ปาฐกถาไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ครั้งที่ ๙ จัดเมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๖๖ ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในหัวข้อ นโยบายของจริง ประชาชนร่วมได้จริง สังคมได้ประโยชน์จริง ให้มุมมองใหม่ๆ ด้านประชาสังคม โดยเฉพาะอยางยิ่งเรื่อง ปัญญารวมหมู่ (collective intelligence) ที่บรรยายโดยคุณณัฐพงษ์ จารุวรรณพงศ์
มีผู้สรุปสาระการประชุมที่ (๑) เสียดายที่เขาไม่ได้สรุปการบรรยายพิเศษของคุณหนุ่ม ณัฐพงษ์ ที่ชี้ให้เห็นว่าประเทศที่พัฒนาแนวประชาสังคมตามที่ อ. ไพบูลย์ฝันไว้นั้น ต้องรู้จักใช้พลัง ปัญญารวมหมู่ โดยท่านชี้ให้เห็นว่าสมัยนี้ปัญญารวมหมู่ต้องประกอบด้วยองค์ ๓ คือ (๑) กลุ่มบุคคลที่หลากหลาย (๒) ปฏิสัมพันธ์ที่ดี มีพลัง ในหมู่กลุ่มบุคคลนั้น (๓) พลังความฉลาดของเทคโนโลยี
ที่น่าตื่นตาตื่นใจคือตัวอย่างจริงที่ท่านยกมาจากต่างประเทศ ที่การใช้เทคโนโลยีช่วยให้เกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างพลเมืองที่หลากหลายในเมืองหนึ่งจำนวนเป็นหลายแสนคน เพื่อแสดงออกเชิงความเห็นเชิงนโยบายในเรื่องใกล้ตัว
อย่างไรก็ดี กลไกการรวมหมู่นั้น ไม่ได้ก่อเฉพาะด้านบวกเท่านั้น อาจก่อผลด้านลบได้ด้วย เรียกว่าความเขลารวมหมู่ (collective stupidity)
วิทยากรที่ผมติดใจมากอีกท่านหนึ่งคือ ผศ. ธานี ชัยวัฒน์ ที่พูดเรื่องธรรมาภิบาล (good governance) และชี้จุดอ่อนของสังคมไทยในการจัดการระบบธรรมาภิบาลว่า เน้นผิดทาง คือหลงเน้นกระบวนการ ไม่เน้นผลลัพธ์ ซึ่งผลลัพธ์สำคัญที่สุดคือ คอร์รัปชั่น ท่านมีตัวเลขมาให้ดูว่า ระดับคอร์รัปชั่นของไทยคงที่มาประมาณ ๒๐ ปี แต่อันดับเปรียบเทียบในโลกตกลงเรื่อยๆ แสดงว่าประเทศอื่นๆ เขาพัฒนาขึ้น แต่ไทยคงที่ เสียดายที่ท่านพูดครึ่งแรกแล้วตั้งเป้าจะพูดครึ่งหลังในรอบสอง แต่เอาเข้าจริงเวลาหมดตั้งแต่รอบแรก
ผมเห็นคล้อยตาม ผศ. ธานีว่า น่าจะมีการวิจัยว่า หากระบบธรรมาภิบาลไทยหันไปเน้นป้องกันคอร์รัปชั่น จะก่อผลดีต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอย่างไรบ้าง ผมเชื่อมานานแล้วว่า หากสภาพคอร์รัปชั่นยังอยู่อย่างนี้ เป้าหมายการเป็นประเทศรายได้สูง สังคมดี เป็นอันหวังไม่ได้
ที่จริงวิทยากรพูดดีทุกคน ให้ความรู้แก่ผู้ฟังอย่างเต็มอิ่ม
วิจารณ์ พานิช
๒๑ เม.ย. ๖๖
ไม่มีความเห็น