การบำเพ็ญบารมีของพระผู้มีพระภาคเจ้า ตอนที่ ๕ มหาสุทัสสนจริยา


เราบำเพ็ญทานให้บริบูรณ์โดยไม่มีส่วนเหลือ เพื่อทำใจที่พร่องให้เต็ม จึงให้ทานแก่วณิพก เรามิได้อาลัย มิได้หวังอะไร ได้ให้ทาน เพื่อบรรลุสัมโพธิญาณ ฉะนี้แล

การบำเพ็ญบารมีของพระผู้มีพระภาคเจ้า ตอนที่ ๕ มหาสุทัสสนจริยา

พลตรี มารวย  ส่งทานินทร์

๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๖

เกริ่นนำ

            เราบำเพ็ญทานให้บริบูรณ์โดยไม่มีส่วนเหลือ เพื่อทำใจที่พร่องให้เต็ม จึงให้ทานแก่วณิพก เรามิได้อาลัย มิได้หวังอะไร ได้ให้ทาน เพื่อบรรลุสัมโพธิญาณ ฉะนี้แล

 

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ]

ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎก

 

๔. มหาสุทัสสนจริยา

ว่าด้วยพระจริยาของพระเจ้าจักรพรรดิทรงพระนามว่ามหาสุทัสสนะ

 

             [๒๘]   ในกาลที่เราเป็นพระเจ้าจักรพรรดินามว่ามหาสุทัสสนะ มีพลานุภาพมาก ได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินในกรุงกุสาวดี

             [๒๙]   ครั้งนั้น เราได้สั่งให้ประกาศทุกๆ วัน วันละ ๓ ครั้งว่า “ใครอยากได้อะไร ปรารถนาอะไร ใครจะให้ทรัพย์อะไร

             [๓๐]   ใครหิว ใครกระหาย ใครต้องการดอกไม้ ใครต้องการเครื่องลูบไล้ ใครเปลือย จักนุ่งห่มผ้าสีต่างๆ

             [๓๑]   ใครต้องการร่มสำหรับไปในหนทาง ก็จงมารับเอาไป ใครต้องการรองเท้าที่อ่อนนุ่มสวยงาม ก็จงมารับเอาไป เราให้ประกาศดังนี้ ทั้งเวลาเช้าและเวลาเย็นทุกๆ วัน

             [๓๒]   ทานนั้นเราไม่ตกแต่งไว้ในที่ ๑๐ แห่ง หรือในที่ ๑๐๐ แห่ง แต่เราตกแต่งทรัพย์ไว้สำหรับยาจกในที่หลายร้อยแห่ง

             [๓๓]   วณิพกจะมาในเวลากลางวันหรือจะมาในเวลากลางคืนก็ตาม ก็จะได้โภคะตามความปรารถนาพอเต็มมือกลับไปเสมอ

             [๓๔]   เราได้ให้มหาทานเห็นปานนี้จนตลอดชีวิต เราจะให้ทรัพย์ที่น่ารังเกียจก็หาไม่ และเราจะไม่มีการสั่งสมก็หาไม่

             [๓๕]   เหมือนคนไข้กระสับกระส่าย เพื่อจะพ้นจากโรค ต้องให้หมอพอใจด้วยทรัพย์จึงจะพ้นจากโรคได้ฉันใด

             [๓๖]   เราก็ฉันนั้นเหมือนกัน รู้อยู่ เพื่อบำเพ็ญทานให้บริบูรณ์โดยไม่มีส่วนเหลือ เพื่อทำใจที่พร่องให้เต็ม จึงให้ทานแก่วณิพก เรามิได้อาลัย มิได้หวังอะไร ได้ให้ทาน เพื่อบรรลุสัมโพธิญาณ ฉะนี้แล

มหาสุทัสสนจริยาที่ ๔ จบ

 

คำอธิบายเพิ่มเติมนำมาจากบางส่วนของอรรถกถา 

ขุททกนิกาย จริยาปิฎก การบำเพ็ญทานบารมี

๔. มหาสุทัสนจริยา

               อรรถกถามหาสุทัศนจริยาที่ ๔               

 

               ในนครชื่อว่ากุสาวดี. ณ ที่นั้น บัดนี้เป็นที่ตั้งเมืองกุสินารา. มีกษัตริย์พระนามว่ามหาสุทัศนะ. เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ คือยังจักรรัตนะให้หมุนไป หรือหมุนไปด้วยจักรสมบัติ ๔. เพราะมีความหมุนไปแห่งจักร คืออาณาเขตอันผู้อื่นครอบงำไม่ได้ ล่วงล้ำไม่ได้ ประกอบด้วยสังคหวัตถุอันเป็นอัจฉริยธรรม ๔ ประการ. มีพลานุภาพมาก เพราะประกอบด้วยหมู่กำลังมาก อันมีปริณายกแก้วเป็นผู้นำ มีช้างแก้วเป็นต้นเป็นประมุข และกำลังพระวรกายอันเกิดด้วยบุญญานุภาพ.
               ได้ยินว่า ในอดีตกาล พระมหาบุรุษบังเกิดในตระกูลคฤหบดีในอัตภาพที่ ๓ จากอัตภาพที่เป็นพระเจ้าจักรพรรดิมหาสุทัศนะเข้าไปยังป่าด้วยการงานของตน เห็นพระเถระรูปหนึ่งในศาสนาของพระพุทธเจ้าผู้ดำรงพระชนม์อยู่ อาศัยอยู่ในป่า นั่งอยู่ ณ โคนต้นไม้ คิดว่าเราควรจะสร้างบรรณศาลาให้แก่พระคุณเจ้าในป่านี้แล้ว ละการงานของตนตัดเครื่องก่อสร้างปลูกบรรณศาลาให้เป็นที่สมควรจะอยู่ ประกอบประตู กระทำเครื่องปูลาดด้วยไม้ คิดว่าพระเถระจักใช้หรือไม่ใช้หนอ แล้วนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง.
               พระเถระมาจากภายในบ้านเข้าไปยังบรรณศาลา นั่ง ณ ที่ปูลาดด้วยไม้.
               แม้พระมหาสัตว์ก็เข้าไปหาพระเถระนั้นแล้วถามว่า ข้าแต่พระคุณเจ้า บรรณศาลาเป็นที่ผาสุขอยู่หรือ.
               พระเถระตอบว่า ท่านผู้มีหน้างาม เป็นที่ผาสุขดี สมควรแก่สมณะ. ข้าแต่พระคุณเจ้า พระคุณเจ้าจักอยู่ ณ ที่นี้หรือ. ถูกแล้ว อุบาสก.
               มหาบุรุษทราบว่าพระเถระจักอยู่ โดยอาการแห่งการรับนิมนต์ จึงขอให้พระเถระรับปฏิญญาว่า จะมายังประตูเรือนของเราตลอดไป แล้วสละภัตตาหารในเรือนของตนเป็นนิจ.
               มหาบุรุษปูเสื่อลำแพนในบรรณศาลาแล้วตั้งเตียงและตั่งไว้. วางแท่นพิงไว้. ตั้งไม้เช็ดเท้าไว้. ขุดสระโบกขรณี, ทำที่จงกรมเกลี่ยทราย. ล้อมบรรณศาลาด้วยรั้วหนามเพื่อป้องกันอันตราย. โบกขรณีและที่จงกรมก็ล้อมเหมือนกัน. ที่สุดภายในรั้วแห่งสถานที่เหล่านั้นปลูกต้นตาลไว้เป็นแถว.
               ครั้นให้ที่อยู่สำเร็จลงด้วยวิธีอย่างนี้แล้ว จึงได้ถวายสมณบริขารทั้งหมดมีไตรจีวรเป็นต้นแก่พระเถระ.
               จริงอยู่ ในกาลนั้นเครื่องใช้สอยของบรรพชิตมีอาทิ ไตรจีวร บิณฑบาต ถลกบาตร หม้อกรองน้ำ ภาชนะใส่ของบริโภค ร่ม รองเท้า หม้อน้ำ เข็ม กรรไกร ไม้เท้า สว่าน ดีปลี มีดตัดเล็บ ประทีป.
               ชื่อว่าพระโพธิสัตว์มิได้ถวายแก่พระเถระ มิได้มีเลย.
               พระโพธิสัตว์รักษาศีล ๕ รักษาศีลอุโบสถ บำรุงพระเถระตลอดชีวิต.
               พระเถระอาศัยอยู่ ณ ที่นั้นได้บรรลุพระอรหัตแล้วปรินิพพาน.
               แม้พระโพธิสัตว์ก็ได้ทำบุญตราบเท่าอายุไปบังเกิดในเทวโลก จุติจากเทวโลกนั้นมาสู่มนุษยโลก บังเกิดในราชธานีกุสาวดี ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิพระนามว่ามหาสุทัศนะราชา.
               อานุภาพแห่งความเป็นใหญ่ของพระราชามหาสุทัศนะนั้น พระราชามหาสุทัศนะนั้น มีเมืองประเทศราช ๘๔,๐๐๐ อันมีเมืองกุสาวดีราชธานีเป็นประมุข. มีปราสาท ๘๔,๐๐๐ มีธรรมปราสาทเป็นประมุข. มีเรือนยอด ๘๔,๐๐๐ มีเรือนยอดหมู่ใหญ่เป็นประมุข.
               ทั้งหมดเหล่านั้นเกิดด้วยอานิสงส์แห่งบรรณศาลาหลังหนึ่งซึ่งพระองค์สร้างถวายแก่พระเถระนั้น. บัลลังก์ ๘๔,๐๐๐ ช้าง ๑,๐๐๐ ม้า ๑,๐๐๐ รถ ๑,๐๐๐ เกิดด้วยอานิสงส์แห่งเตียงและตั่งที่พระองค์ถวายแก่พระเถระนั้น. แก้วมณี ๘๔,๐๐๐ เกิดด้วยอานิสงส์แห่งประทีปที่พระองค์ถวายแก่พระเถระ. สระโบกขรณี ๘๔,๐๐๐ เกิดด้วยอานิสงส์ แห่งสระโบกขรณีสระหนึ่ง. สตรี ๘๔,๐๐๐ บุตร ๑,๐๐๐ และคฤหบดี ๑,๐๐๐ เกิดด้วยอานิสงส์แห่งการถวายเครื่องบริขารของบรรพชิตอันสมควรแก่สมณบริโภคมีถลกบาตรเป็นต้น. แม้โคนม ๘๔,๐๐๐ เกิดด้วยอานิสงส์แห่งการถวายเบญจโครส. คลังผ้า ๘๔,๐๐๐ เกิดด้วยอานิสงส์แห่งการถวายเครื่องนุ่งห่ม. หม้อหุงข้าว ๘๔,๐๐๐ เกิดด้วยอานิสงส์แห่งการถวายโภชนะ.
               พระโพธิสัตว์เป็นพระราชาธิราชประกอบด้วย รตนะ ๗ และฤทธิ์ ๔ ทรงชนะครอบครองปฐพีมณฑลมีสาครเป็นที่สุดทั้งสิ้นโดยธรรม ทรงสร้างโรงทานในที่หลายร้อยที่ตั้งมหาทาน. ทรงให้ราชบุรุษตีกลองป่าวประกาศในพระนคร วันละ ๓ ครั้งว่า ผู้ใดปรารถนาสิ่งใด ผู้นั้นจงมาที่โรงทานรับเอาสิ่งนั้นเถิด.
               ด้วยบทนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง สรุปด้วยทานบารมี.
               เพราะในนครยาว ๗ โยชน์ กว้าง ๗ โยชน์ ล้อมไปด้วยแนวต้นตาล ๗ แถว. ณ แนวต้นตาลเหล่านั้น มีสระโบกขรณี ๘๔,๐๐๐ สระ เราตั้งมหาทานไว้ที่ฝั่งสระโบกขรณี เฉพาะสระหนึ่งๆ.
               สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า 
               ดูก่อนอานนท์ พระราชามหาสุทัศนะทรงตั้งทานเห็นปานนี้ไว้ ณ ฝั่งสระโบกขรณีเหล่านั้น คือ ตั้งข้าวไว้สำหรับผู้ต้องการข้าว ตั้งน้ำไว้สำหรับผู้ต้องการน้ำ ตั้งผ้าไว้สำหรับผู้ต้องการผ้า ตั้งยานไว้สำหรับผู้ต้องการยาน ตั้งที่นอนไว้สำหรับผู้ต้องการที่นอน ตั้งสตรีไว้สำหรับผู้ต้องการสตรี ตั้งเงินไว้สำหรับผู้ต้องการเงิน ตั้งทองไว้สำหรับผู้ต้องการทอง.
               จริงอยู่ มหาบุรุษปรารถนาแต่จะให้ทาน จึงสร้างเครื่องประดับอันสมควรแก่สตรีและบุรุษ ตั้งสตรีไว้เพื่อให้รับใช้ในที่นั้น และตั้งทานทั้งหมดนั้นไว้เพื่อบริจาค จึงให้ตีกลองป่าวร้องว่า พระราชามหาสุทัศนะพระราชทานทาน พวกท่านจงบริโภคทานนั้นตามสบายเถิด.
               มหาชนไปยังฝั่งสระโบกขรณีอาบน้ำ นุ่งห่มผ้าเป็นต้นแล้วเสวยมหาสมบัติ ผู้ใดมีสมบัติเช่นนี้แล้ว ผู้นั้นก็ละไป ผู้ใดไม่มี ผู้นั้นก็ถือเอาไป. ผู้ใดนั่งบนยานช้างเป็นต้นก็ดี เที่ยวไปตามสบาย นอนบนที่นอนอันประเสริฐก็ดี ก็เอาสมบัติไปเสวยความสุขกับสตรีบ้าง ประดับเครื่องประดับล้วนแก้ว ๗ ประการก็เอาสมบัติไป ถือเอาสมบัติจากสำนักที่ได้เอาไป เมื่อไม่ต้องการก็ละไป.
               พระราชามหาสุทัศนะทรงกระวีกระวาดบริจาคทานแม้ทุกๆ วัน.
               ในครั้งนั้น ชาวชมพูทวีปไม่มีการงานอย่างอื่น บริโภคทาน เสวยสมบัติเที่ยวเตร่กันไป. ทานนั้นมิได้มีกำหนดแล ผู้มีความต้องการจะมาเมื่อใดทั้งกลางคืนทั้งกลางวัน ก็พระราชทานเมื่อนั้น.
               ด้วยประการฉะนี้ มหาบุรุษทรงทำชมพูทวีปทั้งสิ้นให้สนุกสนานรื่นเริง ยังมหาทานให้เป็นไปตลอดพระชนมายุ.
               ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า วณิพกจะมาในเวลากลางวันก็ตามหรือในเวลากลางคืนก็ตาม เป็นต้น.
               ท่านกล่าวถึงทานตามความชอบใจ เพราะว่าผู้ขอคนใดปรารถนาไทยธรรมใดๆ พระโพธิสัตว์ทรงให้ทานนั้นๆ แก่ผู้ขอคนนั้น. พระโพธิสัตว์มิได้ทรงคิดถึงความที่ไทยธรรมนั้นมีค่ามากหาได้ยากอันเป็นการกีดขวางพระองค์เลย. แสดงถึงทานตามความปรารถนา เพราะว่าผู้ขอทั้งหลายปรารถนาเท่าใด พระมหาสัตว์ทรงให้เท่านั้นไม่ลดหย่อน เพราะมีพระอัธยาศัยกว้างขวางและเพราะมีอำนาจมาก.
               เราได้ให้ทรัพย์ที่น่าเกลียดก็หามิได้ คือทรัพย์ของเรานี้น่าเกลียดไม่น่าพอใจก็หามิได้ เพราะเหตุนั้น เราเมื่อให้มหาทานเห็นปานนี้ จึงให้นำทรัพย์ออกจากเรือน. เราไม่มีการสะสมก็หามิได้ คือการสะสมทรัพย์ การสงเคราะห์ด้วยทรัพย์ในที่ใกล้ไม่มีแก่เราก็หามิได้.
               มหาทานนี้ของพระมหาสัตว์นั้นเป็นไปแล้วด้วยอัธยาศัยใด เพื่อแสดงถึงอัธยาศัยนั้นท่านจึงกล่าวไว้. เหมือนคนไข้กระสับกระส่าย ดังนี้เป็นต้น. บทนี้แสดงเนื้อความพร้อมด้วยการเปรียบเทียบโดยอุปมา เหมือนบุรุษถูกโรคครอบงำกระสับกระส่าย ประสงค์จะให้ตนพ้นจากโรค ต้องการให้หมอผู้เยี่ยวยาพอใจ คือยินดีด้วยทรัพย์มีเงินและทองเป็นต้น แล้วปฏิบัติตามวิธีก็พ้นจากโรคนั้นฉันใด แม้เราก็ฉันนั้นเหมือนกัน ประสงค์จะเปลื้องสัตว์โลกทั้งสิ้นอันได้รับทุกข์จากโรคคือกิเลส และจากโรคคือทุกข์ในสงสารทั้งสิ้น รู้อยู่ว่าการบริจาคสมบัติทั้งปวงนี้เป็นทานบารมี เป็นอุบายแห่งการปลดเปลื้องจากโลกนั้น เพื่อยังอัธยาศัยของสัตว์ทั้งหลายให้บริบูรณ์ ด้วยอำนาจแห่งผู้รับไทยธรรมโดยไม่มีเศษเหลือ และด้วยอำนาจแห่งมหาทานโดยไม่มีเศษเหลือ.
               อนึ่ง ทานบารมีของเรายังไม่บริบูรณ์แก่ตน เพราะฉะนั้น เพื่อยังใจที่บกพร่องให้เต็ม จึงได้ให้ทานนั้นแก่วณิพกคือผู้ขอ เราให้มหาทานเห็นปานนี้ เรามิได้อาลัยมิได้หวังอะไรในการให้ทานนั้นและในผลของการให้นั้น ให้เพื่อบรรลุพระสัมโพธิญาณ คือเพื่อบรรลุพระสัพพัญญุตญาณอย่างเดียว.
               พระมหาสัตว์ยังมหาทานให้เป็นไปอย่างนี้ เสด็จขึ้นสู่ธรรมปราสาทอันเกิดด้วยบุญญานุภาพของพระองค์ ทำลายกามวิตกเป็นต้น ณ ประตูเรือนยอดหมู่ใหญ่นั่นเอง ประทับนั่งเหนือราชบัลลังก์ทำด้วยทองคำ ณ ประตูเรือนยอดนั้นยังฌานและอภิญญาให้เกิด เสด็จออกจากที่นั้น เสด็จเข้าไปยังเรือนยอดสำเร็จด้วยทอง ประทับนั่งเหนือบัลลังก์สำเร็จด้วยเงิน ณ เรือนยอดนั้นทรงเจริญพรหมวิหาร ๔ ยังกาลเวลาให้น้อมล่วงไปด้วยฌานและสมาบัติตลอด ๘๔,๐๐๐ ปี.
               ทรงให้โอวาทแก่นางสนมกำนัลใน ๘๔,๐๐๐ คนมีพระนางสุภัททาเทวีเป็นหัวหน้า และอำมาตย์กับสมาชิกที่ประชุมกันเป็นต้น ซึ่งเข้าไปเพื่อเฝ้าในมรณสมัยด้วยคาถานี้ว่า 
               สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ มีการเกิดขึ้น และมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา สังขารทั้งหลายครั้นเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป การเข้าไปสงบสังขารเหล่านั้นเป็นสุข.
               เมื่อสิ้นสุดพระชนมายุ ก็ได้เสด็จสู่พรหมโลก.
               พระนางสุภัททาเทวีในครั้งนั้น ได้เป็นพระมารดาพระราหุลในครั้งนี้.
               ปริณายกแก้ว คือ พระราหุล.
               บริษัทที่เหลือ คือ พุทธบริษัท.
               ส่วนพระราชามหาสุทัศนะ คือพระโลกนาถ.
               แม้ในจริยานี้เป็นอันได้บารมี ๑๐ โดยสรุป. ทานบารมีเท่านั้นมาในบาลี เพราะอัธยาศัยในการให้กว้างขวางมาก. แม้ดำรงอยู่ในความเป็นใหญ่ในทวีปทั้ง ๔ อันรุ่งเรืองด้วยรตนะ ๗ อย่างมากมาย ก็ไม่พอใจโภคสุขเช่นนั้น ข่มกามวิตกเป็นต้นแต่ไกล ยังกาลเวลาให้น้อมไปด้วยสมาบัติตลอด ๘๔,๐๐๐ ปี ของผู้ประพฤติในมหาทานเห็นปานนั้น แม้กระทำธรรมกถาปฏิสังยุตด้วยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น ก็ไม่ทอดทิ้งความขวนขวายในวิปัสสนาในที่ทั้งปวง.

               จบอรรถกถามหาสุทัศนจริยาที่ ๔               
               -----------------------------------------------------

 

หมายเลขบันทึก: 713058เขียนเมื่อ 5 มิถุนายน 2023 11:02 น. ()แก้ไขเมื่อ 5 มิถุนายน 2023 11:02 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท