิกพรเสียแล้วแล.

               พรใดสมควรที่พระองค์จะประทานได้ด้วย เป็นพรหาโทษมิได้ด้วย คือเป็นพรอันวิญญูชนทั้งหลายไม่พึงครหา เพราะกิริยาที่รับของหม่อมฉันเป็นปัจจัยด้วยหม่อมฉันขอพรนั้น.
               โหรทั้งหลายได้ทำนายพระโพธิสัตว์ในวันมงคลว่าจักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ฉันใดเล่า ได้ทำนายทั้งพระนันทะทั้งพระราหุลในวันมงคลว่า จักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ฉันนั้น. ครั้งนั้น พระราชาทรงเกิดพระอุตสาหะว่า เราจักชมจักรพรรดิสิริของบุตร ได้ทรงถึงความหมดหวังอย่างใหญ่หลวง เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงผนวชเสีย. จึงทรงยังพระอุตสาหะให้เกิดว่า เราจักชมจักรพรรดิสิริของพ่อนันทะ. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยังพระนันทะแม้นั้นให้ผนวชแล้ว. ท้าวเธอทรงอดกลั้นทุกข์แม้นั้นเสียได้ ทรงยังพระอุตสาหะให้เกิดว่า บัดนี้เราจักได้ชมจักรพรรดิสิริของพ่อราหุล ด้วยประการฉะนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยังพระราหุลนั้นให้ผนวชเสียอีก. เพราะฉะนั้น ความทุกข์จึงได้เกิดแก่ท้าวเธอยิ่งนักว่า บัดนี้แม้กุลวงศ์ขาดสายเสียแล้ว จักรพรรดิสิริจักมีมาแต่ไหนเล่า.
               ได้ยินว่า ท้าวเธอทรงดำริว่า แม้ว่าเราเป็นพุทธมามกะ ธัมมมามกะ สังฆมามกะ ก็จริงหรอก แต่เมื่อบุตรซึ่งบิดาของตนให้บวชเสีย ก็ไม่สามารถจะอดกลั้นญาติวิโยคทุกข์ได้. ชนเหล่าอื่นจักอดกลั้นได้อย่างไร ในเมื่อบุตรและนัดดาทั้งหลายของตนบวช เพราะเหตุนั้น ท้าวเธอจึงตรัสคำนี้ด้วยทรงทำพระหฤทัยว่า ทุกข์เห็นปานนี้ก่อน อย่าได้มีแม้แก่ชนเหล่าอื่นเลย. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำธรรมกถาว่า พระราชาตรัสเหตุเป็นเครื่องนำออกในศาสนา แล้วทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุทั้งหลาย บุตรที่มารดาบิดาไม่อนุญาต ไม่ควรให้บวช ดังนี้.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอาชนนีและชนก. ถ้ามีทั้ง ๒ ต้องลาทั้ง ๒. ถ้าบิดาหรือมารดาตายเสียแล้ว ผู้ใดยังเป็นอยู่ ต้องลาผู้นั้น. มารดาบิดาแม้บวชแล้ว ก็ควรลาแท้. ภิกษุเมื่อจะบอกลา ตนพึงไปบอกลาเองก็ได้ ส่งคนอื่นไปแทนก็ได้ ส่งกุลบุตรนั้นแหละไปว่า ท่านจงไปลามารดาบิดาแล้ว จงมา ดังนี้ก็ได้. ถ้ากุลบุตรนั้นบอกว่า ผมเป็นผู้อันมารดาบิดาอนุญาตแล้ว เมื่อเชื่อพึงให้บวช บิดาบวชเองแล้ว เป็นผู้ใคร่จะให้บุตรบวชบ้าง จงบอกเล่ามารดาแล้วจึงให้บวช. หรือว่ามารดาใคร่จะให้ธิดาบวช จงบอกเล่าบิดาก่อนแล้วจึงให้บวช.
               บิดาไม่มีความใยดีด้วยบุตรภริยา หนีไปเสีย มารดามอบบุตรแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ขอท่านทั้งหลายให้บุรุษนี้บวชเถิด เมื่อภิกษุกล่าวว่า บิดาของเขาไปไหน? เขาบอกว่า หนีไปเพื่อเล่นในจิตตเกลี (การเล่นต่างๆ ซึ่งทำให้ใจเพลิดเพลิน.)เสียแล้ว สมควรให้บุรุษนั้นบวชได้ มารดาหนีไปกับชายบางคนเสีย. ฝ่ายบิดามอบให้ว่า ขอท่านทั้งหลายจงให้บวชเถิด. แม้ในบุตรนี้ ก็นัยนั้น.

               ในอรรถกถาชื่อกุรุนทีแก้ว่า บิดาหย่าร้างไปแล้ว มารดาอนุญาตว่า ท่านจงบวชลูกของดิฉันเถิด เมื่อภิกษุกล่าวว่า บิดาของเขาไปไหน? เขากล่าวว่า ท่านจะต้องการอะไรด้วยบิดาเล่า ดิฉันจักทราบ ดังนี้ ควรให้บวชได้.
               มารดาบิดาตาย ทารกเจริญในสำนักญาติทั้งหลายมีน้าหญิงเป็นต้น ครั้นเมื่อทารกนั้นอันภิกษุให้บวช ญาติทั้งหลายอาศัยทารกนั้นแล้ว จะก่อการทะเลาะหรือพากันติเตียน เพราะเหตุนั้น เพื่อตัดการวิวาทเสีย ภิกษุพึงบอกเล่าเสียก่อน จึงให้บวช. แต่เมื่อไม่บอกเล่าก่อนให้บวช ก็ไม่มีอาบัติ.
               ชนผู้รับมาเลี้ยงในเวลาที่ยังเป็นเด็กย่อม ก็จัดเป็นมารดาบิดาได้. แม้ในมารดาบิดาชนิดนั้น ก็มีนัยเหมือนกัน.
               บุตรอาศัยตนคือภิกษุ เป็นอยู่ ไม่ได้อาศัยมารดาบิดา. ถ้าแม้บุตรนั้นเป็นพระราชา ภิกษุก็ต้องบอกเล่ามารดาบิดาก่อน จึงให้บวช. บุตรที่มารดาบิดาอนุญาตบวชแล้วกลับสึก. ถ้าแม้เขาบวชแล้วสึกตั้ง ๗ ครั้ง ภิกษุควรถามแล้วถามอีกในเวลาที่เขามาแล้วๆ จึงให้บวช.
               ถ้ามารดาบิดากล่าวอย่างนี้ว่า ลูกคนนี้สึกแล้วมาเรือน ไม่ทำการงานของเรา เขาบวชแล้วจะไม่ยังวัตรของท่านทั้งหลายให้เต็ม กิจที่จะต้องบอกลาสำหรับลูกคนนี้ ไม่มี ท่านทั้งหลายพึงยังเขาซึ่งมาแล้วให้บวชเถิด ดังนี้ แม้จะไม่ลาอีกยังกุลบุตรที่มารดาบิดาทอดทิ้งแล้วอย่างนี้ให้บวช ก็ควร.
               แม้บุตรใดอันมารดาบิดามอบให้ในเวลาที่ยังเด็กทีเดียวอย่างนี้ว่า เด็กนี้ ข้าพเจ้าถวายท่าน ท่านพึงให้บวชในเวลาที่ท่านปรารถนาเถิด ดังนี้ แม้บุตรนั้นมาแล้วๆ ภิกษุพึงบอกเล่าอีกเทียว จึงให้บวช. ส่วนบุตรใด มารดาบิดาอนุญาตในเวลาที่ตนยังเด็กอยู่ทีเดียวว่า ท่านเจ้าข้า ท่านพึงยังเด็กนี้ให้บวชเถิด ภายหลังในเวลาที่เด็กถึงความเจริญ กลับไม่อนุญาต. บุตรนี้นั้นภิกษุยังไม่ได้บอกเล่ามารดาบิดา ไม่พึงให้บวช.
               บุตรคนเดียวเที่ยวไปกับมารดาบิดามากล่าวว่า ขอท่านจงให้ข้าพเจ้าบวชเถิด. และเขาอันภิกษุกล่าวว่า ท่านจงบอกลาแล้วจงมา จึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่ไป ถ้าท่านไม่ให้ข้าพเจ้าบวช ข้าพเจ้าจะเผาวิหารเสีย หรือจะประหารพวกท่านด้วยศัสตรา หรือจะก่อความฉิบหาย ด้วยผลาญสวนเป็นต้นของญาติและอุปัฏฐากทั้งหลายของพวกท่าน หรือว่าข้าพเจ้าจะตกต้นไม้ตาย; หรือจะเข้าไปยังท่ามกลางโจร; หรือจะไปประเทศอื่น ดังนี้. สมควรให้เขาบวช เพื่อต้องการรักษาชีวิตไว้เท่านั้น.
               และถ้ามารดาบิดาของเขามาพูดว่า เหตุไรจึงให้บุตรของเราบวช? ภิกษุพึงบอกเนื้อความนั้นแก่เขาทั้งหลายแล้วพึงกล่าวว่า ฉันให้เขาบวชก็เพื่อจะป้องกันไว้ ท่านทั้งหลายจงสอบสวนบุตรดูเถิด. อนึ่งสมควรแท้ที่จะบวชให้คนซึ่งคิดว่า เราจะตกต้นไม้ แล้วขึ้นไปปล่อยมือและเท้าเสีย บุตรคนเดียวไปต่างประเทศแล้วขอบวช. ถ้าเขาลาแล้วจึงไปพึงให้บวชได้. ถ้าไม่ได้ลา พึงส่งภิกษุหนุ่มไปให้บอกลาแล้ว จึงให้บวช. ถ้าต่างประเทศนั้นเป็นที่ไกลยิ่งนัก. แม้จะให้บวชแล้วส่งไปแสดงพร้อมกับภิกษุทั้งหลายก็ควร.
               แต่ในอรรถกถาชื่อกุรุนทีแก้ว่า ถ้าต่างประเทศเป็นสถานไกลด้วย ทางกันดารมากด้วยจะให้บวชด้วยผูกใจว่า เราจักไปบอกเล่า ดังนี้ก็ควร. แต่ถ้ามารดาบิดามีบุตรมาก และเขากล่าวอย่างนี้ว่า ท่านเจ้าข้า บรรดาเด็กเหล่านี้ ท่านปรารถนาจะให้คนใดบวช พึงให้คนนั้นบวชเถิด ภิกษุพึงตรวจดูเด็กทั้งหลายแล้วปรารถนาคนใด พึงให้คนนั้นบวช ถ้าแม้สกุลหรือบ้านทั้งสิ้นอนุญาตไว้ว่า ท่านเจ้าข้า ในสกุลหรือในบ้านนี้ ท่านปรารถนาจะให้ผู้ใดบวช พึงให้ผู้นั้นบวชเถิด ดังนี้. ภิกษุปรารถนาผู้ใด พึงให้ผู้นั้นบวชได้.


               อรรถกถาราหุลวัตถุกถา จบ.               
               -----------------------------------------------------      

 

คำสำคัญ (Tags): #พระราหุล
หมายเลขบันทึก: 713972เขียนเมื่อ 13 สิงหาคม 2023 22:34 น. ()แก้ไขเมื่อ 13 สิงหาคม 2023 22:37 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท