ผมรับรู้ความยากลำบากในการสร้างตัวตนของสำนักวิชาการของ สบช. ที่เกิดจากระบบการบริหารงานส่วนกลาง ที่งานไปรวมศูนย์ที่รองอธิการบดี จึงจินตนาการหาคุณค่าใหม่ของสำนักวิชาการ ไม่ทราบว่าจะเป็นจินตนาการเพ้อฝัน หรือจะเป็น “ชาลาสร้างสรรค์” (creative platform) ยิ่งใหญ่
อาศัยวิกฤติเป็นโอกาส สำนักวิชาการ สูญเสียภารกิจด้านกำกับคุณภาพของงานวิชาการ น่าจะกลายเป็นโอกาส ในการทำงานสร้าง “ชาลาปฏิบัติการ” (operating platform) ใหม่ ที่เป็นภารกิจด้านสร้างสรรค์ (creation) ทางวิชาการ ไม่ใช่ภารกิจด้าน regulation ที่ท่านรองอธิการบดีได้รับผิดชอบแล้ว
การสร้างสรรค์ทางวิชาการที่ยิ่งใหญ่คือ นำความรู้หรือวิชาการเข้าไปรับใช้ประเทศหรือชุมชน โดยเข้าไปทำงานสร้างสรรค์ตามภารกิจที่เป็นจุดเน้นของสถาบัน ซึ่งในกรณีของ สบช. คือ ความเป็นเลิศด้านวิชาการเพื่อระบบสุขภาพชุมชน
สำนักวิชาการ สบช. ทำหน้าที่รวมพลังภายใน สบช. ภายในชุมชน และกลไกส่งเสริมการพัฒนาประเทศของส่วนกลาง ร่วมกันแสวงหาและสร้างสรรค์แนวทางหรือวิธีการใหม่ๆ ในการทำงานวิชาการเพื่อพัฒนาระบบสุขภาพชุมชน
เปลี่ยนจากงานกำกับกฎ (regulatory) เป็นทำงานด้านพัฒนาการ (developmental) หรือกล่าวแรงๆ ว่า งานแหวกกฎเดิม หาทางสร้างแนวคิดใหม่ ชาลาปฏิบัติการใหม่ ซึ่งจะนำไปสู่กฎใหม่
เป็นหน่วยงานที่ชักชวนฝ่ายบริหารและหน่วยปฏิบัติภายใน สบช. และกลไกภายนอก สบช. มาร่วมกันหาทางสร้างและใช้ พลังวิชาการในรูปแบบใหม่ๆ เน้นที่ผลกระทบด้านสุขภาวะในชุมชน ตามปณิธานของ สบช. ที่จะเป็นสถาบันอุดมศึกษาเพื่อระบบสุขภาพชุมชน
ข้างบนนั้น เขียนวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๖๖ แต่ในการประชุมสภาเมื่อวันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๖๖ ท่าน ผอ. สำนักวิชาการ นพ. จิโรจ สินธวานนท์ ได้นำเสนอแผนยุทธศาสตร์ของสำนักวิชาการต่อสภาสถาบัน ความจึงแตกว่า ขณะนี้กำลังคนอยู่ที่ ๔ กองที่ตามแผนผังการแบ่งส่วนราชการ อยู่ภายใต้สำนักวิชาการ แต่ในความเป็นจริง กองทั้ง ๔ ทำงานสนองรองอธิการบดีเป็นหลัก และในสำนักวิชาการมีแต่ผู้อำนวยการกับรอง ๒ คน รวมเป็นมีแค่ผู้บริหาร ๓ คน ไม่มีเจ้าหน้าที่สายสนับสนุนเลย
ผมแปลกใจที่ท่านอธิการบดีรู้สภาพนี้ แต่ไม่ได้แก้ไข
เมื่อสำนักวิชาการอยู่ในสภาพเช่นนี้ ผมตีความว่าทีมบริหารมหาวิทยาลัยมองสำนักวิชาการเป็นส่วนเกิน ที่จัดตั้งขึ้นโดยสภาสถาบันชุดรักษาการ ตาม พรบ. สถาบันพระบรมราชชนก พ.ศ. ๒๕๖๒ มาตรา ๑๐ และมีการสรรหาผู้อำนวยการสำนักมาก่อนแล้ว โดยผู้รักษาการอธิการบดีท่านก่อน อธิการบดีท่านนี้จึงไม่ถือว่า ผอ. สำนักวิชาการเป็นทีมงานของท่าน
ข้อเสนอข้างบนของผมจึงไม่น่าจะเป็นไปได้
จึงเกิดคำถามว่า สบช. ควรใช้ประโยชน์ของสำนักวิชาการอย่างไร
เมื่อรู้ความจริงข้างต้น ผมจึงรู้สึกชื่นชมท่าน ผอ. สำนักวิชาการที่อดทนต่อสภาพการทำงานที่กำลังเผชิญอยู่ ส่งผลให้การเสนอแผนยุทธศาสตร์มีลักษณะเชิงทฤษฎีหรือหลักการเท่านั้น ไม่สามารถระบุได้ว่าจะส่งมอบผลงานที่ระบุได้เมื่อไร เพราะไม่มีมือไม้แขนขา มีแต่หัวอยู่ ๓ หัว
จึงเป็นหน้าที่ของท่านอธิการบดี ที่จะต้องเสนอต่อสภาสถาบันว่า จะดำเนินการเพื่อให้สำนักวิชาการเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสรรค์วิชาการของ สบช. ที่มีกำลังแขนขาให้ดำเนินการ ได้อย่างไร
ในฐานะนายกสภา ผมมีหน้าที่ร่วมกันกับกรรมการสภา ในการกำกับดูแลให้ structure และ function ของ สบช. อยู่ในสภาพ healthy and strong จึงต้องขอให้ท่านเลขานุการสภา บรรจุเรื่อง นโยบายและการดำเนินการเพื่อใช้สำนักวิชาการเป็นส่วนหนึ่งของกลไกสร้าง transformation ทางวิชาการของสถาบัน และเป็นกลไกสร้างการเรียนรู้จากการปฏิบัติงานทางวิชาการ เพื่อหมุนวงจรการเรียนรู้และพัฒนาความเข้มแข็งทางวิชาการของ สบช. อย่างต่อเนื่อง ในการประชุมสภาวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๖๖ โดยท่านอธิการบดีเป็นผู้เสนอ ในฐานะ ซีอีโอ ของสถาบัน
วิจารณ์ พานิช
๙ ม.ค. ๖๖ เพิ่มเติม ๑๑ มี.ค. ๖๖
ไม่มีความเห็น