การบำเพ็ญบารมีของพระผู้มีพระภาคเจ้า ตอนที่ ๒ อกิตติจริยา


เมื่อเราให้ทานแก่อินทพราหมณ์นั้น เราจะได้ปรารถนายศและลาภก็หามิได้ แต่เราปรารถนาพระสัพพัญญุตญาณเท่านั้น จึงได้ประพฤติกรรมเหล่านั้น ในครั้งนั้น พระอนุรุทธเถระเป็นท้าวสักกะ พระโลกนาถเจ้าเป็นอกิตติบัณฑิต

การบำเพ็ญบารมีของพระผู้มีพระภาคเจ้า ตอนที่ ๒ อกิตติจริยา

พลตรี มารวย  ส่งทานินทร์

๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๖

เกริ่นนำ

            เมื่อเราให้ทานแก่อินทพราหมณ์นั้น เราจะได้ปรารถนายศและลาภก็หามิได้ แต่เราปรารถนาพระสัพพัญญุตญาณเท่านั้น จึงได้ประพฤติกรรมเหล่านั้น ฉะนี้แล

 

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ]

ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎก

________________

๑. การบำเพ็ญทานบารมี

๑. อกิตติจริยา

ว่าด้วยจริยาของอกิตติดาบส

 

             [๑]   ใน ๔ อสงไขยแสนกัป ความประพฤติใดในระหว่างนี้ ความประพฤตินั้นทั้งหมด เป็นเครื่องบ่มพระโพธิญาณ

             [๒]   เราจักเว้นความประพฤติในภพน้อยภพใหญ่ในกัปที่ล่วงแล้วเสีย จักบอกความประพฤติในกัปนี้ เธอจงฟังเรา

             [๓]   เราเป็นดาบสมีนามว่าอกิตติ เข้าไปอาศัยอยู่ในป่าใหญ่ที่ว่างเปล่า สงัดเงียบปราศจากเสียงอื้ออึงในกาลใด

             [๔]   ในกาลนั้น ด้วยเดชแห่งความประพฤติตบะของเรา ท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่ในดาวดึงสเทวโลก ทรงร้อนพระทัย แปลงร่างเป็นพราหมณ์ เข้ามาหาเราเพื่อภิกษา

             [๕]   เราได้เห็นอินทพราหมณ์มายืนอยู่ใกล้ประตูบรรณศาลาของเรา จึงหยิบใบหมากเม่าที่เรานำมาจากป่า ซึ่งไม่มีน้ำมันทั้งไม่มีรสเค็ม มอบให้จนหมดพร้อมทั้งภาชนะ

             [๖]    เราครั้นให้ใบหมากเม่าแก่อินทพราหมณ์นั้นแล้ว จึงคว่ำภาชนะ ละการแสวงหาใหม่ เข้าไปยังบรรณศาลา

             [๗]    แม้ในวันที่ ๒ ที่ ๓ อินทพราหมณ์ก็เข้ามายังสำนักของเรา เราไม่หวั่นไหว ไม่ยึดมั่น ได้ให้ไปเหมือนอย่างนั้น

             [๘]    ในสรีระของเรามีผิวพรรณไม่เปลี่ยนแปลง เพราะการอดอาหารนั้นเป็นปัจจัยเลย เรายับยั้งอยู่ตลอดวันนั้นๆ ด้วยปีติ สุข และความยินดี

             [๙]    ถ้าเราพึงได้ทักขิไณยบุคคลที่ประเสริฐ แม้เดือนหนึ่ง สองเดือน เราก็ไม่หวั่นไหว ไม่ท้อใจ พึงให้ทานอันอุดม

             [๑๐]   เมื่อเราให้ทานแก่อินทพราหมณ์นั้น เราจะได้ปรารถนายศและลาภก็หามิได้ แต่เราปรารถนาพระสัพพัญญุตญาณเท่านั้น จึงได้ประพฤติกรรมเหล่านั้น ฉะนี้แล

อกิตติจริยาที่ ๑ จบ

 

คำอธิบายเพิ่มเติมนำมาจากบางส่วนของอรรถกถา 

ขุททกนิกาย จริยาปิฎก การบำเพ็ญทานบารมี

๑. อกิตติจริยา

          

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงยังอุตสาหะในการฟังบุรพจริยาของพระองค์ให้เกิดแก่ท่านพระสารีบุตรเถระ และแก่บริษัทกับทั้งเทวดาและมนุษย์แล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงกระทำบุรพจริยานั้นซึ่งปกปิดไว้ในระหว่างภพให้ประจักษ์ ดุจมะขามป้อมในฝ่ามือฉะนั้น จึงตรัสพระดำรัสมีอาทิว่า : ในกาลใด เราเป็นดาบสชื่ออกิตติ เข้าไปอาศัยอยู่ในป่าใหญ่อันว่างเปล่า สงัดเงียบปราศจากเสียงอื้ออึง.
           ในกาลนั้น พระศาสดาตรัสถึงความที่พระองค์เป็นดาบสชื่ออกิตติ แก่พระธรรมเสนาบดี.
           มีกถาเป็นลำดับดังต่อไปนี้ 
           ได้ยินว่า ในอดีตกาล ภัทรกัปนี้แล ครั้นเมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์อุบัติในตระกูลพราหมณ์มหาสาล มีสมบัติ ๘๐ โกฏิ มีชื่อว่าอกิตติ. เมื่ออกิตติเดินได้ น้องสาวก็เกิดมีชื่อว่ายสวดี. เมื่ออกิตติมีอายุได้ ๑๕ ปีก็ไปเรียนศิลปะทุกอย่างในเมืองตักกสิลา เรียนสำเร็จแล้วก็กลับ.
           ครั้งนั้น มารดาบิดาของอกิตติได้ถึงแก่กรรม. อกิตติทำฌาปนกิจมารดาบิดาแล้วล่วงไปสองสามวัน ให้ผู้จัดการมรดกตรวจตราทรัพย์สิน ครั้นสดับว่าทรัพย์สินส่วนของมารดาประมาณเท่านี้ ส่วนของบิดาประมาณเท่านี้ ส่วนของปู่ตาประมาณนี้ จึงเกิดสังเวชว่า ทรัพย์นี้เท่านั้นยังปรากฏอยู่ แต่ผู้จัดหาทรัพย์มาไม่ปรากฏ ทั้งหมดละทรัพย์นี้ไป แต่เราจักเอาทรัพย์นี้ไป จึงกราบทูลพระราชาให้ตีกลองป่าวประกาศว่า ผู้มีความต้องการทรัพย์จงมายังเรือนของอกิตติบัณฑิต.
           อกิตติบัณฑิตบริจาคมหาทานตลอด ๗ วัน เมื่อทรัพย์ยังไม่หมดจึงคิดว่า ประโยชน์อะไรด้วยธนกรีฑานี้แก่เรา ผู้มีความต้องการจักรับตามชอบใจ จึงเปิดประตูเรือนแล้วให้เปิดห้องเก็บสมบัติอันเต็มไปด้วยเงินและทองเป็นต้น ประกาศว่า ชนทั้งหลายจงนำเอาทรัพย์ที่เราให้แล้วไปเถิด แล้วละเรือนไปเมื่อวงศ์ญาติร่ำไห้อยู่ ได้พาน้องสาวออกจากกรุงพาราณสีข้ามแม่น้ำไป ๒-๓ โยชน์ ออกบวชสร้างบรรณศาลาอยู่ ณ ภูมิภาคน่ารื่นรมย์ ท่าที่อกิตติดาบสข้ามแม่น้ำไปชื่อท่าอกิตติ.
            พวกมนุษย์ชาวบ้านชาวนิคมและชาวเมืองหลวงได้ฟังว่า อกิตติบัณฑิตบวชแล้ว ต่างมีใจจดจ่อด้วยคุณธรรมของอกิตติดาบสจึงพากันบวชตาม. อกิตติดาบสได้มีบริวารมาก. ลาภและสักการะเป็นอันมากเกิดขึ้นดุจพุทธุปาทกาล.
            ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ดำริว่า ลาภและสักการะอันมากนี้ แม้บริวารก็มาก แม้เพียงกายวิเวกก็ไม่ได้ ในที่นี้ เราควรอยู่แต่ผู้เดียว เพราะเป็นผู้มีความมักน้อยอย่างยิ่ง และเพราะเป็นผู้น้อมไปในวิเวกจึงไม่ให้ใครๆ รู้ออกไปผู้เดียว ถึงแคว้นทมิฬตามลำดับ อยู่ในสวนใกล้ท่ากาวีระยังฌานและอภิญญาให้เกิด.
            แม้ ณ ที่นั้น ลาภและสักการะใหญ่ก็เกิดขึ้นแก่อกิตติดาบสนั้น.
            อกิตติดาบสรังเกียจลาภและสักการะใหญ่นั้นจึงทิ้งเหาะไปทางอากาศหยั่งลง ณ การทวีป, ในครั้งนั้น การทวีปมีชื่อว่าอหิทวีป. อกิตติดาบสอาศัยต้นหมากเม่าใหญ่ ณ ที่นั้น สร้างบรรณศาลาพักอาศัยอยู่. แต่เพราะความเป็นผู้มักน้อยจึงไม่ไปในที่ไหนๆ บริโภคผลไม้ในกาลที่ต้นไม้นั้นมีผล เมื่อยังไม่มีผลก็บริโภคใบไม้ชงน้ำ ยังกาลเวลาให้น้อมไปด้วยฌานและสมาบัติ.
            ด้วยเดชแห่งศีลของอกิตติดาบสนั้น บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ของท้าวสักกะนั้นแสดงอาการเร่าร้อน. ท้าวสักกะรำพึงอยู่ว่า ใครหนอประสงค์ให้เราเคลื่อนจากที่นี้ ทอดพระเนตรเห็นอกิตติบัณฑิตทรงดำริว่า ดาบสนี้ประพฤติตบะที่ทำได้ยากอย่างนี้เพื่ออะไรหนอ หรือจะปรารถนาความเป็นท้าวสักกะ หรือว่าอย่างอื่น เราจักทดลองดาบสนั้นดู.
            จริงอยู่ ดาบสนี้มีความประพฤติทางกายวาจาและใจบริสุทธิ์สะอาด ไม่อาลัยในชีวิต บริโภคใบหมากเม่าชงน้ำ หากปรารถนาความเป็นท้าวสักกะ จักให้ใบหมากเม่าชงน้ำของตนแก่เรา หากไม่ปรารถนาก็จักไม่ให้ จึงแปลงเพศเป็นพราหมณ์ไปหาอกิตติดาบสนั้น.
            แม้พระโพธิสัตว์ก็รินใบหมากเม่าออกคิดว่าจักบริโภคน้ำใบหมากเม่าเย็น นั่งอยู่ที่ประตูบรรณศาลา.
            ลำดับนั้น ท้าวสักกะมีรูปเป็นพราหมณ์มีความต้องการภิกษา ได้ยืนข้างหน้าพระดาบส.
            พระมหาสัตว์เห็นพราหมณ์นั้นก็ดีใจด้วยคิดว่า เป็นลาภของเราแล้วหนอ เราได้ดีแล้วหนอ เราไม่ได้เห็นยาจกมานานแล้วหนอ คิดต่อไปว่า วันนี้เราจักยังความปรารถนาของเราให้ถึงที่สุดแล้วจักให้ทาน จึงถือเอาด้วยภาชนะที่มีอาหารสุกไป แล้วนึกถึงทานบารมี ใส่ลงในภิกษาภาชนะของพราหมณ์นั้นจนหมด.
            ท้าวสักกะรับภิกษานั้นไปได้หน่อยหนึ่งก็อันตรธานไป.
            แม้พระมหาสัตว์ ครั้นให้ภิกษาแก่พราหมณ์นั้นแล้วก็ไม่นึกที่จะแสวงหาอีก ยังกาลเวลาให้น้อมล่วงไปด้วยปีติสุขนั้นนั่นเอง.
            ในวันที่สอง ท่านอกิตติดาบสนั่งอยู่ที่ประตูบรรณศาลา ก็ต้มใบหมากเม่าอีกคิดว่า เมื่อวานนี้ เราไม่ได้ทักขิไณยบุคคล วันนี้เราจะได้อย่างไรหนอ. ท้าวสักกะก็เสด็จมาเหมือนเดิม. พระมหาสัตว์ได้ให้ภิกษายังกาลเวลาให้น้อมล่วงไปเหมือนอย่างนั้นอีก.
            ในวันที่สามก็ให้อย่างนั้นอีกแล้วคิดว่าน่าปลื้มใจหนอ เป็นลาภของเรา เราประสบบุญมากหนอ หากเราได้ทักขิไณยบุคคล เราจะให้ทานอย่างนี้ ตลอดเดือนหนึ่งบ้าง สองเดือนบ้าง.
            แม้ในสามวัน พระดาบสก็ตั้งจิตอธิษฐานว่า ด้วยทานนั้นเรามิได้ปรารถนา ลาภสักการะและความสรรเสริญ ไม่ปรารถนาสมบัติจักรพรรดิ ไม่ปรารถนาสักกสมบัติ ไม่ปรารถนาพรหมสมบัติ ไม่ปรารถนาสาวกโพธิญาณ ไม่ปรารถนาปัจเจกโพธิญาณ ที่แท้ขอทานของเรานี้จงเป็นปัจจัยแห่งพระสัพพัญญุตญาณเถิด.
            ด้วยเหตุนั้น ท่านอกิตติดาบสจึงกล่าวว่า [พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า] 
            ในกาลนั้นด้วยเดชแห่งการประพฤติตบะของเรา ท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่ในไตรทิพย์ทรงร้อนพระทัย ทรงแปลงเพศเป็นพราหมณ์ เข้ามาหาเราเพื่อภิกษา.
            เราได้เห็นพราหมณ์มายืนอยู่ใกล้ประตูบรรณศาลาของเรา จึงเอาใบหมากเม่าที่เรานำมาแต่ป่า อันไม่มีน้ำมันทั้งไม่เค็มให้หมด พร้อมกับภาชนะ.
            ครั้นได้ให้ใบหมากเม่าแก่พราหมณ์นั้นแล้ว เราจึงคว่ำภาชนะ ละการแสวงหาใบหมากเม่าใหม่ เข้าไปยังบรรณศาลา.
            แม้ในวันที่สอง แม้ในวันที่สาม พราหมณ์ก็เข้ามายังสำนักเรา เราไม่หวั่นไหว ไม่อาลัยในชีวิต ได้ให้หมดสิ้นเช่นก่อนเหมือนกัน.
            ในสรีระของเราไม่มีความหม่นหมอง เพราะการอดอาหารนั้นเป็นปัจจัย เรายังวันนั้นๆ ให้น้อมไปด้วยความยินดีด้วยปีติสุข.
            ผิว่าเราพึงได้ทักขิไณยบุคคลผู้ประเสริฐ แม้เดือนหนึ่งสองเดือน เราก็ไม่หวั่นไหว ไม่ท้อแท้ พึงให้ทานอันอุดม เมื่อให้ทานแก่พราหมณ์นั้น เราจะได้ปรารถนายศและลาภก็หามิได้ เราปรารถนาพระสัพพัญญุตญาณ จึงได้ประพฤติกรรมเหล่านั้นฉะนี้.
            พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศเพียงบุญจริยาที่ทำได้ยากของพระองค์ในอัตภาพนี้แก่พระมหาเถระในวรรคนี้ ด้วยประการฉะนี้.
            แต่ในเทศนาชาดก ท่านประกาศถึงท้าวสักกะเข้าไปหาในวันที่สี่ แล้วทรงทราบอัธยาศัยของพระโพธิสัตว์ การประทานพร การแสดงธรรมของพระโพธิสัตว์ด้วยหัวข้อการรับพร และความหวังไทยธรรมและทักขิไณยบุคคล และการไม่มาของท้าวสักกะ.
            สมดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า 
            ท้าวสักกะผู้เป็นภูตบดี ทอดพระเนตรเห็นท่านอกิตติดาบสพักสำราญอยู่ จึงถามว่า ข้าแต่มหาพรหม พระคุณเจ้าปรารถนาอะไรจึงอยู่ผู้เดียวในฤดูร้อน.
            ท่านท้าวสักกรินทรเทพ ความเกิดใหม่เป็นทุกข์ การแตกทำลายแห่งสรีระเป็นทุกข์ การตายด้วยความหลงเป็นทุกข์ เพราะฉะนั้น อาตมาจึงอยู่ผู้เดียว.
            ข้าแต่ท่านกัสสปะ เมื่อพระคุณเจ้ากล่าวคำสุภาษิตอันสมควรนี้แล้ว พระคุณเจ้าปรารถนาอะไร ข้าพเจ้าจะให้พรนั้นแก่ท่าน.
            ท่านท้าวสักกะผู้เป็นจอมเทพทั้งหลาย หากท่านจะให้พรแก่อาตมา ขอจงให้พรดังนี้ คนทั้งหลายได้บุตร ภรรยา ทรัพย์สมบัติและของเป็นที่รักด้วยความโลภใดแล้วไม่เดือดร้อน ขอความโลภนั้นไม่พึงอยู่ในอาตมาเลย.
            ข้าแต่ท่านกัสสปะ เมื่อพระคุณเจ้ากล่าวดีแล้ว ฯลฯ พระคุณเจ้าปรารถนาอะไรอีก.
            ท่านท้าวสักกะผู้เป็นจอมเทพทั้งหลาย หากท่านจะให้พรแก่อาตมา ขอจงให้พรดังนี้ นา ไร่ ทอง โค ม้า ทาสและบุรุษ ย่อมเสื่อมไปด้วยโทษใด โทษนั้นไม่พึงอยู่ในอาตมาเลย.
            ข้าแต่ท่านกัสสปะ ฯลฯ พระคุณเจ้าปรารถนาอะไรอีก.
            ท่านท้าวสักกะหากท่านจะให้พรแก่อาตมา ขอจงให้พรดังนี้ บุคคลไม่พึงเห็น ไม่พึงได้ยินคนพาล ไม่พึงอยู่ร่วมด้วยคนพาล ไม่พึงกระทำและไม่พึงชอบใจการสนทนาปราศรัยด้วยคนพาล.
            ข้าแต่ท่านกัสสปะ เพราะอะไรท่านจึงไม่ชอบคนพาล ขอจงบอกเหตุ เพราะเหตุไร พระคุณเจ้าจึงไม่ปรารถนาที่จะเห็นคนพาล.
            คนพาลย่อมแนะนำสิ่งไม่ควรแนะนำ ย่อมขวนขวายในกิจอันไม่ใช่ธุระ คนพาลแนะนำให้ดีได้ยาก พูดดีหวังจะให้เขาเป็นคนประเสริฐกลับโกรธ คนพาลนั้นไม่รู้วินัย การไม่เห็นคนพาลได้เป็นความดี.
           ข้าแต่ท่านกัสสปะ พระคุณเจ้าปรารถนาอะไรอีก.
           ท่านท้าวสักกะจอมเทพ หากท่านจะให้พรแก่อาตมา ขอจงให้พรดังนี้ บุคคลพึงเห็นนักปราชญ์ พึงฟังนักปราชญ์ พึงอยู่ร่วมกับนักปราชญ์ พึงกระทำและพึงชอบใจการสนทนาปราศรัยกับนักปราชญ์.
           ข้าแต่ท่านกัสสปะ เพราะเหตุไร พระคุณเจ้าจึงชอบใจนักปราชญ์ ขอจงบอกเหตุนั้น เพราะเหตุไร พระคุณเจ้าจึงปรารถนาจะเห็นนักปราชญ์.
           นักปราชญ์แนะนำสิ่งที่ควรแนะนำ ไม่ขวนขวายในกิจที่มิใช่ธุระ นักปราชญ์แนะนำได้ง่าย พูดหวังจะให้ดีก็ไม่โกรธ นักปราชญ์ย่อมรู้จักวินัย การสมาคมกับนักปราชญ์เป็นความดี.
           พระคุณเจ้าปรารถนาอะไรอีก.
           ท่านท้าวสักกะผู้เป็นจอมเทพ หากท่านจะให้พรแก่อาตมา ขอจงให้พรดังนี้ เมื่อราตรีหมดไป ดวงอาทิตย์ขึ้นเป็นเจ้าโลก ของบริโภคอันเป็นทิพย์พึงปรากฏ ผู้ขอพึงเป็นผู้มีศีล.
           เมื่ออาตมาให้ของบริโภคไม่หมดสิ้นไป ครั้นให้แล้วอาตมาไม่พึงเดือดร้อน เมื่อให้จิตพึงผ่องใส ท่านท้าวสักกะขอจงให้พรนี้เถิด.
           พระคุณเจ้าปรารถนาอะไรอีก.
           ท่านท้าวสักกะผู้เป็นจอมเทพ หากท่านจะให้พรแก่อาตมา ขอจงให้พรดังนี้ ท่านไม่พึงกลับมาหาอาตมาอีก ท่านท้าวสักกะ ขอจงให้พรนี้เถิด.
           เทพบุตร หรือ เทพธิดา ปรารถนาจะเห็นด้วยการประพฤติพรตเป็นอันมาก อะไรจะเป็นภัยในการเห็นของอาตมา.
           ตบะพึงแตกไป เพราะเห็นสีสรรของพวกเทพเช่นนั้น ผู้ล้วนแล้วไปด้วยความสุขสมบูรณ์ในกามนี้เป็นภัยในการเห็นของพระคุณเจ้า.
           ลำดับนั้น ท้าวสักกะตรัสว่า ดีแล้วพระคุณเจ้า ตั้งแต่บัดนี้ไป ข้าพเจ้าจักไม่มาหาพระคุณเจ้าอีกแล้ว ทรงกราบพระดาบสนั้นเสด็จกลับไป.
           พระมหาสัตว์อยู่ ณ การทวีปนั้นตลอดชีวิต เมื่อสิ้นอายุก็ไปบังเกิดในพรหมโลก.
           ในครั้งนั้น พระอนุรุทธเถระเป็นท้าวสักกะ. พระโลกนาถเจ้าเป็นอกิตติบัณฑิต.

           อกิตติบัณฑิตย่อมได้รับบารมี ๑๐ เหล่านี้ คือ ชื่อว่าเนกขัมมบารมี เพราะการออกไปของท่านอกิตติบัณฑิตนั้นเช่นกับมหาภิเนษกรมณ์. ชื่อว่าศีลบารมี เพราะมีศีลาจารอันบริสุทธิ์ด้วยดี. ชื่อว่าวีริยบารมี เพราะข่มกามวิตกเป็นต้นด้วยดี. ชื่อว่าขันติบารมี เพราะขันติสังวรถึงความยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง. ชื่อว่าสัจจบารมี เพราะปฏิบัติตามสมควรแก่ปฏิญญา. ชื่อว่าอธิฏฐานบารมี เพราะตั้งใจสมาทานไม่หวั่นไหวในที่ทั้งปวง. ชื่อว่าเมตตาบารมี ด้วยอัธยาศัยเกื้อกูลในสรรพสัตว์ทั้งหลาย. ชื่อว่าอุเบกขาบารมี เพราะถึงความเป็นกลางในความผิดปกติที่สัตว์และสังขารกระทำแล้ว. ชื่อว่าปัญญาบารมี ได้แก่ปัญญาอันเป็นอุบายโกศลซึ่งเป็นสหชาตปัญญา และปัญญาให้สำเร็จความประพฤติในการขัดเกลากิเลสอย่างยิ่ง เพราะรู้ธรรมเป็นอุปการะ และธรรมไม่เป็นอุปการะแก่บารมีเหล่านั้น ละธรรมอันไม่เป็นอุปการะเสีย มุ่งประพฤติอยู่ในธรรมอันเป็นอุปการะ.
           เทศนาอันเป็นไปแล้วด้วยทานเป็นประธานอันเป็นความกว้างขวางยิ่งนักแห่งผู้มีอัธยาศัยในการให้. เพราะฉะนั้น ธรรมเหล่าใดมีประเภทไม่น้อย เป็นร้อยเป็นพัน เป็นโพธิสมภาร เป็นคุณของพระโพธิสัตว์มีอาทิอย่างนี้ คือ ธรรมเป็นปฏิญญา ๗ มีอาทิ คือ มหากรุณาอันให้สำเร็จในที่ทั้งปวง บุญสมภารและญาณสมภาร แม้ทั้งสอง สุจริตของพระโพธิสัตว์ ๓ มีกายสุจริตเป็นต้น. อธิฏฐาน ๔ มีสัจจาธิษฐานเป็นต้น. พุทธภูมิ ๔ มีอุตสาหะเป็นต้น ธรรมเป็นเครื่องบ่มมหาโพธิญาณ ๕ มีศรัทธาเป็นต้น อัธยาศัยของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ๖ มีอัธยาศัยไม่โลภเป็นต้น เราข้ามได้แล้วจักข้ามต่อไป มหาปุริสวิตก ๘ มีอาทิว่า ธรรมนี้ของผู้มีความมักน้อย ธรรมนี้มิใช่ของผู้มีความมักใหญ่. ธรรมมีโยนิโสมนสิการเป็นมูล ๙ อัธยาศัยของมหาบุรุษ ๑๐ มีอัธยาศัยในการให้เป็นต้น บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ มีทานและศีลเป็นต้น. ธรรมเหล่านั้นแม้ทั้งหมดควรกล่าวเจาะจงไปในที่นี้ตามสมควร.
           อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบคุณานุภาพของพระมหาสัตว์มีอาทิอย่างนี้ คือการละกองสมบัติใหญ่ และวงศ์ญาติใหญ่ แล้วออกจากเรือนเช่นกับมหาภิเนษกรมณ์ ครั้นออกไปแล้ว เมื่อบวชซึ่งชนเป็นอันมากรับรู้แล้วก็ไม่เกี่ยวข้องในตระกูล ในคณะเพราะเป็นผู้มักน้อยอย่างยิ่ง รังเกียจลาภ สักการะและความสรรเสริญสิ้นเชิง ยินดีในความสงัด วางเฉยในร่างกายและชีวิตเสียสละ อดอาหาร ยินดีด้วยความอิ่มในทาน แม้ ๓ วัน ร่างกายยังเป็นไปได้ไม่ผิดปกติ เมื่อมีผู้ขอก็ให้อาหารอยู่อย่างนั้น เดือนหนึ่งสองเดือน ประพฤติไม่ท้อถอยในการบริจาคมีอัธยาศัยในการให้อย่างกว้างขวาง ด้วยคิดว่า เราจักยังร่างกายให้เป็นไปอยู่ได้ด้วยปีติสุขอันเกิดจากการให้เท่านั้น ครั้นให้ทานแล้วก็ประพฤติขัดเกลากิเลสยิ่งขึ้นไม่เป็นเหตุให้ทำการแสวงหาอาหารใหม่.
           ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า 
           น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมาแล้วพระมหาสัตว์ทั้งหลายเป็นผู้แสวงหาคุณธรรมใหญ่หลวง มีมหากรุณาเป็นนักปราชญ์ เป็นเผ่าพันธุ์เอกของสรรพโลก.
           พระมหาสัตว์ผู้เป็นพระโพธิสัตว์ มีอานุภาพเป็นอจินไตย มีพระสัทธรรมเป็นโคจรในกาลทุกเมื่อ มีความประพฤติขัดเกลากิเลสอย่างหมดจด.
           พายุใหญ่ มหาสมุทรมีคลื่นซัดเป็นวงกลม พระโพธิสัตว์กระโดดข้ามแดนนั้นไปได้ ไม่ใช่เรื่องธรรมดา.
           พระมหาสัตว์เหล่านั้น แม้เป็นผู้เจริญโดยสัญชาตในโลก เป็นผู้อบรมดีแล้วก็ไม่ติดด้วยโลกธรรมทั้งหลาย เหมือนประทุมไม่ติดด้วยน้ำฉันนั้น.
           ความเสน่หาเพราะกรุณาในสัตว์ทั้งหลาย ย่อมเจริญโดยประการที่ละความเสน่หาในตนออกไปของพระมหาสัตว์ทั้งหลาย.
           กรรมย่อมอยู่ในอำนาจ ทั้งไม่เป็นตามอำนาจของกรรม เหมือนจิตย่อมอยู่ในอำนาจ ทั้งไม่เป็นไปตามอำนาจของจิต ฉะนั้น.
           พระมหาสัตว์เหล่านั้น เที่ยวแสวงหาโพธิญาณอันโทสะไม่ครอบงำ หรือไม่เกิดขึ้นดังบุรุษทั้งหลายรู้ถึงความเสื่อม.
           แม้จิตเลื่อมใสในท่านเหล่านั้น ก็พึงพ้นจากทุกข์ได้ จะพูดไปทำไมถึงการทำตามท่านเหล่านั้นโดยธรรมสมควรแก่ธรรมเล่า.

               จบอรรถกถาอกิตติจริยาที่ ๑               
               -----------------------------------------------------            

หมายเลขบันทึก: 713021เขียนเมื่อ 2 มิถุนายน 2023 12:58 น. ()แก้ไขเมื่อ 2 มิถุนายน 2023 12:58 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท