มหาปรินิพพานสูตร ตอนที่ ๖ (ตอนสุดท้าย)


ว่าด้วยเรื่องพระปัจฉิมวาจาของพระตถาคตเจ้า เรื่องของพุทธปรินิพพาน เรื่องพระมหากัสสปเถระเดินทางมาถวายอภิวาทพระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาคด้วยเศียรเกล้า การถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ ตลอดจนถึงการแจกพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าโดยโทณพราหมณ์

มหาปรินิพพานสูตร ตอนที่ ๖ (ตอนสุดท้าย)

 

พลตรี มารวย ส่งทานินทร์

๑๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๖

เกริ่นนำ

            มหาปรินิพพานสูตรตอนสุดท้ายนี้ ว่าด้วยเรื่องพระปัจฉิมวาจาของพระตถาคตเจ้า เรื่องของพุทธปรินิพพาน เรื่องพระมหากัสสปเถระเดินทางมาถวายอภิวาทพระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาคด้วยเศียรเกล้า การถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ ตลอดจนถึงการแจกพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าโดยโทณพราหมณ์

 

มหาปรินิพพานสูตร

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒ [ฉบับมหาจุฬาฯ]

ทีฆนิกาย มหาวรรค

๓. มหาปรินิพพานสูตร

ว่าด้วยมหาปรินิพพาน

 

พระปัจฉิมวาจาของพระตถาคต

            [๒๑๖] ต่อมา พระผู้มีพระภาครับสั่งเรียกท่านพระอานนท์มาตรัสว่า “อานนท์ บางทีพวกเธออาจจะคิดว่า ‘ปาพจน์มีพระศาสดาล่วงลับไปแล้ว พวกเราไม่มีพระศาสดา’ ข้อนี้พวกเธอไม่พึงเห็นอย่างนั้น ธรรมและวินัยที่เราแสดงแล้วบัญญัติแล้วแก่เธอทั้งหลาย หลังจากเราล่วงลับไป ก็จะเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย

            อานนท์ เมื่อเราล่วงลับไป ภิกษุไม่ควรเรียกกันและกันด้วยวาทะว่า ‘อาวุโส‘ (อาวุโส แปลว่า ผู้มีอายุ เดิมใช้เป็นคำเรียกกันเป็นสามัญ คือ ภิกษุผู้แก่กว่าใช้เรียกภิกษุผู้อ่อนกว่าหรือภิกษุผู้อ่อนกว่า ใช้เรียกภิกษุผู้แก่กว่าก็ได้) เหมือนดังที่เรียกกันตอนนี้ ภิกษุผู้แก่กว่าพึงเรียกภิกษุผู้อ่อนกว่า โดยชื่อหรือตระกูล โดยวาทะว่า ‘อาวุโส’ ก็ได้ ภิกษุผู้อ่อนกว่าพึงเรียกภิกษุผู้แก่กว่าว่า ‘ภันเต’ หรือ ‘อายัสมา’ ก็ได้ อานนท์ เมื่อเราล่วงลับไป ถ้าสงฆ์ปรารถนาจะถอนสิกขาบทเล็กน้อย (สิกขาบทเล็กน้อย พระสังคีติกาจารย์ในที่ประชุมสังคายนาครั้งแรกมีความเห็นต่างกันเป็น ๕ พวก คือ พวกที่ ๑ เห็นว่า นอกจากปาราชิก ๔ สิกขาบทอื่นจัดเป็นสิกขาบทเล็กน้อย พวกที่ ๒ เห็นว่า นอกจากปาราชิก ๔ สังฆาทิเสส ๑๓ อนิยต ๒ สิกขาบทอื่นจัดเป็นสิกขาบทเล็กน้อย พวกที่ ๓ เห็นว่า นอกจากปาราชิก ๔ สังฆาทิเสส ๑๓ อนิยต ๒ นิสสัคคียปาจิตตีย์ ๓๐ สิกขาบทอื่นจัดเป็นสิกขาบทเล็กน้อย พวกที่ ๔ เห็นว่า นอกจากปาราชิก ๔ สังฆาทิเสส ๑๓ อนิยต ๒ นิสสัคคียปาจิตตีย์ ๓๐ ปาจิตตีย์ ๙๒ สิกขาบทอื่นจัดเป็นสิกขาบทเล็กน้อย พวกที่ ๕ เห็นว่า นอกจากปาราชิก ๔ สังฆาทิเสส ๑๓ อนิยต ๒ นิสสัคคียปาจิตตีย์ ๓๐ ปาจิตตีย์ ๙๒ ปาฏิเทสนียะ ๔ สิกขาบทอื่นจัดเป็นสิกขาบทเล็กน้อย ในบรรดาความเห็นเหล่านี้ ไม่มีความเห็นใดได้รับการยอมรับเป็นเอกฉันท์ ฉะนั้น ที่ประชุมจึงมีมติไม่ให้ถอน) เสียบ้างก็ถอนได้ อานนท์ เมื่อเราล่วงลับไป สงฆ์พึงลงพรหมทัณฑ์แก่ภิกษุฉันนะ”

            ท่านพระอานนท์ทูลถามว่า “พรหมทัณฑ์ เป็นอย่างไร พระพุทธเจ้าข้า” พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “อานนท์ ภิกษุฉันนะพึงพูดได้ตามต้องการ แต่ภิกษุไม่พึงว่ากล่าวตักเตือนพร่ำสอนเธอ”

            [๒๑๗] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุแม้เพียงรูปเดียวพึงมีความสงสัยหรือความเคลือบแคลงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มรรค หรือในปฏิปทา (ข้อปฏิบัติ) เธอทั้งหลายจงถามเถิด จะได้ไม่เสียใจในภายหลังว่า ‘พระศาสดายังอยู่ต่อหน้า เราไม่กล้าทูลถามในที่เฉพาะพระพักตร์” เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ ภิกษุเหล่านั้นได้นิ่งเงียบ

            แม้ครั้งที่ ๒ พระผู้มีพระภาครับสั่งเรียกภิกษุทั้งหลายตรัสว่า ฯลฯ

            แม้ครั้งที่ ๓ พระผู้มีพระภาครับสั่งเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุแม้เพียงรูปเดียวพึงมีความสงสัยหรือความเคลือบแคลงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มรรค หรือในปฏิปทา เธอทั้งหลายจงถามเถิด จะได้ไม่เสียใจในภายหลังว่า พระศาสดายังอยู่ต่อหน้า เราไม่กล้าทูลถามในที่เฉพาะพระพักตร์”

             แม้ครั้งที่ ๓ ภิกษุเหล่านั้นได้นิ่งเงียบ

            ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย ถ้าเธอทั้งหลายไม่กล้าถามเพราะความเคารพในศาสดา ก็ขอให้ภิกษุผู้เป็นเพื่อนบอก (ความสงสัย) แก่ภิกษุผู้เป็นเพื่อนให้(ถาม) ก็ได้ (อรรถกถากล่าวเสริมความให้เต็มว่า “เราจะกล่าวกับภิกษุเพียงรูปเดียว ภิกษุทั้งหมดได้ฟังแล้วก็จักหายสงสัย”) เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ ภิกษุเหล่านั้นได้นิ่งเงียบ

            ท่านพระอานนท์ได้กราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์จริง ไม่เคยปรากฏ ข้าพระองค์เลื่อมใสในภิกษุสงฆ์อย่างนี้ว่า แม้ภิกษุเพียงรูปเดียวก็ไม่มีความสงสัยหรือความเคลือบแคลงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มรรค หรือในปฏิปทา”

            พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “อานนท์ เธอกล่าวเพราะความเลื่อมใส แต่ตถาคตมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้ดีว่า ในภิกษุสงฆ์นั้น แม้ภิกษุเพียงรูปเดียวก็ไม่มีความสงสัยหรือความเคลือบแคลงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มรรค หรือในปฏิปทา ในจำนวนภิกษุ ๕๐๐ รูป ภิกษุผู้มีคุณธรรมขั้นต่ำสุด เป็นพระโสดาบัน (พระโสดาบัน ในที่นี้ทรงหมายถึงท่านพระอานนท์) ไม่มีทางตกต่ำ มีความแน่นอนที่จะสำเร็จสัมโพธิในวันข้างหน้า

            [๒๑๘] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราขอเตือนเธอทั้งหลาย สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงทำหน้าที่ให้สำเร็จด้วยความไม่ประมาทเถิด” (พระพุทธพจน์บทนี้ แสดงให้เห็นว่า ทรงย่อพระพุทโธวาทที่ทรงประกาศตลอดเวลา ๔๕ ปี ลงในบทว่าความไม่ประมาทเพียงบทเดียว) นี้เป็นพระปัจฉิมวาจาของพระตถาคต

          

เรื่องพุทธปรินิพพาน

            [๒๑๙] ต่อจากนั้น พระผู้มีพระภาคทรงเข้าปฐมฌาน ออกจากปฐมฌาน ทรงเข้าทุติยฌาน ออกจากทุติยฌาน ทรงเข้าตติยฌาน ออกจากตติยฌาน ทรงเข้าจตุตถฌาน ออกจากจตุตถฌาน ทรงเข้าอากาสานัญจายตนสมาบัติ ออกจากอากาสานัญจายตนสมาบัติ ทรงเข้าวิญญาณัญจายตนสมาบัติ ออกจากวิญญาณัญจายตนสมาบัติ ทรงเข้าอากิญจัญญายตนสมาบัติ ออกจากอากิญจัญญายตนสมาบัติ ทรงเข้าเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ ออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ ทรงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ

            ขณะนั้น ท่านพระอานนท์เรียนถามท่านพระอนุรุทธะดังนี้ว่า “ท่านอนุรุทธะผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคปรินิพพานแล้วหรือ”

            ท่านพระอนุรุทธะตอบว่า “ท่านอานนท์ผู้มีอายุ พระผู้มีพระภาคยังไม่ปรินิพพาน ทรงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่”

            ต่อจากนั้น พระผู้มีพระภาคออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ ทรงเข้าเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ ออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ ทรงเข้าอากิญจัญญายตนสมาบัติ ออกจากอากิญจัญญายตนสมาบัติ ทรงเข้าวิญญาณัญจายตนสมาบัติ ออกจากวิญญาณัญจายตนสมาบัติ ทรงเข้าอากาสานัญจายตนสมาบัติ ออกจากอากาสานัญจายตนสมาบัติ ทรงเข้าจตุตถฌาน ออกจากจตุตถฌาน ทรงเข้าตติยฌาน ออกจากตติยฌาน ทรงเข้าทุติยฌาน ออกจากทุติยฌาน ทรงเข้าปฐมฌาน ออกจากปฐมฌาน ทรงเข้าทุติยฌาน ออกจากทุติยฌาน ทรงเข้าตติยฌาน ออกจากตติยฌาน ทรงเข้าจตุตถฌาน ออกจากจตุตถฌานแล้วได้เสด็จดับขันธปรินิพพานในลำดับถัดมา

            [๒๒๐] เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ได้เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงน่ากลัว ขนพองสยองเกล้า ทั้งกลองทิพย์ก็ดังกึกก้องขึ้นพร้อมกับการเสด็จดับขันธปรินิพพาน

             เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จดับขันธปรินิพพาน ท้าวสหัมบดีพรหมกล่าวคาถานี้ขึ้นพร้อมกับการเสด็จดับขันธปรินิพพานว่า

             “สรรพสัตว์จะต้องทอดทิ้งร่างกายไว้ในโลก พระศาสดาผู้หาใครเปรียบเทียบไม่ได้ในโลก ผู้เข้าถึงสภาวะตามความเป็นจริง ผู้บรรลุพลธรรม (บรรลุพลธรรม หมายถึงมีพระกำลังอันเกิดจากญาณ ๑๐ ที่เรียกว่า ทสพลญาณ หรือตถาคตพละ) ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบเช่นนี้ ก็ยังปรินิพพาน”

            [๒๒๑] เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จดับขันธปรินิพพาน ท้าวสักกะจอมเทพ กล่าวคาถานี้ขึ้นพร้อมกับการเสด็จดับขันธปรินิพพานว่า

                 “สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ มีความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปเป็นธรรมดา เกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป ความสงบแห่งสังขารเหล่านั้นเป็นความสุข”

            [๒๒๒] เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ท่านพระอนุรุทธะ กล่าวคาถาเหล่านี้ขึ้นพร้อมกับการเสด็จดับขันธปรินิพพานว่า

                “ลมหายใจเข้า ลมหายใจออกของพระผู้มีพระภาคผู้มีพระทัยมั่นคง ผู้คงที่ ไม่มีแล้ว พระมุนีผู้ไม่หวั่นไหว ทรงมุ่งใฝ่สันติ ปรินิพพานเสียแล้ว พระองค์ผู้มีพระทัยไม่หดหู่ ทรงอดกลั้นเวทนาได้ มีพระทัยหลุดพ้นแล้ว ดุจดวงประทีปที่เคยโชติช่วงดับไปฉะนั้น”

             [๒๒๓] เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ท่านพระอานนท์ กล่าวคาถานี้ขึ้นพร้อมกับการเสด็จดับขันธปรินิพพานว่า

            “เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้มีพระอาการอันล้ำเลิศทุกอย่าง (มีพระอาการอันล้ำเลิศทุกอย่าง หมายถึงทรงมีเหตุอันล้ำเลิศทุกอย่างมีศีลเป็นต้น) ปรินิพพานแล้ว ได้เกิดเหตุอัศจรรย์น่ากลัว ขนพองสยองเกล้า”

            [๒๒๔] เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว บรรดาภิกษุเหล่านั้นพวกที่ยังมีราคะ พากันประคองแขนคร่ำครวญ ล้มกลิ้งเกลือกไปมา เหมือนคนเท้าขาด เพ้อรำพันว่า “พระผู้มีพระภาคด่วนปรินิพพาน พระสุคตด่วนปรินิพพานเสีย จักษุของโลกด่วนอันตรธานไปแล้ว” ส่วนภิกษุผู้ไม่มีราคะ มีสติสัมปชัญญะ ก็อดกลั้นได้ว่า “สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ เหล่าสัตว์จะพึงหาได้อะไรจากที่ไหนในสังขารนี้”

            [๒๒๕] ครั้งนั้น ท่านพระอนุรุทธะเตือนภิกษุทั้งหลายว่า “อย่าเลย ผู้มีอายุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายอย่าเศร้าโศก อย่าคร่ำครวญเลย เรื่องนี้พระผู้มีพระภาคเคยตรัสสอนไว้มิใช่หรือว่า ความพลัดพราก ความทอดทิ้ง ความแปรเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นจากของรักของชอบใจทุกอย่างจะต้องมี ฉะนั้น จะพึงหาได้อะไรจากที่ไหนในสังขารนี้ สิ่งที่เกิดขึ้น มีขึ้น ถูกปัจจัยปรุงแต่งล้วนแตกสลายเป็นธรรมดา เป็นไปไม่ได้ที่จะปรารถนาว่า ‘ขอสิ่งนั้นอย่าเสื่อมสลายไปเลย’ ท่านผู้มีอายุทั้งหลายพวกเทวดากำลังตำหนิอยู่”

            ท่านพระอานนท์ถามว่า “ท่านอนุรุทธะ พวกเทวดาเป็นอย่างไร ทำใจได้หรือ”

            ท่านพระอนุรุทธะตอบว่า “ท่านอานนท์ มีเทวดาบางพวกเป็นผู้กำหนดแผ่นดินขึ้นบนอากาศ สยายผม ประคองแขน ร้องไห้คร่ำครวญ ล้มกลิ้งเกลือกไปมา เหมือนคนเท้าขาด เพ้อรำพันว่า “พระผู้มีพระภาคด่วนปรินิพพาน พระสุคตด่วนปรินิพพานเสีย จักษุของโลกด่วนอันตรธานไปแล้ว”

             มีเทวดาบางพวกเป็นผู้กำหนดแผ่นดินขึ้นบนแผ่นดิน สยายผม ประคองแขน ร้องไห้คร่ำครวญ ล้มกลิ้งเกลือกไปมาเหมือนคนเท้าขาด ฯลฯ”

            ส่วนเทวดาที่ไม่มีราคะ มีสติสัมปชัญญะก็อดกลั้นได้ว่า “สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ เหล่าสัตว์จะพึงหาได้อะไรจากที่ไหนในสังขารนี้”

            ท่านพระอนุรุทธะกับท่านพระอานนท์ให้เวลาผ่านไปด้วยการแสดงธรรมีกถาตลอดคืนยันรุ่ง

            [๒๒๖] ต่อมา ท่านพระอนุรุทธะสั่งท่านพระอานนท์ว่า “ไปเถิด อานนท์ผู้มีอายุ ท่านจงเข้าไปยังกรุงกุสินารา แจ้งแก่เจ้ามัลละทั้งหลายผู้ครองกรุงกุสินาราว่า ‘วาเสฏฐะทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคปรินิพพานแล้ว ขอท่านทั้งหลายจงกำหนดเวลาที่สมควร ณ บัดนี้เถิด” ท่านพระอานนท์รับคำแล้ว ตอนเช้าจึงครองอันตรวาสกถือบาตรและจีวรเข้าไปยังกรุงกุสินาราเพียงผู้เดียว

            ขณะนั้น พวกเจ้ามัลละผู้ครองกรุงกุสินารากำลังประชุมกันอยู่ที่สัณฐาคารเกี่ยวกับเรื่องปรินิพพาน ท่านพระอานนท์เข้าไปที่สัณฐาคารของพวกเจ้ามัลละแล้วถวายพระพรว่า “วาเสฏฐะทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคปรินิพพานแล้ว ขอท่านทั้งหลายจงกำหนดเวลาที่สมควร ณ บัดนี้เถิด”

            พวกเจ้ามัลละ โอรส สุณิสา และปชาบดีของพวกเจ้ามัลละ พอได้สดับข่าว(จาก)ท่านพระอานนท์อย่างนี้แล้ว ทรงโศกเสียพระทัย เปี่ยมไปด้วยโทมนัส บางพวกสยายพระเกศา ทรงประคองพระพาหา ทรงกันแสงคร่ำครวญ ล้มกลิ้งเกลือกไปมา เหมือนคนเท้าขาด ทรงเพ้อรำพันว่า “พระผู้มีพระภาคด่วนปรินิพพาน พระสุคตด่วนปรินิพพานเสีย จักษุของโลกด่วนอันตรธานไปแล้ว”

 

บูชาพระพุทธสรีระ

            [๒๒๗] ลำดับนั้น พวกเจ้ามัลละผู้ครองกรุงกุสินารารับสั่งข้าราชบริพารว่า “พนาย ถ้าอย่างนั้น ท่านทั้งหลายจงเตรียมของหอมระเบียบดอกไม้และเครื่องดนตรีทุกอย่างที่มีในกรุงกุสินาราไว้ให้พร้อม” แล้วทรงถือเอาของหอมระเบียบดอกไม้ เครื่องดนตรีทุกอย่างและผ้า ๕๐๐ คู่ เสด็จเข้าไปยังสาลวันของพวกเจ้ามัลละซึ่งเป็นทางเข้าเมือง ตรงไปยังพระพุทธสรีระแล้ว ทรงสักการะ เคารพ นบนอบ บูชาพระสรีระของพระผู้มีพระภาคด้วยการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมดนตรี ระเบียบดอกไม้และของหอม ทรงดาดเพดานผ้า ตกแต่งมณฑลมาลาอาสน์ ให้วันนั้นหมดไปด้วยกิจกรรมอย่างนี้

            ต่อมา พวกเจ้ามัลละผู้ครองกรุงกุสินาราทรงดำริว่า “วันนี้เย็นเกินไป ที่จะถวายพระเพลิงพระสรีระของพระผู้มีพระภาค พรุ่งนี้เราจึงค่อยถวายพระเพลิง”

            จากนั้นก็ทรงสักการะ เคารพ นบนอบ บูชาพระสรีระของพระผู้มีพระภาคด้วยการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมดนตรี ระเบียบดอกไม้และของหอม ทรงดาดเพดานผ้า ตกแต่งมณฑลมาลาอาสน์ ให้เวลาวันที่ ๒ วันที่ ๓ วันที่ ๔ วันที่ ๕ วันที่ ๖ หมดไป

            พอถึงวันที่ ๗ พวกเจ้ามัลละผู้ครองกรุงกุสินาราทรงดำริว่า “เราสักการะ เคารพ นบนอบ บูชาพระสรีระของพระผู้มีพระภาค ด้วยการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมดนตรี ระเบียบดอกไม้และของหอม จะอัญเชิญ (พระสรีระ) ไปทางทิศใต้ของเมือง เสร็จแล้วจึงถวายพระเพลิงพระสรีระของพระผู้มีพระภาคข้างนอกพระนครทางทิศใต้”

            [๒๒๘] ในวันนั้น ประมุขเจ้ามัลละ ๘ องค์ สรงสนานพระเศียรแล้วทรงพระภูษาใหม่ ด้วยตั้งพระทัยว่า “พวกเราจะอัญเชิญพระสรีระของพระผู้มีพระภาคขึ้น” แต่ไม่อาจจะยกขึ้นได้

            พวกเจ้ามัลละผู้ครองกรุงกุสินาราจึงตรัสถามท่านพระอนุรุทธะว่า “ท่านพระอนุรุทธะ อะไรหนอแลเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัย ที่ทำให้ประมุขเจ้ามัลละ ๘ องค์นี้ ทรงสรงสนานพระเศียรแล้วทรงพระภูษาใหม่ ด้วยตั้งพระทัยว่า ‘พวกเราจะอัญเชิญพระสรีระของพระผู้มีพระภาคขึ้น’ แต่ไม่อาจจะยกขึ้นได้”

            ท่านพระอนุรุทธะถวายพระพรว่า “วาเสฏฐะทั้งหลาย มหาบพิตรมีพระประสงค์อย่างหนึ่ง พวกเทวดามีความประสงค์อีกอย่างหนึ่ง”

            พวกเจ้ามัลละตรัสถามว่า “พวกเทวดามีความประสงค์อย่างไร พระคุณเจ้า”

            ท่านพระอนุรุทธะถวายพระพรว่า “มหาบพิตรมีพระประสงค์ว่า เราจะสักการะเคารพ นบนอบ บูชาพระสรีระของพระผู้มีพระภาคด้วยการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมดนตรี ระเบียบดอกไม้และของหอม จะอัญเชิญ (พระสรีระ) ไปทางทิศใต้ของเมือง เสร็จแล้วจึงถวายพระเพลิงพระสรีระของพระผู้มีพระภาคข้างนอกพระนครทางทิศใต้ แต่พวกเทวดามีความประสงค์ว่า ‘พวกเราจะสักการะ เคารพ นบนอบ บูชาพระสรีระของพระผู้มีพระภาคด้วยการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมดนตรี ระเบียบดอกไม้ และของหอมอันเป็นทิพย์ จะอัญเชิญ(พระสรีระ) ไปทางทิศเหนือของเมือง แล้วอัญเชิญเข้าสู่เมืองทางประตูด้านทิศเหนือ อัญเชิญผ่านใจกลางเมืองแล้วออกทางประตูด้านทิศตะวันออก เสร็จแล้วจึงถวายพระเพลิงพระสรีระของพระผู้มีพระภาคที่มกุฏพันธนเจดีย์ (มกุฏพันธนเจดีย์ เป็นชื่อเรียกศาลามงคลซึ่งเป็นสถานที่ประดับเครื่องทรงพระวรกายของพวกเจ้ามัลละในพระราชพิธีราชาภิเษก ที่เรียกว่า เจดีย์ เพราะเป็นสถานที่ควรเคารพยำเกรง) ของพวกเจ้ามัลละ ทางทิศตะวันออกของเมือง”

            พวกเจ้ามัลละตรัสว่า “ขอให้เป็นไปตามความประสงค์ของพวกเทวดาเถิดพระคุณเจ้า”

            [๒๒๙] ก็ในเวลานั้น ทั่วกรุงกุสินารากระทั่งซอกเรือน ท่อน้ำทิ้งและกองขยะ ดารดาษไปด้วยดอกมณฑารพ อย่างต่ำสูงถึงเข่า พวกเทวดาและพวกเจ้ามัลละพากันสักการะ เคารพ นบนอบ บูชาพระสรีระของพระผู้มีพระภาค ด้วยการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมดนตรี ระเบียบดอกไม้และของหอมทั้งที่เป็นของทิพย์และที่เป็นของมนุษย์ อัญเชิญ(พระสรีระ)ไปทางทิศเหนือของเมืองแล้วเข้าสู่เมืองทางประตูด้านทิศเหนือ อัญเชิญผ่านใจกลางเมืองไปออกทางประตูด้านทิศตะวันออก เสร็จแล้วจึงประดิษฐาน พระสรีระของพระผู้มีพระภาค ณ มกุฏพันธนเจดีย์ของพวกเจ้ามัลละทางทิศตะวันออกของเมือง

            [๒๓๐] จากนั้น พวกเจ้ามัลละได้ตรัสถามท่านพระอานนท์ดังนี้ว่า “พวกข้าพเจ้าจะพึงปฏิบัติต่อพระสรีระของพระตถาคต อย่างไร พระคุณเจ้า”

             ท่านพระอานนท์ถวายพระพรว่า “มหาบพิตรพึงปฏิบัติต่อพระสรีระของพระตถาคต เหมือนอย่างที่พวกเขาปฏิบัติต่อพระบรมศพของพระเจ้าจักรพรรดินั่นแหละ”

            พวกเจ้ามัลละตรัสถามว่า “พวกเขาปฏิบัติต่อพระบรมศพของพระเจ้าจักรพรรดิอย่างไร พระคุณเจ้า”

            ท่านพระอานนท์ถวายพระพรว่า “พวกเขาใช้ผ้าใหม่ห่อพระบรมศพของพระเจ้าจักรพรรดิเสร็จแล้ว จึงห่อด้วยสำลีบริสุทธิ์ แล้วจึงห่อด้วยผ้าใหม่อีกชั้นหนึ่ง ทำโดยวิธีนี้ จนห่อพระบรมศพของพระเจ้าจักรพรรดิด้วยผ้าและสำลีได้ ๑,๐๐๐ ชั้น แล้วอัญเชิญพระบรมศพลงในรางเหล็กเต็มด้วยน้ำมัน ใช้รางเหล็กอีกอันหนึ่งครอบแล้ว ทำจิตกาธานด้วยไม้หอมล้วน แล้วถวายพระเพลิงพระบรมศพพระเจ้าจักรพรรดิ สร้างพระสถูปของพระเจ้าจักรพรรดิไว้ที่ทางใหญ่สี่แพร่ง พวกท่านพึงปฏิบัติต่อพระสรีระของพระตถาคต เหมือนอย่างที่พวกเขาปฏิบัติต่อพระบรมศพของพระเจ้าจักรพรรดิ พึงสร้างพระสถูปของพระตถาคตไว้ที่ทางใหญ่สี่แพร่ง ชนเหล่าใดจักยกระเบียบดอกไม้ ของหอม หรือจุรณ จักถวายอภิวาท หรือจักทำจิตเลื่อมใสในพระสถูปนั้น การกระทำนั้นจักเป็นไปเพื่อเกื้อกูล เพื่อสุขแก่ชนเหล่านั้นตลอดกาลนาน”

            ลำดับนั้น พวกเจ้ามัลละผู้ครองกรุงกุสินารารับสั่งข้าราชบริพารว่า “ท่านทั้งหลาย ถ้าอย่างนั้น พวกท่านจงเตรียมสำลีบริสุทธิ์ไว้ให้พร้อม” จากนั้นทรงใช้ผ้าใหม่ห่อพระสรีระของพระผู้มีพระภาค เสร็จแล้วจึงห่อด้วยสำลีบริสุทธิ์ แล้วจึงห่อด้วยผ้าใหม่อีกชั้นหนึ่ง ทำโดยวิธีดังนี้ จนห่อพระสรีระของพระผู้มีพระภาคด้วยผ้าและสำลีได้ ๑,๐๐๐ ชั้น แล้วอัญเชิญพระสรีระลงในรางเหล็กเต็มด้วยน้ำมัน ใช้รางเหล็กอีกอันหนึ่งครอบแล้ว ทำจิตกาธานด้วยไม้หอมล้วน แล้วอัญเชิญพระสรีระของพระผู้มีพระภาคขึ้นสู่จิตกาธาน

 

เรื่องพระมหากัสสปเถระ

            [๒๓๑] สมัยนั้น ท่านพระมหากัสสปะพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป เดินทางไกลจากกรุงปาวาไปยังกรุงกุสินารา ขณะที่ท่านพระมหากัสสปะแวะลงข้างทางนั่งที่โคนไม้ต้นหนึ่ง พอดีมีอาชีวกคนหนึ่งถือดอกมณฑารพจากกรุงกุสินารา เดินสวนทางจะไปกรุงปาวา ท่านพระมหากัสสปะเห็นอาชีวกนั้นกำลังเดินมาแต่ไกล จึงถามว่า “ท่านผู้มีอายุ ท่านรู้ข่าวพระศาสดาของพวกเราบ้างไหม” เขาตอบว่า “เรารู้ข่าว ท่านพระสมณโคดมปรินิพพานได้ ๗ วันเข้าวันนี้ เราถือดอกมณฑารพดอกนี้มาจากที่ปรินิพพานนั้น”

            บรรดาภิกษุเหล่านั้น ผู้ที่ยังมีราคะ บางพวกประคองแขน คร่ำครวญ ล้มกลิ้งเกลือกไปมา เหมือนคนเท้าขาด เพ้อรำพันว่า “พระผู้มีพระภาคด่วนปรินิพพาน พระสุคตด่วนปรินิพพานเสีย จักษุของโลกด่วนอันตรธานไปแล้ว” ส่วนภิกษุผู้ไม่มีราคะ มีสติสัมปชัญญะก็อดกลั้นได้ว่า “สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง เหล่าสัตว์จะพึงหาได้อะไรจากที่ไหนในสังขารนี้”

            [๒๓๒] สมัยนั้น มีภิกษุผู้บวชตอนแก่ชื่อสุภัททะ นั่งอยู่ในที่ประชุมนั้น ได้กล่าวกับภิกษุเหล่านั้นดังนี้ว่า “อย่าเลย ท่านผู้มีอายุ อย่าเศร้าโศก อย่าคร่ำครวญเลย พวกเรารอดพ้นแล้วจากมหาสมณะรูปนั้น ที่คอยจ้ำจี้จ้ำไชพวกเราอยู่ว่า ‘สิ่งนี้ควรแก่พวกเธอ สิ่งนี้ไม่ควรแก่พวกเธอ’ บัดนี้ เราปรารถนาสิ่งใดก็จักทำสิ่งนั้น พวกเราไม่ปรารถนาสิ่งใด ก็จักไม่ทำสิ่งนั้น”

            ลำดับนั้น ท่านพระมหากัสสปะเรียกภิกษุทั้งหลายมาตักเตือนว่า “อย่าเลยท่านผู้มีอายุ อย่าเศร้าโศก อย่าคร่ำครวญเลย พระผู้มีพระภาคตรัสสอนไว้ก่อนอย่างนี้ว่า ‘ความพลัดพราก ความทอดทิ้ง ความแปรเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นจากของรักของชอบใจทุกอย่างจะต้องมี ฉะนั้น จะพึงหาได้อะไรจากที่ไหนในสังขารนี้ สิ่งที่เกิดขึ้น มีขึ้น ถูกปัจจัยปรุงแต่ง ล้วนแตกสลายเป็นธรรมดา เป็นไปไม่ได้ที่จะปรารถนาว่า ‘ขอสิ่งนั้นอย่าเสื่อมสลายไปเลย”

 

การถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ

            [๒๓๓] สมัยนั้น ประมุขเจ้ามัลละ ๔ องค์ ทรงสนานพระเศียรแล้วทรงพระภูษาใหม่ ด้วยตั้งพระทัยว่า “พวกเราจะจุดไฟที่จิตกาธานของพระผู้มีพระภาค” แต่ไม่อาจจะจุดไฟให้ติดได้

            ลำดับนั้น พวกเจ้ามัลละผู้ครองกรุงกุสินาราตรัสถามท่านพระอนุรุทธะว่า “ท่านอนุรุทธะ อะไรหนอแลเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัย ที่ทำให้ประมุขเจ้ามัลละ ๔ องค์นี้ ผู้ทรงสนานพระเศียรแล้วทรงพระภูษาใหม่ด้วยตั้งพระทัยว่า ‘พวกเราจะจุดไฟที่จิตกาธานของพระผู้มีพระภาค’ แต่ไม่อาจจะจุดไฟให้ติดได้เล่า”

            ท่านพระอนุรุทธะถวายพระพรว่า “วาเสฏฐะทั้งหลาย พวกเทวดามีความประสงค์อีกอย่างหนึ่ง”

            พวกเจ้ามัลละตรัสถามว่า “พวกเทวดามีความประสงค์อย่างไร พระคุณเจ้า”

            ท่านพระอนุรุทธะถวายพระพรว่า “พวกเทวดามีความประสงค์ว่า ‘ท่านพระมหากัสสปะพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป เดินทางไกลจากกรุงปาวามายังกรุงกุสินารา จิตกาธานของพระผู้มีพระภาคจะยังไม่ลุกโพลง ตราบเท่าที่ท่านพระมหากัสสปะยังไม่ได้ถวายอภิวาทพระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาคด้วยเศียรเกล้า”

            พวกเจ้ามัลละตรัสว่า “ขอให้เป็นไปตามความประสงค์ของพวกเทวดาเถิดพระคุณเจ้า”

            [๒๓๔] ต่อมา ท่านพระมหากัสสปะเข้าไปยังมกุฏพันธนเจดีย์ของพวกเจ้ามัลละในกรุงกุสินารา ถึงจิตกาธานของพระผู้มีพระภาค ห่มจีวรเฉวียงบ่าประนมมือกระทำประทักษิณจิตกาธาน ๓ รอบเปิดผ้าคลุมทางพระบาท ถวายอภิวาทพระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาคด้วยเศียรเกล้า แม้ภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านั้นก็ห่มจีวรเฉวียงบ่า ประนมมือทำประทักษิณจิตกาธาน ๓ รอบ ถวายอภิวาทพระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาคด้วยเศียรเกล้า เมื่อท่านพระมหากัสสปะและภิกษุ ๕๐๐ รูป ถวายอภิวาทเสร็จ จิตกาธานของพระผู้มีพระภาคได้ติดไฟลุกโพลงขึ้นเอง

            [๒๓๕] เมื่อพระเพลิงไหม้พระสรีระของพระผู้มีพระภาค พระอวัยวะ คือ พระฉวี (ผิวนอก) พระจัมมะ(หนัง) พระมังสา(เนื้อ) พระนหารู(เอ็น) หรือพระลสิกา (ไขข้อหรือ ไขกระดูก) ไม่ปรากฏเถ้า ไม่ปรากฏเขม่าเลย คงเหลืออยู่แต่พระสรีระเท่านั้น เปรียบเหมือนเมื่อไฟไหม้เนยใสและน้ำมัน ก็ไม่ปรากฏเถ้า ไม่ปรากฏเขม่า ฉันใด

            เมื่อพระเพลิงไหม้พระสรีระของพระผู้มีพระภาค พระอวัยวะ คือ พระฉวี พระจัมมะ พระมังสา พระนหารู หรือพระลสิกา ไม่ปรากฏเถ้า ไม่ปรากฏเขม่า คงเหลืออยู่แต่พระสรีระ (พระสรีระ ในที่นี้หมายถึงพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า) เท่านั้น ฉันนั้นเหมือนกัน และบรรดาผ้า ๕๐๐ คู่นั้น มีเพียง ๒ ผืนเท่านั้นที่ถูกไฟไหม้ คือ ผืนในสุดกับผืนนอกสุด ก็เมื่อพระเพลิงไหม้พระสรีระของพระผู้มีพระภาคแล้วแล ท่อน้ำไหลหลั่งมาจากอากาศดับจิตกาธานของพระผู้มีพระภาค น้ำพุ่งขึ้นจากไม้สาละดับจิตกาธานของพระผู้มีพระภาค พวกเจ้ามัลละผู้ครองกรุงกุสินาราดับจิตกาธานของพระผู้มีพระภาคด้วยน้ำหอมล้วนๆ ต่อจากนั้น เจ้ามัลละผู้ครองกรุงกุสินาราได้จัดกำลังพลหอกไว้รอบสัณฐาคารล้อมด้วยกำแพงธนู (ในการอารักขาพระบรมสารีริกธาตุซึ่งประดิษฐานบนสัณฐาคารนั้น พวกเจ้ามัลละได้ทรงจัดวางกำลังอารักขาไว้เป็นชั้นๆ โดยรอบ ดังนี้

            ๑. ทรงจัดวางกำลังพลหอกที่เรียกว่า สัตติบัญชร ไว้รอบสัณฐานคารซึ่งจัดเป็นกองกำลังรอบในสุด

            ๒. ทรงจัดวางกำแพงธนูที่เรียกว่า ธนูปราการ ถัดออกมาจากกำลังพลหอกธนูปราการ (กำแพงธนู) ประกอบด้วย ๒.๑ พลช้าง (ให้ยืนแถวชิดกันจนกระพองจดกระพอง)       ๒.๒ พลม้า (ให้ยืนแถวชิดกันจนคอจดคอ)             ๒.๓ พลรถ (ให้จอดแถวชิดกันจนดุมจดดุม) ๒.๔ พลราบ (ให้ยืนแถวชิดกันจนแขนจดแขน) ๒.๕ พลธนู (ให้ยืนแถวถือธนูขัดกันและกัน) ซึ่งจัดเป็นกองกำลังอารักขารอบนอกสุด) (ป้องกันพระบรมสารีริกธาตุของพระผู้มีพระภาค) แล้วสักการะ เคารพ นบนอบ บูชาพระสรีระของพระผู้มีพระภาคด้วยการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมดนตรี ระเบียบดอกไม้และของหอมตลอด ๗ วัน

 

แจกพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า

            [๒๓๖] พระราชาแห่งแคว้นมคธพระนามว่าอชาตศัตรู เวเทหิบุตร ได้ทรงสดับว่า “พระผู้มีพระภาคปรินิพพานในกรุงกุสินารา” จึงทรงส่งทูตไปถึงพวกเจ้ามัลละผู้ครองกรุงกุสินาราว่า “พระผู้มีพระภาคทรงเป็นกษัตริย์ แม้เราก็เป็นกษัตริย์ จึงควรจะได้รับส่วนแบ่งพระบรมสารีริกธาตุบ้าง จะได้สร้างพระสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุและทำการฉลอง”

            พวกเจ้าลิจฉวีผู้ครองกรุงเวสาลี ได้ทรงสดับว่า “พระผู้มีพระภาคปรินิพพานในกรุงกุสินารา” จึงทรงส่งทูตไปถึงพวกเจ้ามัลละผู้ครองกรุงกุสินาราว่า “พระผู้มีพระภาคทรงเป็นกษัตริย์ แม้พวกเราก็เป็นกษัตริย์ จึงควรจะได้รับส่วนแบ่งพระบรมสารีริกธาตุบ้าง จะได้สร้างพระสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุและทำการฉลอง”

            พวกเจ้าศากยะชาวกบิลพัสดุ์ ได้ทรงสดับว่า “พระผู้พระภาคปรินิพพานในกรุงกุสินารา” จึงทรงส่งทูตไปถึงพวกเจ้ามัลละผู้ครองกรุงกุสินาราว่า “พระผู้มีพระภาคทรงเป็นพระญาติผู้ประเสริฐที่สุดของพวกเรา พวกเราควรจะได้รับส่วนแบ่งพระบรมสารีริกธาตุบ้าง จะได้สร้างพระสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุและทำการฉลอง”

            พวกเจ้าถูลีผู้ครองกรุงอัลลกัปปะ ได้ทรงสดับว่า “พระผู้มีพระภาคปรินิพพานในกรุงกุสินารา” จึงทรงส่งทูตไปถึงพวกเจ้ามัลละผู้ครองกรุงกุสินาราว่า “พระผู้มีพระภาคทรงเป็นกษัตริย์ แม้พวกเราก็เป็นกษัตริย์ จึงควรจะได้รับส่วนแบ่งพระบรมสารีริกธาตุบ้าง จะได้สร้างพระสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุและทำการฉลอง”

            พวกเจ้าโกลิยะผู้ครองกรุงรามคาม ได้ทรงสดับว่า “พระผู้มีพระภาคปรินิพพานในกรุงกุสินารา” จึงทรงส่งทูตไปถึงพวกเจ้ามัลละผู้ครองกรุงกุสินาราว่า “พระผู้มีพระภาคทรงเป็นกษัตริย์ แม้พวกเราก็เป็นกษัตริย์ จึงควรจะได้รับส่วนแบ่งพระบรมสารีริกธาตุบ้าง จะได้สร้างพระสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุและทำการฉลอง”

            พราหมณ์ผู้ครองกรุงเวฏฐทีปกะ ได้สดับว่า “พระผู้มีพระภาคปรินิพพานในกรุงกุสินารา” จึงส่งทูตไปถึงพวกเจ้ามัลละผู้ครองกรุงกุสินาราว่า “แม้พระผู้มีพระภาคทรงเป็นกษัตริย์ เราเป็นพราหมณ์ เราก็ควรจะได้รับส่วนแบ่งพระบรมสารีริกธาตุบ้าง จะได้สร้างพระสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุและทำการฉลอง”

            พวกเจ้ามัลละผู้ครองกรุงปาวา ได้ทรงสดับว่า พระผู้มีพระภาคปรินิพพานในกรุงกุสินารา จึงทรงส่งทูตไปถึงพวกเจ้ามัลละผู้ครองกรุงกุสินาราว่า “แม้พระผู้มีพระภาคเป็นกษัตริย์ แม้พวกเราก็เป็นกษัตริย์ จึงควรจะได้รับส่วนแบ่งพระบรมสารีริกธาตุบ้าง จะได้สร้างพระสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุและทำการฉลอง”

            เมื่อทูตจากเมืองต่างๆ กราบทูลอย่างนี้ พวกเจ้ามัลละผู้ครองกรุงกุสินาราได้ตรัสตอบกับหมู่คณะทูตเหล่านั้นดังนี้ว่า “พระผู้มีพระภาคปรินิพพานในเขตบ้านเมืองของเรา พวกเราจะไม่ให้ส่วนแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ”

            [๒๓๗] เมื่อพวกเจ้ามัลละผู้ครองกรุงกุสินาราได้ตรัสอย่างนี้ โทณพราหมณ์ ได้กล่าวกับหมู่คณะทูตเหล่านั้นดังนี้ว่า

            “ท่านผู้เจริญทั้งหลาย โปรดฟังคำชี้แจงของข้าพเจ้าหน่อยหนึ่งเถิด พระพุทธเจ้าของพวกเราทรงถือหลักขันติธรรม ไม่ควรที่จะประหัตประหารกัน เพราะส่วนแบ่งพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าผู้เป็นอุดมบุคคล ขอให้ทุกฝ่ายพร้อมใจกันแบ่งพระบรมสารีริกธาตุออกเป็น ๘ ส่วน พระสถูปจะได้แพร่กระจายไปยังทิศต่างๆ มีประชาชนจำนวนมากผู้เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าผู้มีพระจักษุ”

            [๒๓๘] หมู่คณะทูตเหล่านั้นตอบว่า “ท่านพราหมณ์ ถ้าเช่นนั้น ท่านนั่นแหละ จงแบ่งพระบรมสารีริกธาตุออกเป็น ๘ ส่วนเท่าๆ กันให้เรียบร้อย”

            โทณพราหมณ์รับคำแล้ว แบ่งพระบรมสารีริกธาตุออกเป็น ๘ ส่วนเท่าๆ กันให้เรียบร้อยแล้ว จึงได้กล่าวกับหมู่คณะทูตเหล่านั้นดังนี้ว่า “ท่านผู้เจริญทั้งหลาย โปรดให้ทะนานนี้แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะสร้างพระสถูปบรรจุทะนาน(ตุมพะ)และทำการฉลอง”

            พวกเขาจึงได้มอบทะนานให้โทณพราหมณ์

             พวกเจ้าโมริยะผู้ครองกรุงปิปผลิวันได้ทรงสดับว่า “พระผู้มีพระภาคปรินิพพานในกรุงกุสินารา” จึงทรงส่งทูตไปถึงพวกเจ้ามัลละผู้ครองกรุงกุสินาราว่า “พระผู้มีพระภาคทรงเป็นกษัตริย์ แม้พวกเราก็เป็นกษัตริย์ จึงควรจะได้รับส่วนแบ่งพระบรมสารีริกธาตุบ้าง จะได้สร้างพระสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุและทำการฉลอง”

            พวกเจ้ามัลละผู้ครองกรุงกุสินาราตอบว่า “(บัดนี้) ไม่มีส่วนแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ พระบรมสารีริกธาตุได้แบ่งกันหมดแล้ว พวกท่านจงนำเอาพระอังคาร(เถ้า)ไปจากที่นี้เถิด”

            พวกทูตเหล่านั้น จึงนำเอาพระอังคารไปจากที่นั้น

 

บูชาพระบรมธาตุและสร้างพระสถูป

            [๒๓๙] เวลานั้น พระราชาแห่งแคว้นมคธพระนามว่าอชาตศัตรู เวเทหิบุตร ทรงสร้างพระสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุและทำการฉลองในกรุงราชคฤห์ พวกเจ้าลิจฉวีผู้ครองกรุงเวสาลี ทรงสร้างพระสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุและทำการฉลองในกรุงเวสาลี พวกเจ้าศากยะชาวกบิลพัสดุ์ ทรงสร้างพระสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุและทำการฉลองในกรุงกบิลพัสดุ์ พวกเจ้าถูลีผู้ครองกรุงอัลลกัปปะ ทรงสร้างพระสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุและทำการฉลองในกรุงอัลลกัปปะ พวกเจ้าโกลิยะผู้ครองกรุงรามคาม ทรงสร้างพระสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุและทำการฉลองในกรุงรามคาม พราหมณ์ผู้ครองกรุงเวฏฐทีปกะ สร้างพระสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุและทำการฉลองในกรุงเวฏฐทีปกะ พวกเจ้ามัลละผู้ครองกรุงปาวา ทรงสร้างพระสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุและทำการฉลองในกรุงปาวา พวกเจ้ามัลละผู้ครองกรุงกุสินารา ทรงสร้างพระสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุและทำการฉลองในกรุงกุสินารา แม้โทณพราหมณ์ก็สร้างพระสถูปบรรจุทะนานและทำการฉลอง พวกเจ้าโมริยะผู้ครองกรุงปิปผลิวัน ทรงสร้างพระสถูปบรรจุพระอังคารและทำการฉลองในกรุงปิปผลิวัน

            รวมเป็นพระสถูปที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ๘ แห่ง พระสถูปที่บรรจุทะนานเป็นแห่งที่ ๙ และพระสถูปที่บรรจุพระอังคารเป็นแห่งที่ ๑๐ การแบ่งพระบรมสารีริกธาตุและการสร้างพระสถูปเคยมีมาแล้วอย่างนี้

            [๒๔๐] พระบรมสารีริกธาตุของพระผู้มีพระจักษุ ซึ่งเป็นบุคคลประเสริฐสุดมี ๘ ทะนาน

             ประชาชนบูชากันอยู่ในชมพูทวีป ๗ ทะนาน

            พระราชาเผ่านาคบูชาอยู่ในรามคาม ๑ ทะนาน

            เทพชั้นดาวดึงส์บูชาพระเขี้ยวแก้วองค์หนึ่ง

            ส่วนพระเขี้ยวแก้วอีกองค์หนึ่ง บูชากันอยู่ในคันธารบุรี อีกองค์หนึ่ง บูชากันอยู่ในแคว้นของพระเจ้ากาลิงคะ อีกองค์หนึ่ง พระราชาเผ่านาคบูชาอยู่

            ด้วยพระเดชแห่งพระบรมสารีริกธาตุนั้น แผ่นดินใหญ่นี้ประดับด้วยนักพรตผู้ประเสริฐ พระบรมสารีริกธาตุของพระผู้มีพระจักษุนี้ ชื่อว่าอันสาธุชนสักการะกันดีแล้ว

            พระพุทธเจ้าพระองค์ใด อันจอมเทพ จอมนาค และจอมคนบูชาแล้ว อันจอมมนุษย์ผู้ประเสริฐสุดบูชาแล้วเหมือนกัน ท่านทั้งหลายจงประนมมือไหว้พระบรมสารีริกธาตุองค์นั้นๆ พระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นบุคคลหาได้ยาก โดยใช้เวลาถึง ๑๐๐ กัป

            พระทนต์ ๔๐ องค์ พระเกศา และพระโลมาทั้งหมดเหล่าเทพนำไปองค์ละองค์(บูชา)สืบๆ กันไปในจักรวาล

มหาปรินิพพานสูตรที่ ๓ จบ

--------------------------



 

คำอธิบายเพิ่มเติมนี้ นำมาจากบางส่วนของอรรถกถา ทีฆนิกาย มหาวรรค

มหาปรินิพพานสูตร

 

ตถาคตปจฺฉิมวาจาวณฺณนา 

พระปัจฉิมวาจาของพระตถาคต

              

               บัดนี้ เพื่อจะแสดงการประทานพระโอวาทแก่ภิกษุสงฆ์ ที่ทรงเริ่มไว้นั้น จึงกล่าวคำว่า  ทั้งธรรมก็ทรงแสดงแล้วบัญญัติแล้ว ทั้งวินัยก็ทรงแสดงบัญญัติแล้ว. ธรรมและวินัยนั้นจะเป็นศาสดาของท่านทั้งหลายโดยที่เราล่วงไป.
               จริงอยู่ เรายังเป็นอยู่นี้แลแสดงอุภโตวิภังควินัย พร้อมทั้งขันธกบริวารแก่เธอทั้งหลาย ในวัตถุที่จัดไว้ด้วยอำนาจกองอาบัติทั้ง ๗ ว่า นี้อาบัติเบา นี้อาบัติหนัก นี้อาบัติที่แก้ไขได้ นี้อาบัติที่แก้ไขไม่ได้ นี้อาบัติที่เป็นโลกวัชชะ นี้เป็นบัณณัติวัชชะ นี้อาบัติออกได้ในสำนักบุคคล นี้อาบัติออกได้ในสำนักคณะ นี้อาบัติออกได้ในสำนักสงฆ์. วินัยปิฏกแม้ทั้งสิ้นนั้น เมื่อเราปรินิพพานแล้วจักทำกิจของศาสดาของพวกท่านให้สำเร็จ.
               อนึ่ง เรายังเป็นอยู่นี้แหละ ก็จำแนกแยกแยะธรรมเหล่านี้ แสดงสุตตันตปิฏกด้วยอาการนั้นว่า เหล่านี้สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคมีองค์ ๘ สุตตันตปิฏกแม้ทั้งสิ้นนั้นจักทำกิจแห่งศาสดาของท่านทั้งหลายให้สำเร็จ.
               อนึ่ง เรายังดำรงอยู่นี้แหละ จำแนกแยกแยะธรรมเหล่านี้ คือ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ สัจจะ ๔ อินทรีย์ ๒๒ เหตุ ๙ อาหาร ๔ ผัสสะ ๗ เวทนา ๗ สัญญา ๗ สัญเจตนา ๗ จิตต์ ๗ แม้ในจิตต์นั้น ธรรมเท่านี้เป็นกามาวจร เท่านี้เป็นรูปาวจร เท่านี้เป็นอรูปาวจร เท่านี้เป็นธรรมเนื่องกัน เท่านี้เป็นธรรมไม่เนื่องกัน เท่านี้เป็นโลกิยะ เท่านี้เป็นโลกุตตระ แล้วแสดงอภิธรรมปิฏก เป็นสมันตปัฏฐาน ๒๔ ประดับมหาปัฏฐานอนันตนัย อภิธรรมปิฏกแม้ทั้งสิ้น เมื่อเราปรินิพพานแล้ว จักทำกิจแห่งศาสดาของเธอทั้งหลายให้สำเร็จ.
               อนึ่ง พระพุทธวจนะนี้ทั้งหมดที่เราภาษิตแล้ว กล่าวแล้ว ตั้งแต่ตรัสรู้จนถึงปรินิพพานมีมากประเภทอย่างนี้ คือ ปิฏก ๓ นิกาย ๕ องค์ ๙ แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์. พระธรรมขันธ์แปดหมื่นสี่พันเหล่านี้ดำรงอยู่ด้วยประการฉะนี้.
               พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงแสดงเหตุเป็นอันมากอย่างนี้ว่า เราจักปรินิพพานผู้เดียว อนึ่ง เราบัดนี้ก็โอวาทสั่งสอนผู้เดียวเหมือนกัน เมื่อเราปรินิพพานแล้ว พระธรรมขันธ์แปดหมื่นสี่พันเหล่านี้ก็จักโอวาทสั่งสอนท่านทั้งหลาย ทรงโอวาทว่า ธรรมวินัยนั้นจักเป็นศาสดาของท่านทั้งหลาย เมื่อเราล่วงไป แล้วเมื่อทรงย้ำแสดงจารีตในอนาคตกาล

               ก็อาจารย์บางพวกกล่าวว่า พระนาคเสนรู้จักอาบัติเล็กๆ น้อย เพราะถูกพระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ท่านพระนาคเสน อาบัติเล็กเป็นอย่างไร อาบัติน้อยเป็นอย่างไร? ทูลตอบว่า มหาบพิตร ทุกกฎเป็นอาบัติเล็ก ทุพภาษิตเป็นอาบัติน้อย.
               ส่วนพระมหากัสสปะเถระ เมื่อไม่รู้อาบัติเล็ก อาบัติน้อยนั้น จึงประกาศว่า
               ผู้มีอายุทั้งหลาย ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า สิกขาบททั้งหลายของพวกเราที่เป็นส่วนของคฤหัสถ์ก็มีอยู่ แม้คฤหัสถ์ทั้งหลายก็รู้ว่า ข้อนี้ควรแก่ท่านทั้งหลายที่เป็นสมณสักยบุตร ข้อนี้ไม่ควรแก่ท่านทั้งหลายที่เป็นสมณสักยบุตร ถ้าเราจะถอนสิกขาบทเล็กๆ น้อยๆ เสีย ผู้คนทั้งหลายก็จักว่ากล่าวเอาได้ว่า สิกขาบทที่พระสมณโคดมบัญญัติเอาไว้แก่สาวกทั้งหลายอยู่ได้ชั่วควันไฟ สาวกเหล่านี้ศึกษาในสิกขาบททั้งหลายตราบเท่าที่ศาสดายังดำรงอยู่ เพราะศาสดาของสาวกเหล่านี้ปรินิพพานเสียแล้ว สงฆ์ไม่พึงบัญญัติในข้อที่ไม่ทรงบัญญัติ ไม่พึงถอนในข้อที่ทรงบัญญัติไว้แล้ว พึงสมาทานประพฤติในสิกขาบททั้งหลายที่ทรงบัญญัติไว้แล้ว นี้เป็นญัตติ. ท่านประกาศกรรมวาจาดังกล่าวมานี้.
               ข้อนั้นไม่ควรถืออย่างนี้ ก็ท่านพระนาคเสนกล่าวไว้อย่างนั้น ด้วยประสงค์จะไม่ให้ปรวาที (ฝ่ายตรงกันข้าม) มีโอกาส. ท่านพระมหากัสสปเถระประกาศกรรมวาจานี้ก็ด้วยประสงค์จะไม่เพิกถอนอาบัติเล็กๆ น้อยๆ แล. แม้เรื่องพรหมทัณฑ์ ท่านก็วินิจฉัยไว้แล้วในอรรถกถาวินัยชื่อสมันตปาสาทิกา เพราะมาแล้วในบาลีสังคีติ.
               ผู้ใดพึงบังเกิดความสงสัยว่า เป็นพระพุทธเจ้าหรือไม่ใช่พระพุทธเจ้าหนอ เป็นพระธรรมหรือไม่ใช่พระธรรมหนอ เป็นพระสงฆ์หรือไม่ใช่พระสงฆ์หนอ เป็นมรรคหรือมิใช่มรรคหนอ เป็นปฏิปทาหรือไม่ใช่ปฏิปทาหนอ เราจะกล่าวข้อนั้นแก่เธอทั้งหลาย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอจงถามดังนี้.
               ถ้าพวกเธอไม่ถามด้วยความเคารพในศาสดาอย่างนี้ว่า พวกเราบวชในสำนักของพระศาสดา แม้ปัจจัย ๔ ก็เป็นของพระศาสดาของพวกเราเหล่านั้น ก็ไม่ควรจะทำความสงสัยตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ในวันนี้ ไม่ควรจะทำความสงสัยในกาลภาคหลัง.
               บรรดาท่านทั้งหลาย ผู้ใดเห็นคบกันแล้วกับภิกษุใด ผู้นั้นจงบอกภิกษุนั้นว่า ข้าพเจ้าจะบอกแก่ภิกษุรูปหนึ่ง ท่านทั้งหลายฟังคำภิกษุนั้นแล้วจักหมดความสงสัยทุกรูป.
               บทว่า อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ ความว่า จงยังกิจทั้งปวงให้สำเร็จด้วยความไม่ไปปราศจากสติ.  ดังนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบรรทมที่เตียงปรินิพพาน ประทานพระโอวาทที่ประทานมา ๔๕ พรรษา รวมลงในบท คือความไม่ประมาทอย่างเดียวเท่านั้น.
                                      

ปรินิพฺพุตกถาวณฺณนา  

เรื่องพุทธปรินิพพาน

             

               ต่อแต่นี้ไป เพื่อจะแสดงข้อที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำบริกรรมในพระปรินิพพาน ท่านพระอานนท์เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าเข้านิโรธสมาบัติไม่มีอัสสาสปัสสาสะ จึงถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้วหรือ.
               ท่านพระอนุรุทธตอบว่า ยัง ผู้มีอายุ. พระเถระทราบเรื่อง.
               ได้ยินว่า พระเถระเข้าสมาบัตินั้นๆ พร้อมกับพระศาสดานั่นแล จึงรู้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนะ แล้วดำเนินไป บัดนี้ เข้านิโรธสมาบัติ ชื่อว่าการทำกาละในภายในนิโรธสมาบัติไม่มี.
               ในพระบาลีนี้ว่า ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธ เข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะ ฯลฯ ออกจากตติยฌาน เข้าจตุตถฌาน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเข้าปฐมฌานในฐานะ ๒๔ ทุติยฌานในฐานะ ๑๓ ตติยฌานก็เหมือนกัน เข้าจตุตถฌานในฐานะ ๑๕.
               เข้าอย่างไร.
               คือ เข้าปฐมฌานในฐานะ ๒๔ เหล่านี้ มีอสุภะ ๑๐ อาการ ๓๒ กสิณ ๘ เมตตา กรุณา มุทิตา อานาปานสติปริจเฉทากาส เป็นต้น. แต่เว้นอาการ ๓๒ และอสุภะ ๑๐ เข้าทุติยฌานในฐานะที่เหลือ ๑๓ และเข้าตติยฌานในฐานะ ๑๓ นั้นเหมือนกัน.
               อนึ่ง เข้าจตุตถฌานในฐานะ ๑๕ เหล่านี้ คือกสิณ ๘ อุเบกขาพรหมวิหาร อานาปานสติ ปริจเฉทากาส อรูป ๔. กล่าวโดยสังเขปเท่านี้.
               แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ธรรมสามี เสด็จเข้าพระนครคือปรินิพพาน เสด็จเข้าสมาบัติทั้งหมดนับได้ยี่สิบสี่แสนโกฏิ แล้วเข้าเสวยสุขในสมาบัติทั้งหมด เหมือนคนไปต่างประเทศ กอดคนที่เป็นญาติฉะนั้น.
               ในคำนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากจตุตถฌานในลำดับมา เสด็จปรินิพพาน คือ ในลำดับทั้ง ๒ คือ ในลำดับแห่งฌาน ในลำดับแห่งปัจจเวกขณญาณ.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากฌานแล้ว หยั่งลงสู่ภวังค์ แล้วปรินิพพานในระหว่างนั้น ชื่อว่าระหว่างฌาน ในลำดับ ๒ นั้น. พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากฌานแล้ว พิจารณาองค์ฌานอีก หยั่งลงสู่ภวังค์ แล้วปรินิพพานในระหว่างนั้นนั่นแหละ ชื่อว่าระหว่างปัจจเวกขณญาณ. แม้ทั้ง ๒ นี้ก็ชื่อว่าระหว่างทั้งนั้น. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าเข้าฌานเสด็จออกจากฌาน พิจารณาองค์ฌานแล้วปรินิพพานด้วยภวังคจิต เป็นอัพยากฤตเป็นทุกขสัจจะ. สัตว์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ไม่ว่าพระพุทธเจ้าหรือพระสาวก อย่างต่ำมดดำมดแดง ต้องกระทำกาละด้วยภวังคจิตที่เป็นอัพยากฤต เป็นทุกขสัจทั้งนั้นแล.
                                                 

ตถาคตสรีรปฏิปตฺติวณฺณนา   

บูชาพระพุทธสรีระ

            

               ความว่า พระเถระผู้เดียวปรากฏว่าเป็นผู้มีทิพยจักษุ เพราะฉะนั้น เมื่อพระเถระองค์อื่นๆ แม้มีอายุ พวกเจ้ามัลละเหล่านั้น ก็เรียนถามเฉพาะพระเถระ ด้วยประสงค์ว่า ท่านพระอนุรุทธเถระนี้จักบอกแก่พวกเราได้ชัดเจน.
               พวกเจ้ามัลละเรียนถามว่า ท่านเจ้าข้า ก่อนอื่น พวกเรารู้ความประสงค์ของพวกเรา แต่ความประสงค์ของเหล่าเทวดาเป็นอย่างไร. พระเถระ เมื่อจะแสดงความประสงค์ของพวกเจ้ามัลละเท่านั้น 

    เจดีย์ของพวกเจ้ามัลละ ชื่อว่ามกุฏพันธนะ นี้เป็นชื่อของศาลามงคลเป็นที่แต่งพระองค์ของพวกเจ้ามัลละ. ก็ศาลานี้ ท่านเรียกว่าเจดีย์ เพราะอรรถว่า ท่านสร้างไว้อย่างงดงาม.
               อนึ่ง ในระหว่างเหล่าเทวดาก็มีเหล่ามนุษย์ ในระหว่างเหล่ามนุษย์ก็มีเทวดา ทั้งเทวดาและมนุษย์ได้พากันไปสักการะบูชา แม้ด้วยประการดังกล่าวมานี้.
               ความว่า เมื่อพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้าถูกเขานำมาอย่างนี้ ภรรยาของพันธุลเสนาบดี ชื่อว่ามัลลิกา ทราบว่า เขานำพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้ามา ก็คิดว่าเราจักให้เขานำเครื่องประดับชื่อมหาลดาประสาธน์ เช่นเดียวกับเครื่องประดับของนางวิสาขา ซึ่งเราเก็บไว้ไม่ได้ใช้สอยมาตั้งแต่สามีของตนตายไป จักบูชาพระศาสดา ด้วยมหาลดาประสาธน์นี้ ดังนี้แล้ว ให้ทำความสะอาดมหาลดาประสาธน์นั้น ชำระด้วยน้ำหอมแล้ววางไว้ใกล้ประตู.
               เขาว่า เครื่องประดับนั้นมีอยู่ในสถานที่ ๓ แห่ง คือ ที่เรือนของสตรีทั้งสองนั้น (นางวิสาขา และนางมัลลิกา) และเรือนของโจร ชื่อว่าเทวนานิยะ.
               ก็นางมัลลิกานั้นกล่าวว่า เมื่อพระสรีระของพระศาสดามาถึงประตูแล้ว พ่อทั้งหลาย จงวางพระสรีระของพระศาสดาลงแล้ว สวมเครื่องประดับนี้ที่พระสรีระของพระศาสดา. เครื่องประดับนั้น สวมตั้งแต่พระเศียรจนจรดพื้นพระบาท พระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้าซึ่งมีพระฉวีวรรณเหมือนทองคำ ประดับด้วยมหาลดาประสาธน์ ที่ทำด้วยรัตนะ ๗ ประการ ก็รุ่งเรืองยิ่งนัก.
               นางมัลลิกานั้นเห็นดังนั้นแล้ว ก็มีจิตผ่องใส ทำความปรารถนาว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์จักโลดแล่นอยู่ในวัฏฏสงสารตราบใด ตราบนั้น กิจด้วยเครื่องประดับ จงอย่าแยกจากข้าพระองค์ ขอสรีระจงเป็นเช่นเดียวกับเครื่องประดับที่สวมใส่อยู่เป็นนิตย์เถิด.
               ครั้งนั้น พวกเจ้ามัลลปาโมกข์ยกพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยเครื่องมหาลดาประสาธน์ ที่ทำด้วยรัตนะ ๗ ประการ ออกทางประตูทิศบูรพา วางพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้าลง ณ มกุฏพันธนะเจดีย์ของพวกเจ้ามัลละ ทางเบื้องทิศบูรพาแห่งพระนคร.

 

มหากสฺสปตฺเถรวตฺถุวณฺณนา   

เรื่องพระมหากัสสปเถระ

            

               ความว่า ท่านพระมหากัสสปะเดินทางไกลด้วยหมายใจว่า จักเที่ยวไปบิณฑบาตในนครปาวา แล้วจักไปยังนครกุสินารา.
               ความจริง เหล่าภิกษุบริวารของพระเถระล้วนแต่จำเริญสุข มีบุญมาก ท่านเดินทางด้วยเท้าบนแผ่นดินที่เสมือนแผ่นหินอันร้อนในเวลาเที่ยง พากันลำบาก. พระเถระเห็นภิกษุเหล่านั้น ก็คิดว่า ภิกษุทั้งหลายพากันลำบาก ทั้งสถานที่ๆ จะไปก็ยังอยู่ไกล จักพักเสียเล็กน้อยระงับความลำบาก ตอนเย็นถึงนครกุสินาราจักเข้าเฝ้าพระทศพล จึงแวะลงจากทาง ปูสังฆาฏิที่โคนไม้แห่งหนึ่ง แล้วเอาน้ำจากคณโฑน้ำลูบมือและเท้าให้เย็น แล้วนั่งลง. แม้เหล่าภิกษุบริวารของท่าน ก็นั่ง ณ โคนไม้ ใช้โยนิโสมนสิการทำกัมมัฏฐาน นั่งสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย. ดังนั้น ท่านจึงไม่กล่าวว่าพักกลางวัน. เพราะนั่งเพื่อต้องการบรรเทาความเมื่อยล้า.
               เห็นอาชีวกเดินมาแต่ไกล. ก็แลครั้นเห็นแล้ว พระเถระคิดว่า นั่นดอกมณฑารพปรากฏอยู่ในมือของอาชีวกนี่ ก็ดอกมณฑารพนั้นไม่ปรากฏในถิ่นมนุษย์เสมอๆ จะมีก็ต่อเมื่อผู้มีฤทธิ์บางท่านแผลงฤทธิ์ และต่อเมื่อพระสัพพัญญูโพธิสัตว์เสด็จลงสู่พระครรภ์ของพระมารดาเป็นต้น แต่วันนี้ ผู้มีฤทธิ์ไรๆ ก็ไม่ได้แสดงฤทธิ์นี่ พระศาสดาของเราก็ไม่เสด็จลงสู่พระครรภ์ของพระมารดา ไม่ได้เสด็จออกจากพระครรภ์ ทั้งวันนี้พระองค์ก็มิได้ตรัสรู้ ไม่ได้ประกาศพระธรรมจักร ไม่ได้แสดงยมกปาฏิหาริย์ ไม่ได้เสด็จลงจากเทวโลก ไม่ได้ทรงปลงอายุสังขาร แต่พระศาสดาของเราทรงพระชรา จักเสด็จปรินิพพานเสียเป็นแน่แล้ว.
               ลำดับนั้น พระเถระเกิดจิตคิดว่า จักถามเขา จึงดำริว่า ก็ถ้าเรานั่งถาม ก็จักเป็นการกระทำความไม่เคารพในพระศาสดา ดังนี้แล้วจึงลุกขึ้น ห่มบังสุกุลจีวรสีเมฆที่พระทศพลประทาน ประหนึ่งพญาช้างฉัททันต์หลีกออกจากที่ยืน คลุมหนังแก้วมณี ฉะนั้น ยกอัญชลีอันรุ่งเรืองด้วยทศนัขสโมทานไว้เหนือเกล้า ผินหน้าตรงต่ออาชีวกด้วยคารวะที่ทำในพระศาสดา กล่าวถามว่า ผู้มีอายุ ท่านทราบข่าวพระศาสดาของเราบ้างไหม.
               ถามว่า ก็ท่านพระมหากัสสปะ รู้การปรินิพพานของพระศาสดา หรือไม่รู้จึงถาม. อาจารย์พวกหนึ่งกล่าวว่า การรู้ของพระขีณาสพทั้งหลายต้องเนื่องด้วยอาวัชชนะ ความนึก ก็ท่านพระมหากัสสปะนี้ไม่รู้ จึงถาม เพราะท่านไม่ได้นึกไว้. พระเถระมากด้วยสมาบัติ ยังชีวิตให้เป็นไปด้วยการมากไปด้วยสมาบัติเป็นนิตย์ ในที่อยู่กลางคืน ที่พักกลางวัน ที่เร้นและที่มณฑปเป็นต้น เข้าบ้านของตระกูลก็เข้าสมาบัติทุกประตูเรือน ออกจากสมาบัติแล้วจึงรับภิกษา เขาว่า พระเถระทำความตั้งใจอย่างนี้ว่า ด้วยอัตตภาพสุดท้ายนี้ เราจักอนุเคราะห์มหาชน ชนเหล่าใดถวายภิกษาหรือทำสักการะด้วยของหอม...และดอกไม้เป็นต้นแก่เรา ทานนั้นของชนเหล่านั้นจงมีผลมากดังนี้ เพราะฉะนั้น ท่านจึงไม่รู้ เพราะมากไปด้วยสมาบัติ. ดังนั้น อาจารย์พวกหนึ่งจึงกล่าวว่า ท่านไม่รู้จึงถาม.
               คำนั้น ไม่ควรถือเอา. เพราะว่า ไม่มีเหตุที่จะไม่รู้ในข้อนั้น.
               การปรินิพพานของพระศาสดาได้เป็นการกำหนดไว้ชัดแล้วด้วยนิมิตทั้งหลายมีหมื่นโลกธาตุไหวเป็นต้น พระเถระผู้รู้อยู่จึงถามเพื่อให้เกิดสติแก่ภิกษุทั้งหลาย ด้วยคิดว่า ก็ในบริษัทของพระเถระ ภิกษุบางเหล่าก็เคยเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า บางเหล่าก็ไม่เคยเห็น บรรดาภิกษุเหล่านั้น แม้ภิกษุเหล่าใดเคยเห็นแล้ว ภิกษุแม้เหล่านั้นก็ยังอยากจะเห็น แม้ภิกษุเหล่าใดไม่เคยเห็น แม้ภิกษุเหล่านั้นก็ยากจะเห็นเหมือนกัน บรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุเหล่าใดไม่เคยเห็น ภิกษุเหล่านั้นก็ไปเพราะกระหายที่จะเห็นยิ่งนัก.
               ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่ไหน
               ทราบว่า ปรินิพพานเสียแล้ว ก็จะไม่อาจจะดำรงตัวอยู่ได้ ทิ้งบาตรจีวร นุ่งผ้าผืนเดียวบ้าง นุ่งไม่ดีบ้าง ห่มไม่ดีบ้าง ทุบอกร่ำร้องไห้ ในที่นั้น ผู้คนทั้งหลายจักแสดงโทษของเราว่า เหล่าภิกษุผู้ถือบังสุกุลจีวริกังคธุดงค์ที่มากับพระมหากัสสปะร้องไห้เสียเองเหมือนสตรี ภิกษุเหล่านั้นจักปลอบโยนพวกเราได้อย่างไร ก็ป่าใหญ่นี้คงจะว่างเปล่า เมื่อภิกษุทั้งหลายร้องไห้เหมือนในที่นี้ ขึ้นชื่อว่าโทษคงจะไม่มี เพราะรู้เรื่องเสียก่อน แม้ความโศกเศร้าก็คงจะเบาบางดังนี้.
               สุภัททะภิกษุนั้นจึงกล่าวอย่างนี้. เพราะอาฆาตในพระผู้มีพระภาคเจ้า.
               ได้ยินว่า สุภัททะภิกษุนี้นั้น เคยเป็นช่างตัดผมในเมืองอาตุมานคร ที่มาในขันธกะ บวชเมื่อแก่ ทราบว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากนครกุสินาราไปยังอาตุมานคร พร้อมกับภิกษุ ๒๕๐ รูป. พระผู้มีพระภาคเจ้ากำลังเสด็จมา จึงคิดว่าจักกระทำยาคูทานถวายในเวลาเสด็จมา จึงเรียกบุตร ๒ คน ซึ่งเตรียมตัวจะเป็นสามเณร บอกว่า พ่อเอ๋ย เขาว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมายังอาตุมานคร พร้อมกับภิกษุหมู่ใหญ่ประมาณ ๒๕๐ รูป ไปเถิดพ่อ จงถือเครื่องมีดโกนพร้อมกับทะนานและถังไปทุกลำดับบ้านเรือน จงรวบรวมเกลือบ้าง น้ำมันบ้าง ข้าวสารบ้าง ของเคี้ยวบ้าง เราจักกระทำยาคูทาน ถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เสด็จมา. บุตร ๒ คนนั้นก็ได้กระทำอย่างนั้น.
               ผู้คนเห็นเด็กเหล่านั้นมีเสียงเพราะ มีไหวพริบ บ้างประสงค์จักให้กระทำ บ้างประสงค์จะไม่ให้กระทำ แต่ก็ให้กระทำทั้งนั้น ถามว่า พ่อเอ้ยเจ้าจักรับไปในเวลาทำหรือ. เด็ก ๒ คนนั้นบอกว่า พวกข้าไม่ต้องการอะไรอื่น แต่พ่อของเราประสงค์จะถวายยาคูทาน ในเวลาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมา. ผู้คนได้ฟังดังนั้นแล้วก็ไม่ค่อยนำพา ยอมให้สิ่งที่เด็กทั้ง ๒ นั้น อาจนำไปได้หมด ที่ไม่อาจนำไปได้ก็ส่งคนไป.
               ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมายังอาตุมานคร ก็เข้าไปยังโรงลานข้าว ตกเย็น สุภัททะภิกษุก็ไปยังประตูบ้าน เรียกมนุษย์มากล่าวว่า อุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ได้รับอะไรๆ อย่างอื่นจากสำนักของท่านทั้งหลาย ข้าวสารเป็นต้นที่เด็กของข้าพเจ้านำมาเพียงพอแก่สงฆ์ พวกท่านจงให้เพียงงานฝีมือเถิด.
               ถามว่า พวกข้าพเจ้าจะทำอย่างไรเจ้าข้า.
               สุภัททะภิกษุพูดว่า พวกท่านจงถือเอาสิ่งนี้ๆ แล้วให้ถือเครื่องอุปกรณ์ทั้งหมด ให้สร้างเตาไฟที่วิหาร ตนเองนุ่งกาสาวะดำผืนหนึ่ง ห่มผืนหนึ่ง แล้วสั่งว่า จงทำสิ่งนี้ ครุ่นคิดอยู่ ตลอดทั้งคืน สละทรัพย์หนึ่งแสนให้เขาจัดยาคูสำหรับดื่มกิน และน้ำผึ้ง น้ำอ้อยงบ. ยาคูที่พึงกินแล้วดื่ม ชื่อว่ายาคูสำหรับกินดื่ม. ของมีเนยใส น้ำผึ้ง น้ำอ้อย ปลา เนื้อ ดอกไม้ ผลไม้ และรสเป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่ง ชื่อว่าของเคี้ยว ใส่ของเคี้ยวทั้งหมดลงในยาคูนั้น. คันธชาติที่หอม ที่เขาใช้ทาศีรษะสำหรับผู้ต้องการเล่นกีฬาก็มี.
               ครั้นเวลาเช้าตรู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าปฏิบัติพระสรีรกิจแล้ว มีภิกษุสงฆ์แวดล้อม เสด็จบ่ายพระพักตร์เข้าไปยังอาตุมานครเพื่อเที่ยวบิณฑบาต. ผู้คนทั้งหลายก็บอกแก่สุภัททะภิกษุนั้นว่า พระผู้มีพระภาคเจ้ากำลังเสด็จเข้าบ้านบิณฑบาต ท่านจัดยาคูไว้เพื่อใคร.
               พระสุภัททะภิกษุนั้น นุ่งห่มผ้ากาสาวะดำเหล่านั้น เอามือข้างหนึ่งจับทัพพีและกระบวย คุกเข่าข้างขวาลงที่พื้นดิน ถวายบังคมดุจพรหมทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดทรงรับยาคูของข้าพระองค์เถิด.
               ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามและทรงฟังคำนั้นแล้ว ทรงติเตียนพระสุภัททะวุฑฒบรรพชิตนั้น. เพราะเรื่องนั้น ทรงบัญญัติ ๒ สิกขาบท คือสิกขาบทว่าด้วยการชักชวนในสิ่งเป็นอกัปปิยะ และสิกขาบทว่าด้วยการรักษาเครื่องมีดโกน
               โดยนัยที่มาในขันธกะว่า
               พระตถาคตแม้ทรงทราบ ก็ทรงถามดังนี้เป็นต้น แล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหล่าภิกษุผู้แสวงหาโภชนะล่วงไปถึงหลายโกฏิกัป พวกเธอบริโภคโภชนะที่เป็นอกัปปิยะของพวกเธอ อันเกิดขึ้นโดยไม่ชอบธรรม จักต้องไปบังเกิดในอบายทั้งหลายหลายแสนอัตตภาพ จงหลีกไป อย่ามายุดยื้อ ดังนี้แล้ว ได้เสด็จบ่ายพระพักตร์ไปเที่ยวภิกขา แม้ภิกษุรูปหนึ่ง ก็ไม่รับอะไรๆ เลย.
               พระสุภัททะเสียใจ ก็ผูกอาฆาตในพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระผู้มีพระภาคเจ้านี้เข้าใจว่า เรารู้ทุกสิ่งจึงเที่ยวไป ถ้าไม่ทรงประสงค์จะรับ ก็ควรส่งคนไปบอก ขึ้นชื่อว่าอาหารที่สุกแล้วนี้ เมื่อจะตั้งอยู่นานตลอดไป พึงตั้งอยู่ได้เพียง ๗ วัน แท้จริง ของนี้จะพึงเป็นของที่เราจัดไว้ตลอดชีวิต พระองค์ก็ทรงทำให้พินาศเสียสิ้น พระผู้มีพระภาคเจ้านี้ไม่ทรงหวังดีต่อเราเสียเลย.
               เมื่อพระทศพลยังทรงพระชนม์อยู่ จึงไม่อาจกล่าวอะไรๆ ได้. ได้ยินว่า พระสุภัททะนั้นคิดอย่างนี้ว่า พระมหาบุรุษนี้บวชจากตระกูลสูง ถ้าเราพูดอะไรไป ก็จักทรงคุกคามเราผู้เดียว. พอได้ฟังว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้นี้นั้นปรินิพพานแล้วในวันนี้ ก็ร่าเริงยินดีประดุจได้ลมหายใจ จึงกล่าวอย่างนี้.
               พระเถระฟังคำนั้นแล้ว มิได้สำคัญว่าประหนึ่งถูกประหารที่หทัย ประหนึ่งฟ้าปราศจากเมฆผ่าลงบนกระหม่อม. แต่พระเถระเกิดธรรมสังเวช. พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานได้เพียง ๗ วัน แม้วันนี้ พระสรีระของพระองค์มีพระฉวีวรรณดังทองคำ ก็ยังดำรงอยู่ทีเดียว. กากบาปเสี้ยนหนามอันใหญ่เกิดขึ้นเร็วอย่างนี้ในพระศาสนาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนำมาด้วยทุกข์ยาก ก็คนบาปนี่ นี้เมื่อเติบโต ได้คนอื่นเห็นบาปนั้นเป็นพรรคพวก ก็อาจจะทำพระศาสนาให้เสื่อมถอยได้.
               ลำดับนั้น พระเถระคิดว่า ก็ถ้าเราจักให้หลวงตาผู้นี้นุ่งผ้าเก่า เอาขี้เถ้าโรยศีรษะ ขับไล่ไป. ผู้คนทั้งหลายก็จะพากันยกโทษพวกเราว่า เมื่อพระสรีระของพระสมณโคดมยังคงอยู่ เหล่าสาวกก็วิวาทกัน เพราะฉะนั้น เราจึงอดกลั้นไว้ก่อน
               ก็ธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้ว ก็เสมือนกองดอกไม้ที่ยังไม่ได้ควบคุม ในธรรมที่ทรงแสดงแล้วนั้น เปรียบเหมือนดอกไม้ทั้งหลายที่ต้องลมย่อมกระจัดกระจายไป ฉันใด สิกขาบท ๑-๒ สิกขาบทในวินัยก็จักพินาศ ปัญหาวาระ ๑-๒ วาระในสูตรก็จักพินาศ ภูมิอื่น ๑-๒ ภูมิในอภิธรรมก็จักพินาศ ในเมื่อเวลาล่วงไปๆ ด้วยอำนาจบุคคลชั่วเห็นบาปนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน.
               เมื่อมูลรากพินาศไปอย่างนี้ พวกเราก็จักเป็นเสมือนปีศาจ. เพราะฉะนั้น เราจำจักต้องสังคายนาธรรมวินัย เมื่อเป็นดังนี้ ธรรมนี้ วินัยนี้ ก็จักมั่นคงเหมือนดอกไม้ที่คุมไว้ด้วยด้ายเหนียว ก็เพื่อประโยชน์อย่างนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงเสด็จต้อนรับเรา ตลอดทาง ๓ คาวุต (๓๐๐ เส้น) ประทานอุปสมบทด้วยโอวาท ๓ ประการ ทรงเปลี่ยนจีวรจากพระวรกาย ตรัสปฏิปทาเปรียบด้วยดวงจันทร์ ประหนึ่งสั่นมือในอากาศ ทรงยกย่องเราเป็นกายสักขี (มีวิหารธรรมเสมอด้วยพระองค์) ทรงมอบความเป็นสกลศาสนทายาท ๓ ครั้งว่า เมื่อภิกษุเช่นเรายังดำรงอยู่ ภิกษุชั่วผู้นี้จักไม่ได้ความเจริญในพระศาสนา. อธรรมยังไม่รุ่งเรือง ธรรมก็จะไม่เสื่อมถอย อวินัยยังไม่รุ่งเรือง วินัยก็จะไม่เสื่อมถอย ฝ่ายอธรรมวาทียังไม่มีกำลัง ฝ่ายธรรมวาทีก็จะไม่อ่อนกำลัง ฝ่ายอวินัยวาทียังไม่มีกำลัง ฝ่ายวินัยวาทีก็จะไม่อ่อนกำลังเพียงใด เราก็จักสังคายนาธรรมและวินัยเพียงนั้น.
               แต่นั้น เหล่าภิกษุรวบรวมภิกษุที่เป็นสภาคกัน เพียงพอแก่ตนๆ ก็จักกล่าวสิ่งที่ควรและไม่ควรได้ เมื่อเป็นดังนี้ ภิกษุชั่วผู้นี้ตนเองก็ประสบนิคคหะ ไม่อาจเงยศีรษะได้อีก พระศาสนาก็จักมั่นคงและแพร่หลาย.
               พระเถระคิดว่า เราเกิดจิตคิดอย่างนี้แล้ว ยังไม่อาจบอกใครๆ ได้แต่ปลอบโยนภิกษุสงฆ์. ได้ยินว่า เทวดาเหล่านั้นเป็นเทวดาอุปัฏฐากของพระเถระนั่นเอง. ความจริง เพราะจิตเลื่อมใสพระอสีติมหาสาวก อุปัฏฐาก ๘๐,๐๐๐ ตระกูล ของพระมหาสาวกเหล่านั้น ก็ไปบังเกิดในสวรรค์.
               ลำดับนั้น เหล่าเทวดาผู้มีจิตเลื่อมใสในพระเถระแล้วบังเกิดในสวรรค์ ไม่เห็นพระเถระในสมาคมนั้น คิดว่า พระเถระประจำตระกูลของพวกเราไปเสียที่ไหนหนอ ก็เห็นท่านเดินอยู่ระหว่างทาง จึงพากันอธิษฐานว่า เมื่อพระเถระประจำตระกูลของพวกเรายังไม่ได้ถวายบังคมพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้า ขอจิตกาธานอย่าเพิ่งติดไฟ ดังนี้.
               เหล่าผู้คนฟังเรื่องนั้นแล้วคิดว่า เขาว่าพระมหากัสสปะกล่าวว่า ดูก่อนท่านภิกษุ เราจักถวายบังคมพระบาทของพระทศพล พร้อมกับภิกษุ ๕๐๐ รูป ดังนี้แล้วจึงมา เมื่อยังมาไม่ถึง จิตกาธานก็จักไม่ติดไฟ ผู้เจริญ ภิกษุนั้นเป็นเช่นไร ดำ ขาว สูง เตี้ย เมื่อภิกษุเช่นนี้ยังดำรงอยู่ ทำไมพระทศพลจึงปรินิพพาน ดังนี้แล้ว บางพวกถือของหอมและดอกไม้เป็นต้นเดินสวนทาง บางพวกทำถนนให้สวยงาม ยืนสำรวจทางที่จะมา.
               ได้ยินว่า พระเถระกระทำประทักษิณจิตกาธาน พลางรำลึกกำหนดว่า ตรงนี้พระเศียร ตรงนี้พระบาท. แต่นั้น พระเถระก็ยืนใกล้พระบาททั้งสอง เข้าจตุตถฌานอันเป็นบาทแห่งอภิญญา ออกจากฌานแล้วอธิษฐานว่า ขอพระยุคลบาทของพระทศพลที่มีลักษณะจักรอันประกอบด้วยซี่ ๑,๐๐๐ ซี่ประดิษฐานแล้ว จงชำแรกคู่ผ้า ๕๐๐ คู่ พร้อมกับชั้นสำลี รางทอง และจิตกาธานไม้จันทน์ออกเป็น ๒ ช่อง ประดิษฐานเหนือเศียรเกล้าของข้าพระองค์ด้วยเถิด. พร้อมด้วยจิตอธิษฐาน พระยุคลบาทก็ชำแรกคู่ผ้า ๕๐๐ คู่เป็นต้นเหล่านั้นโผล่ออกมา ประหนึ่งจันทร์เพ็ญออกจากระหว่างพลาหกฉะนั้น.
               พระเถระเหยียดมือทั้ง ๒ เสมือนดอกปทุมแดงที่คลี่บานแล้ว จับพระยุคลบาทของพระศาสดา อันมีพระฉวีวรรณดังทองคำจนถึงข้อพระบาทไว้มั่นแล้ว ประดิษฐานไว้เหนือเศียรเกล้าอันประเสริฐของตน. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เผยพระบาทถวายบังคมพระบาทของผู้มีพระภาคเจ้าด้วยเศียรเกล้า.
               มหาชนเห็นความอัศจรรย์ดังนั้นแล้ว บันลือสีหนาทกระหึ่มขึ้นพร้อมกัน บูชาด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้นแล้วไหว้ตามความพอใจ. ก็แลพอพระเถระ มหาชนและภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านั้นถวายบังคมแล้ว ก็ไม่มีกิจที่จะต้องอธิษฐานอีก. ด้วยอำนาจการอธิษฐานตามปกติเท่านั้น ฝ่าพระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้ามีวรรณะดังน้ำครั่ง พ้นจากมือของพระเถระแล้ว ไม่กระทำไม้จันทน์เป็นต้นอะไรให้ไหว ประดิษฐานอยู่ในที่เดิม. จริงอยู่ เมื่อพระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้าออกมาหรือเข้าไป ใยสำลีก็ดี เส้นผ้าก็ดี หยาดน้ำมันก็ดี ชิ้นไม้ก็ดี ไม่เคลื่อนจากที่เลย ทั้งหมดตั้งอยู่ตามเดิมนั่นแล. แต่เมื่อพระยุคลบาทของพระตถาคตตั้งขึ้นแล้วก็หายวับไป เหมือนพระจันทร์และพระอาทิตย์อัสดงคต มหาชนพากันร้องไห้ยกใหญ่ น่ากรุณายิ่งกว่าครั้งปรินิพพานเสียอีก.
               ท่านกล่าวด้วยอำนาจมองไม่เห็นใครๆ ผู้พยายามจะติดไฟ. ก็จิตกาธานนั้นติดไฟพรึบเดียวโดยรอบด้วยอานุภาพของเทวดา.
               บัดนี้ ท่านกล่าวว่าสรีระทั้งหมดกระจัดกระจายไปแล้ว. อธิบายว่า พระธาตุทั้งหลายก็เสมือนดอกมะลิตูม เสมือนแก้วมุกดาที่เจียรนัยแล้ว และเสมือนจุณทองคำยังเหลืออยู่.
               จริงอยู่ สรีระของพระพุทธเจ้าผู้มีพระชนมายุยืนทั้งหลาย ย่อมติดกันเป็นพืดเช่นกับแท่งทองคำ. ส่วนพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอธิษฐานพระธาตุให้กระจายว่า เราอยู่ได้ไม่นานก็จะปรินิพพาน ศาสนาของเรายังไม่แพร่หลายไปในที่ทั้งปวงก่อน เพราะฉะนั้น เมื่อเราแม้ปรินิพพานแล้ว มหาชนถือเอาพระธาตุแม้ขนาดเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาดทำเจดีย์ในที่อยู่ของตนๆ ปรนนิบัติ จงมีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า.
               ถามว่า พระธาตุอย่างไหนของพระองค์กระจัดกระจาย อย่างไหนไม่กระจัดกระจาย.
               ตอบว่า พระธาตุ ๗ เหล่านี้ คือพระเขี้ยวแก้ว ๔ พระรากขวัญ ๒ พระอุณหิส ๑ ไม่กระจัดกระจาย นอกนั้นกระจัดกระจาย. บรรดาพระธาตุเหล่านั้น พระธาตุเล็กๆ ทั้งหมดได้มีขนาดเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาด. พระธาตุใหญ่ขนาดเท่าเมล็ดข้าวสารหักกลาง พระธาตุขนาดใหญ่ยิ่งมีขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียวหักกลาง.

               ท่อน้ำขนาดปลายเท่าแขนก็ดี ขนาดแข้งก็ดี ขนาดลำตาลก็ดี ตกจากอากาศดับไป. น้ำออกจากระหว่างลำต้น และระหว่างค่าคบของต้นสาละเหล่านั้นดับไฟ. จิตกาธานของพระผู้มีพระภาคเจ้าขนาดใหญ่. เกลียวน้ำขนาดเท่างอนไถ แม้ชำแรกดินโดยรอบ เช่นเดียวกับพวงแก้วผลึกผุดขึ้นจับจิตกาธาน.
               น้ำหอมนานาชนิด ที่เขาบรรจุหม้อทอง หม้อเงินให้เต็มนำมา.
               เหล่าเจ้ามัลละดับจิตกาธานเกลี่ยด้วยไม้ ๘ อัน ที่ทำด้วยทองและเงิน. ก็เมื่อไฟกำลังไหม้จิตกาธานนั้นอยู่ เปลวไฟก็พุ่งขึ้นจากระหว่างกิ่ง ค่าคบและใบของต้นสาละที่ยืนต้นล้อมอยู่. ใบกิ่งหรือดอกไม่ไหม้เลย. ทั้งมดแดง ทั้งลิง ทั้งสัตว์เล็กๆ เที่ยวไปโดยระหว่างเปลวไฟ. ธรรมดาในท่อน้ำที่ตกจากอากาศก็ดี ในท่อน้ำที่ออกจากต้นสาละก็ดี ในท่อน้ำที่ชำแรกแผ่นดินออกไปก็ดี ควรถือเอาเป็นประมาณ.
               ก็แลครั้นดับจิตกาธานอย่างนี้แล้ว เหล่าเจ้ามัลละก็ให้ประพรมด้วยคันธชาติ ๔ ชนิดที่สัณฐาคาร โปรยดอกไม้มีข้างตอกเป็นที่คำครบห้า ติดเพดานผ้าไว้เบื้องบน ขจิตด้วยดาวทองเป็นต้น ห้อยพวงของหอมพวงมาลัยและพวงแก้ว ให้ล้อมม่านและเสื่อลำแพนไว้สองข้างตั้งแต่สัณฐาคารจนถึงมงคลศาลาที่ประดับศีรษะ กล่าวคือมกุฏพันธน์ แล้วติดเพดานผ้าไว้เบื้องบน ขจิตด้วยดาวทองเป็นต้น ห้อยพวงของหอมพวงมาลัยและพวงแก้วแม้ในที่นั้น ให้ยกธง ๕ สี โดยสีก้านมณีและไม้ไผ่ ล้อมธงชัยและธงปฏากไว้โดยรอบ ตั้งต้นกล้วยและหม้อบรรจุน้ำไว้เต็มที่ถนนทั้งหลาย อันรดน้ำและเกลี้ยงเกลาก็ตาม ประทีปมีด้าม วางรางทองพร้อมด้วยพระธาตุทั้งหลายไว้บนคอช้างที่ประดับแล้ว บูชาด้วยมาลัยและของหอมเป็นต้น เล่นสาธุกีฬา นำเข้าไปภายในพระนคร วางไว้บนบัลลังก์ที่ทำด้วยรัตนะ ๗ ประการ ณสัณฐาคาร กั้นเฉวตฉัตรไว้เบื้องบน.
               ครั้นกระทำดังนี้แล้ว ครั้งนั้น เหล่าเจ้ามัลละชาวนครกุสินาราให้ทหารถือหอกเป็นลูกกรง ให้ทหารถือธนูเป็นกำแพงล้อมที่สัณฐาคาร บูชาพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยการฟ้อนรำ การขับร้อง การประโคม ด้วยมาลัยของหอมตลอด ๗ วัน บัณฑิตพึงทราบดังกล่าวมาฉะนี้.
               จัดเหล่าช้างเรียงลำดับกระพองต่อกันล้อมไว้ก่อน จากนั้นจัดเหล่าม้าเรียงลำดับคอต่อกัน ต่อนั้นจัดเหล่ารถเรียงลำดับปลายลิ่มล้อรถต่อกัน ต่อนั้นจัดเหล่าราบยืนเรียงลำดับแขนต่อกัน ปลายรอบแถวทหารเหล่านั้น จัดเหล่าธนูเรียงลำดับต่อกันล้อมไว้. เหล่าเจ้ามัลละจัดอารักขาตลอดที่ประมาณโยชน์หนึ่ง โดยรอบ ๗ วัน ทำประหนึ่งลูกโคสวมเกราะ ด้วยประการฉะนี้.
               ตอบว่า ใน ๒ สัปดาห์แรกจากนี้ เจ้ามัลละเหล่านั้นกระทำโอกาสที่ยืนและนั่งสำหรับภิกษุสงฆ์ จัดแจงของเคี้ยวของฉันถวาย ไม่ได้โอกาสที่จะเล่นสาธุกีฬา. แต่นั้น เจ้ามัลละเหล่านั้นดำริกันว่า พวกเราจักเล่นสาธุกีฬาตลอดสัปดาห์นี้. ข้อที่ใครๆ รู้ว่าพวกเราประมาท แล้วมายึดเอาพระธาตุทั้งหลายไปเสีย มีฐานะที่จะเป็นไปได้ เพราะฉะนั้น พวกเราจักต้องตั้งกองรักษาการณ์ไว้แล้วเล่นกีฬากัน. ด้วยเหตุนั้น เจ้ามัลละเหล่านั้นจึงได้กระทำดังนั้น.
               พระเจ้าอชาตศัตรูทรงทราบเรื่องแล้ว.
               ได้ยินว่า เหล่าอำมาตย์ของท้าวเธอ ครั้งแรกทีเดียวคิดว่า ธรรมดาว่าพระศาสดาปรินิพพานแล้ว ใครๆ ก็ไม่อาจนำพระองค์มาได้อีก แต่ไม่มีผู้เสมอเหมือนพระราชาของเราด้วยศรัทธาของปุถุชน ถ้าพระราชาพระองค์นี้จักทรงสดับโดยทำนองนี้ หฤทัยของท้าวเธอจักต้องแตก แต่พวกเราควรระวังรักษาพระราชาไว้ดังนี้.
               อำมาตย์เหล่านั้นจึงนำรางทอง ๓ ราง บรรจุของอร่อยๆ ไว้เต็มนำไปยังราชสำนัก กราบทูลว่า ข้าแต่เทวะ พวกข้าพระองค์ฝันไป พระองค์ควรทรงผ้าเปลือกไม้สองชั้นแล้วบรรทมในรางที่เต็มด้วยของอร่อยๆ ๔ อย่าง พอที่ช่องพระนาสิกโผล่ เพื่อขจัดความฝันนั้นเสียพระราชา สดับคำของเหล่าอำมาตย์ผู้หวังดี ทรงรับสั่งว่า เอาสิพ่อ แล้วได้ทรงกระทำอย่างนั้น.
               ลำดับนั้น อำมาตย์ผู้หนึ่งเปลื้องเครื่องประดับแล้วสยายผม ผินหน้าไปทางทิศที่พระศาสดาปรินิพพาน ประคองอัญชลี ทูลพระราชาว่า พระเจ้าข้า ขึ้นชื่อว่าสัตว์ผู้หลุดพ้นจากความตาย หามีไม่ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นทรงเป็นผู้เจริญชนมายุ เป็นเจติยสถาน เป็นบุญเขต เป็นพระแท่นอภิเษก เป็นศาสดาของเราทั้งหลาย ปรินิพพานแล้ว ณ นครกุสินารา พระราชาทรงสดับแล้ว ก็ถึงวิสัญญีภาพ (สลบ) ปล่อยไออุ่นในรางอันเต็มด้วยของอร่อย ๔ อย่าง.
               ลำดับนั้น เหล่าอำมาตย์ก็ยกพระองค์ขึ้นจากรางที่ ๑ นั้น ให้บรรทม ณ รางที่ ๒. ท้าวเธอกลับฟื้นขึ้นมาตรัสถามว่า พ่อเอ๋ย พวกเจ้าพูดอะไรนะ. กราบทูลว่า พระมหาราชเจ้า พระศาสดาปรินิพพานแล้ว พระเจ้าข้า. พระราชาก็กลับทรงวิสัญญีภาพอีก ปล่อยไออุ่นลงในรางของอร่อย ๔ อย่าง. ลำดับนั้น เหล่าอำมาตย์ช่วยกันยกท้าวเธอขึ้นจากรางที่ ๒ นั้นแล้ว ให้บรรทมในรางที่ ๓. ท้าวเธอทรงกลับพื้นขึ้นมาตรัสถามว่า พ่อเอ๋ย พวกเจ้าพูดอะไรนะ. กราบทูลว่า พระศาสดาปรินิพพานแล้ว พระเจ้าข้า. พระราชาก็ทรงวิสัญญีภาพอีก.
               ครั้งนั้น เหล่าอำมาตย์ช่วยกันยกพระองค์ขึ้นให้สรงสนาน เอาหม้อน้ำรดน้ำลงบนพระเศียร.
               พระราชาทรงจำได้แล้ว ลุกจากที่ประทับนั่งสยายพระเกศาที่มีวรรณะดั่งแก้วมณีอบด้วยของหอม ทอดพระปฤษฏางค์ที่มีวรรณะดังแผ่นทองคำ เอาฝ่าพระหัตถ์ตบพระอุระ จับพระอุระที่มีวรรณะดังผลตำลึงทองคำ ประหนึ่งว่าจะเสียบด้วยนิ้วพระหัตถ์อันกลมกลึง ที่มีวรรณะดุจหน่อแก้วประพาฬ ทรงคร่ำครวญ เสด็จลงไปในระหว่างถนน ด้วยเพศของคนวิกลจริต.
               ท้าวเธอมีนางรำที่แต่งตัวแล้วเป็นบริวาร เสด็จออกจากพระนครไปยังสวนมะม่วงของหมอชีวก ทอดพระเนตรสถานที่ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งแสดงธรรม พร่ำปริเทวนาการซ้ำๆ ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สัพพัญญูประทับนั่งแสดงธรรมที่นี้ มิใช่หรือ? ทรงบรรเทาความโศกศัลย์ของข้าพระองค์ พระองค์ทรงนำความโศกศัลย์ของข้าพระองค์ออกไป ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์มายังสำนักของพระองค์แล้ว แต่บัดนี้ พระองค์ไม่ประทานแม้คำโต้ตอบแก่ข้าพระองค์.
               และตรัสคำเป็นต้นอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์สดับมาในเวลาอื่นมิใช่หรือ? ว่า ในเวลาเห็นปานนั้น พระองค์มีภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่เป็นบริวาร เสด็จจาริกไป ณ ภาคพื้นชมพูทวีป แต่บัดนี้ ข้าพระองค์ก็ได้แต่ฟังเรื่องอันไม่เหมาะ ไม่ควรแก่พระองค์เลย.
               แล้วทรงรำลึกพระคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถาประมาณ ๖๐ คาถา ทรงพระดำริว่า อะไรๆ ย่อมไม่สำเร็จได้ด้วยปริเทวนาการของเรา จำเราจักให้นำพระบรมธาตุของพระทศพลมา. ทรงสดับมาอย่างนี้แล้ว ครั้นแล้ว เมื่อทรงหายวิสัญญีภาพเป็นต้นแล้ว ก็โปรดส่งทูตไป. พระเจ้าอชาตศัตรูทรงพระดำริว่า ถ้าพวกเจ้ามัลละจักให้ก็เป็นการดี ถ้าเขาไม่ให้ ก็จำเราจักต้องนำมาด้วยอุบายนำมาให้ได้ดังนี้ แล้วทรงจัดกองทัพ ๔ เหล่าเสด็จออกไปด้วยพระองค์เอง. แม้เหล่าเจ้าลิจฉวีเป็นต้นก็ส่งทูตไป เสด็จออกไปด้วยพระองค์เอง พร้อมด้วยกองทัพ ๔ เหล่าเหมือนพระเจ้าอชาตศัตรูฉะนั้น.
               ถ้ามีคำถามว่า บรรดาเจ้าเหล่านั้น เจ้ามัลละชาวนครปาวา มีระยะใกล้กว่าเขาทั้งหมด อยู่ในนครปาวาระยะ ๓ คาวุต แต่นครกุสินารา แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้านครปาวาแล้ว ก็ยังเสด็จไปนครกุสินารา เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไร พวกเจ้ามัลละนครปาวา จึงไม่เสด็จมาเสียก่อน.
               ตอบว่า เพราะว่า พวกเจ้าเหล่านั้นมีบริวารมาก เมื่อทำกิจกะบริวารที่มาก จึงมาภายหลัง.
               ความว่า พวกเจ้าและพราหมณ์ทั้งหมดเหล่านั้น รวมเป็นชาวนคร ๗ นครพากันมาแล้ว ยื่นคำขาดว่า เหล่าเจ้ามัลละจะให้พระบรมธาตุแก่พวกเราหรือจะรบ. แล้วตั้งทัพล้อมนครกุสินาราไว้ เหล่าเจ้ามัลละก็ได้กล่าวคำโต้ตอบไปว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จปรินิพพานในคามเขตของพวกเรานี่.
               ได้ยินว่า เจ้าเหล่านั้นตรัสอย่างนี้ว่า พวกเราไม่ได้ส่งข่าวของพระศาสดา พวกเราไปก็ไม่ได้นำข่าวมา แต่พระศาสดาเสด็จมาเอง ทรงส่งข่าวไปรับสั่งให้เรียกพวกเรา แต่แม้พวกท่านก็ไม่ให้พระรัตนะที่เกิดในคามเขตของพวกท่านแก่พวกเรา ธรรมดาว่า พระรัตนะที่เสมอด้วยพระพุทธรัตนะไม่มีในโลก พร้อมทั้งเทวโลก พวกเราได้พระรัตนะอันสูงสุดเห็นปานนี้ จักไม่ยอมให้ ก็พวกท่านเท่านั้นดื่มน้ำนมจากถันของมารดา พวกเราไม่ได้ดื่มก็หาไม่. พวกท่านเท่านั้นเป็นลูกผู้ชาย พวกเราไม่ได้เป็นลูกผู้ชายหรือ เป็นไรก็เป็นกัน ต่างทำอหังการส่งสาส์นโต้ตอบกัน ใช้มานะขู่คำรามต่อกันและกัน.
               ก็เมื่อมีการรบกัน ฝ่ายเหล่าเจ้ามัลละกรุงกุสินารา น่าได้ชัยชนะ.
               เพราะเหตุไร?
               เพราะเหล่าเทวดาที่พากันมาเพื่อบูชาพระบรมธาตุ ต้องเป็นฝ่ายของเจ้ามัลละกรุงกุสินาราเหล่านั้นแน่.
               แต่ในพระบาลีมาเพียงเท่านี้ว่า เหล่าเจ้ามัลละกรุงกุสินารากล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานในคามเขตของพวกเรา พวกเราจักไม่ยอมให้ส่วนแบ่งแห่งพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้า ดังนี้.
               โทณพราหมณ์สดับเรื่องการวิวาทของกษัตริย์พราหมณ์เหล่านั้นแล้ว ดำริว่า พวกเจ้าเหล่านี้ก่อวิวาทกันในสถานที่พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพาน เป็นการไม่สมควร การทะเลาะกันนี้ควรจะพอกันที จำเราจักระงับการวิวาทกันนั้นเสียดังนี้แล้ว ก็ไปกล่าวข้อความนี้แก่หมู่คณะเจ้าเหล่านั้น.
               กล่าวว่าอย่างไร?
               โทณพราหมณ์ยืนในที่ดอน (สูง) ได้กล่าวคาถาที่ชื่อว่า โทณครรชิต (การบันลือของโทณพราหมณ์) ประมาณ ๒ ภาณวาร.
               บรรดาภาณวารทั้ง ๒ นั้น ก่อนอื่น พวกเจ้าเหล่านั้นไม่รู้แม้แต่บทเดียว. จบภาณวารที่ ๒ พวกเจ้าทั้งหมดพูดกันว่า ผู้เจริญนั้นดูเหมือนเสียงของท่านอาจารย์นี่ๆ แล้วก็พากันเงียบเสียง.
               เขาว่า ในภาคพื้นชมพูทวีป คนที่เกิดในเรือนของตระกูลโดยมาก ชื่อว่าไม่เป็นศิษย์ของโทณพราหมณ์นั้นไม่มีเลย. ครั้งนั้น โทณพราหมณ์รู้ว่า เจ้าเหล่านั้นฟังคำของตนแล้วเงียบเสียงนิ่งอยู่ จึงได้กล่าวซ้ำ ได้กล่าว ๒ คาถานี้ว่า  แปลว่า พระพุทธเจ้าของพวกเรา. พระองค์แม้ไม่บรรลุพุทธภูมิ ทรงบำเพ็ญบารมีทั้งหลาย ไม่ทรงทำความโกรธในคนอื่นๆ ได้กระทำแต่ขันติอย่างเดียว ทรงสรรเสริญขันติอย่างเดียว
                         สมัยเสวยพระชาติเป็นขันติวาทิดาบส
                         สมัยเป็นธรรมปาลกุมาร
                         สมัยเป็นพระยาช้างฉัททันต์
                         สมัยเป็นพญานาคชื่อภูริทัตตะ
                         สมัยเป็นพญานาคชื่อจัมเปยยกะ
                         สมัยเป็นพญานาคชื่อสังขปาละ
                         สมัยเป็นกระบี่ใหญ่
                         และในชาดกอื่นๆ เป็นอันมาก.
               จะป่วยกล่าวไปใย บัดนี้ พระพุทธเจ้าของพวกเรา ทรงบรรลุลักษณะความเป็นผู้คงที่ในอิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์ ได้มีพระวาทะเรื่องขันติ. การที่พวกเราจะมาประหัตประหารกันในเหตุเรื่องส่วนแบ่งพระสรีระของพระองค์ผู้เป็นบุคคลสูงสุด อย่างเช่นที่กล่าวมานี้นั้น ไม่ดีเลย.
               ดูก่อนท่านผู้เจริญทั้งหลาย พวกท่านทั้งหมดจงเกื้อกูลกันอย่าแตกกัน. จงเป็นผู้ประชุมพร้อมกัน พูดคำเดียวกัน สามัคคีกันทางกายและทางวาจาเถิด. จงเป็นผู้บันเทิงต่อกันและกัน แม้ทางจิตเถิด. จงแบ่งพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็น ๘ ส่วน.
               เพราะหมู่คณะที่มาประชุมกันจากที่นั้นๆ เหล่านั้นรับฟัง (ยินยอม) โทณพราหมณ์จึงแบ่งพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็น ๘ ส่วน เท่าๆ กัน.
               ลำดับความในเรื่องนั้นมีดังนี้.
               เล่ากันว่า เพราะเจ้าเหล่านั้นยินยอม โทณพราหมณ์จึงสั่งให้เปิดรางทอง.
               เจ้าทั้งหลายก็มายืนที่รางทองนั่นแล ต่างแลเห็นพระบรมธาตุทั้งหลายมีวรรณะดั่งทองคำ พากันรำพันว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สัพพัญญู แต่ก่อนข้าพระองค์ทั้งหลายได้เห็นพระสรีระของพระองค์มีวรรณะดังทองคำ ประดับด้วยพระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ ขจิตด้วยพระพุทธรัศมีมีวรรณะ ๖ ประการ งามรุ่งเรืองด้วยพระอนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ แต่บัดนี้ ก็เหลือแต่พระบรมธาตุมีวรรณะดั่งทองคำ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า การณ์นี้ไม่สมควรแก่พระองค์เลย.
               สมัยนั้น แม้โทณพราหมณ์รู้ว่า เจ้าเหล่านั้นเผลอก็ฉวยพระเขี้ยวแก้วเบื้องขวา เก็บไว้ในระหว่างผ้าโพก. ต่อมาภายหลังจึงแบ่งเป็น ๘ ส่วนเท่าๆ กัน พระบรมธาตุทั้งหมดรวมได้ ๑๖ ทะนาน โดยทะนานตามปกติ เจ้านครแต่ละพระองค์ได้ไปองค์ละ ๒ ทะนานพอดี.
               ส่วนเมื่อโทณพราหมณ์กำลังแบ่งพระบรมธาตุอยู่นั่นแล. ท้าวสักกะจอมเทพสำรวจดูว่า ใครหนอฉกเอาพระเขี้ยวแก้วเบื้องขวาของพระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งเป็นปัจจัยแห่งการตรัสเรื่องสัจจะ ๔ เพื่อทรงประสงค์ตัดความสงสัยของโลกพร้อมทั้งเทวโลกไป ก็ทรงเห็นว่า พราหมณ์ฉกเอาไป. ทรงดำริว่า แม้พราหมณ์ก็ไม่อาจทำสักการะอันควรแก่พระเขี้ยวแก้วได้ จำเราจะถือเอาพระเขี้ยวแก้วนั้นไปเสีย แล้วทรงถือเอาจากระหว่างผ้าโพก บรรจุไว้ในผอบทองคำ นำไปยังเทวโลกประดิษฐานไว้ ณ พระจุฬามณีเจดีย์.
               ฝ่ายพราหมณ์ ครั้นแบ่งพระบรมธาตุแล้ว ไม่เห็นพระเขี้ยวแก้ว แต่เพราะตนฉกเอาโดยกิริยาของขโมย จึงไม่อาจแม้แต่จะถามว่า ใครฉกเอาพระเขี้ยวแก้วของเราไป. เห็นแต่การยกโทษลงในตนเองว่า เจ้าเท่านั้นแบ่งพระบรมธาตุมิใช่หรือ ทำไมเจ้าไม่รู้ว่า พระบรมธาตุของตนมีอยู่ก่อนเล่า.
               ลำดับนั้น พราหมณ์คิดว่า ทะนานทองคำนี้ก็มีคติดังพระบรมธาตุ เราจักทำทะนานทองคำที่ตวงพระบรมธาตุของพระตถาคตเป็นสถูป แล้วจึงทูลว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลายโปรดประทานทะนานลูกนี้แก่ข้าพระเจ้าเถิด.
               แม้เหล่าเจ้าโมริยะ เมืองปิปผลิวัน ก็ส่งทูตไป ตระเตรียมการรบ ยกออกไปเหมือนพระเจ้าอชาตศัตรูเป็นต้น.

 

ธาตุถูปปูชาวณฺณนา 

บูชาพระบรมธาตุและสร้างพระสถูป

              

               พระเจ้าอชาตศัตรูได้ทรงสร้างพระสถูปบรรจุพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้า และงานมหกรรมในกรุงราชคฤห์.
               ถามว่า ได้ทรงทำอย่างไร?
               ตอบว่า ได้ทรงทำการมหกรรม ตั้งแต่กรุงกุสินาราจนถึงกรุงราชคฤห์ เป็นระยะทาง ๒๕ โยชน์. ในระหว่างนั้น ทรงให้ทำทางกว้าง ๘ อุสภะปราบพื้นเรียบ สั่งให้ทำการบูชาในทางแม้ ๒๕ โยชน์ เช่นที่เหล่าเจ้ามัลละสั่งให้ทำการบูชาระหว่างมกุฏพันธนเจดีย์และสัณฐาคาร ทรงขยายไปในระหว่างตลาดในที่ทุกแห่ง เพื่ออนุเคราะห์แก่ชาวโลก ทรงให้ล้อมพระบรมธาตุที่บรรจุไว้ในรางทองคำด้วยลูกกรงหอก ให้ผู้คนชุมนุมกันเป็นปริมณฑล ๕๐๐ โยชน์ ในแคว้นของพระองค์.
               ผู้คนเหล่านั้นรับพระบรมธาตุ เล่นสาธุกิฬา ออกจากกรุงกุสินารา พบเห็นดอกไม้มีสีดั่งทองคำในที่ใดๆ ก็เก็บดอกไม้เหล่านั้นในที่นั้นๆ บูชาพระบรมธาตุในระหว่างหอก เวลาดอกไม้เหล่านั้นหมดแล้วก็เดินต่อไป เมื่อถึงฐานแอกแห่งรถในคันหลัง ก็พากันเล่นสาธุกีฬาแห่งละ ๗ วันๆ เมื่อผู้คนรับพระบรมธาตุมากันด้วยอาการอย่างนี้ เวลาก็ล่วงไป ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน.
               เหล่ามิจฉาทิฏฐิพากันติเตียนว่า ตั้งแต่พระสมณโคดมปรินิพพาน พวกเราก็วุ่นวายด้วยการเล่นสาธุกีฬา โดยพลการ การงานของพวกเราเสียหายหมด แล้วก็ขุ่นเคืองใจ ไปบังเกิดในอบายประมาณ ๘๖,๐๐๐ คน.
               เหล่าพระขีณาสพระลึกแล้วเห็นว่า มหาชนขุ่นเคืองใจ พากันบังเกิดในอบาย แล้วดำริว่า พวกเราจักให้ท้าวสักกะเทวราชทรงทำอุบายนำพระบรมธาตุมา ดังนี้ จึงพากันไปยังสำนักท้าวสักกะเทวราชนั้น ทูลบอกเรื่องนั้นแล้ว ทูลว่า ท่านมหาราช ขอได้โปรดทรงทำอุบายนำพระบรมธาตุมาเถิด.
               ท้าวสักกะตรัสว่า ท่านเจ้าข้า ขึ้นชื่อว่าปุถุชนที่มีศรัทธาเสมอด้วยพระเจ้าอชาตศัตรูไม่มี พระองค์ไม่ทรงเชื่อเราดอก ก็แต่ว่า ข้าพเจ้าจักแสดงสิ่งที่น่าสะพึงกลัว เสมือนมารที่น่าสะพึงกลัว จักประกาศเสียงดังลั่น จักทำเป็นคนไข้สั่นระรัว เหมือนคนผีเข้า ขอพระคุณเจ้าทูลว่า มหาบพิตร พวกอมนุษย์เขาโกรธเคือง ได้โปรดให้นำพระบรมธาตุไปโดยเร็ว ด้วยอุบายอย่างนี้ ท้าวเธอก็จักทรงให้นำพระบรมธาตุไป.
               ครั้งนั้นแล ท้าวสักกะก็ได้ทรงทำทุกสิ่งทุกอย่างดังกล่าวนั้น
               ฝ่ายพระเถระทั้งหลายก็เข้าไปเฝ้าพระราชาทูลว่า ถวายพระพร พวกอมนุษย์เขาโกรธเคือง โปรดให้นำพระบรมธาตุไปเถิด.
               พระราชาตรัสว่า ท่านเจ้าข้า จิตของโยมยังไม่ยินดีก่อน แต่เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็จะให้เขานำพระบรมธาตุไป. ในวันที่ ๗ ผู้คนทั้งหลายก็นำพระบรมธาตุมาถึง. ท้าวเธอทรงรับพระบรมธาตุที่มาด้วยอาการอย่างนั้น ทรงสร้างพระสถูปไว้ ณ กรุงราชคฤห์ และทรงทำมหกรรม แม้เหล่าเจ้าพวกอื่นๆ ก็นำไปตามสมควรแก่กำลังของตนๆ สร้างพระสถูปไว้ ณ สถานของตนๆ แล้วทำมหกรรม.
               การแบ่งพระบรมธาตุ และการสร้างพระสถูป ๑๐ แห่งนี้ เคยมีมาแล้วในชมพูทวีปด้วยประการฉะนี้. ภายหลัง พระสังคีติกาจารย์ทั้งหลายจึงกล่าวไว้.
               เมื่อสถาปนาพระสถูปกันดั่งนี้แล้ว พระมหากัสสปเถระเห็นอันตรายของพระบรมธาตุทั้งหลาย จึงเข้าไปเฝ้าพระเจ้าอชาตศัตรูทูลว่า ถวายพระพร ควรเก็บพระบรมธาตุไว้อย่างนี่แหละ.
               พระเจ้าอชาตศัตรูตรัสว่า ดีละท่านเจ้าข้า กิจด้วยการเก็บพระบรมธาตุของโยม จงยกไว้ก่อน แต่โยมจะนำพระบรมธาตุที่เหลือมาได้อย่างไร.
               ทูลว่า ถวายพระพร การนำพระบรมธาตุมา ไม่ใช่ภาระของมหาบพิตร แต่เป็นภาระของพวกอาตมภาพ. ตรัสว่า ดีละท่านเจ้าข้า ขอพระคุณเจ้าโปรดนำพระบรมธาตุมาเถิด โยมจะเก็บไว้.
               พระเถระเว้นไว้เพียงที่ราชตระกูลนั้นๆ ปกปิดไว้พระบรมธาตุส่วนที่เหลือ ก็นำมา. ส่วนพระบรมธาตุทั้งหลายในรามคาม เหล่านาคเก็บรักษาไว้.
               พระเถระดำริว่า อันตรายของพระบรมธาตุเหล่านั้นไม่มี ต่อไปในอนาคตกาล คนทั้งหลายจักเก็บไว้ในพระมหาเจดีย์ ในมหาวิหาร ลังกาทวีปดังนี้ แล้วไม่นำพระบรมธาตุเหล่านั้นมา นำมาจากนครทั้ง ๗ ที่เหลือประดิษฐานไว้ ณ ทิศตะวันออกและทิศใต้แห่งกรุงราชคฤห์ อธิษฐานว่า หินอันใดมีอยู่ในที่นี้ หินอันนั้นจงอันตรธานไป ขอฝุ่นจงสะอาดด้วยดี ขอน้ำอย่าขึ้นถึงดังนี้.
               พระราชาสั่งให้ขุดที่นั้น คุ้ยฝุ่นออกจากที่นั้นก่ออิฐแทน โปรดให้สร้างเจดีย์สำหรับพระอสีติมหาสาวก. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า แม้เมื่อมีคนถามว่า พระราชาโปรดให้สร้างอะไรไว้ในที่นี้ ตอบว่า ให้สร้างพระเจดีย์สำหรับพระมหาสาวกทั้งหลาย. แต่ในที่นั้นลึก ๘๐ ศอก โปรดให้ปูเครื่องลาดโลหะไว้ภายใต้ สร้างผอบที่ทำด้วยไม้จันทร์เหลืองเป็นต้น และพระสถูปไว้อย่างละ ๘ๆ.
               ครั้งนั้น พระราชาใส่พระบรมธาตุของพระผู้มีพระภาคเจ้าไว้ในผอบจันทน์เหลือง ทรงใส่ผอบจันทน์เหลืองแม้นั้น ลงในผอบจันทน์เหลืองอีกใบหนึ่ง แล้วทรงใส่ผอบจันทน์เหลืองแม้นั้น ลงในผอบจันทน์เหลืองอีกใบหนึ่ง ดังกล่าวมาฉะนี้ เป็นอันทรงรวมผอบ ๘ ใบไว้ในใบเดียวกัน ด้วยอุบายอย่างนั้นแล ทรงใส่ผอบทั้ง ๘ ผอบนั้นลงในพระสถูปจันทน์เหลือง ๘ สถูป ทรงใส่สถูปจันทน์เหลืองทั้ง ๘ สถูปลงในผอบจันทน์แดง ๘ ผอบ ทรงใส่ผอบจันทน์แดงทั้ง ๘ ผอบลงในพระสถูปจันทน์แดง ๘ สถูป ทรงใส่สถูปจันทน์แดงทั้ง ๘ สถูปลงในผอบงา ทรงใส่ผอบงาตั้ง ๘ ผอบลงในสถูปงา ๘ สถูปแล้วทรงใส่สถูปงาทั้ง ๘ สถูปลงในผอบรัตนะล้วน ๘ ผอบ ทรงใส่ผอบรัตนะล้วน ๘ ผอบลงในสถูปรัตนะล้วน ๘ สถูป ทรงใส่สถูปรัตนะล้วน ๘ สถูปลงในผอบทองคำ ๘ ผอบ ทรงใส่ผอบทองคำ ๘ ผอบลงในสถูปทองคำ ๘ สถูป ทรงใส่สถูปทองคำ ๘ สถูปลงในผอบเงิน ๘ ผอบ ทรงใส่ผอบเงิน ๘ ผอบลงในสถูปเงิน ๘ สถูป ทรงใส่สถูปเงิน ๘ สถูปลงในผอบมณี ๘ ผอบ ทรงใส่ผอบมณี ๘ ผอบลงในสถูปมณี ๘ สถูป ทรงใส่สถูปมณี ๘ สถูปลงในผอบทับทิม ๘ ผอบ แล้วทรงใส่ผอบทับทิมลงในสถูปทับทิม ๘ สถูป ทรงใส่สถูปทับทิม ๘ สถูปลงในผอบแก้วลาย ๘ ผอบ แล้วทรงใส่ผอบแก้วลาย ๘ ผอบลงในสถูปแก้วลาย ๘ สถูป ทรงใส่สถูปแก้วลาย ๘ สถูปลงในผอบแก้วผลึก ๘ ผอบ แล้วทรงใส่ผอบแก้วผลึกลงในสถูปแก้วผลึก ๘ สถูป.
               เจดีย์แก้วผลึกมีก่อนเจดีย์ทั้งหมด ถือเอาเป็นประมาณแห่งเจดีย์ในถูปาราม. บนเจดีย์แก้วผลึกนั้น โปรดให้สร้างเรือนทำด้วยรัตนะล้วน. บนเรือนรัตนะนั้นให้สร้างเรือนทำด้วยทองคำไว้ บนเรือนทองคำนั้นให้สร้างเรือนด้วยเงินไว้ บนเรือนเงินนั้นให้สร้างเรือนทำด้วยทองแดงไว้ บนเรือนทองแดงนั้น โรยเมล็ดทรายทำด้วยรัตนะทั้งหมด เกลี่ยดอกไม้น้ำ ดอกไม้บกไว้ ๑,๐๐๐ ดอก โปรดให้สร้างชาดก ๕๕๐ ชาดก พระอสีติมหาเถระ พระเจ้าสุทโธทนมหาราช พระนางมหามายาเทวี สหชาตทั้ง ๗ ทั้งหมด ดังกล่าวมานี้ทำด้วยทองคำทั้งสิ้น. โปรดให้ตั้งหม้อน้ำเต็ม ที่ทำด้วยทองและเงินอย่างละ ๕๐๐ หม้อ ให้ยกธงทอง ๕๐๐ ธง ให้ทำประทีปทอง ๕๐๐ ดวง ประทีปเงิน ๕๐๐ ดวง ทรงใส่ไส้ผ้าเปลือกไม้ไว้ในประทีปเหล่านั้น บรรจุน้ำมันหอม.
               ครั้งนั้น ท่านพระมหากัสสปะอธิษฐานว่า พวงมาลัยอย่าเหี่ยว กลิ่นหอมอย่าหาย ประทีปอย่าไหม้ แล้วให้จารึกอักษรไว้ที่แผ่นทองว่า แม้ในอนาคตกาล ครั้งพระกุมารพระนามว่า อโศก จักเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระเจ้าอโศกมหาราช ท้าวเธอจักทรงกระทำพระบรมธาตุเหล่านี้ให้แพร่หลายไป ดังนี้. พระราชาทรงเอาเครื่องประดับทั้งหมดบูชา ทรงปิดประตูแล้วเสด็จออกไปตั้งแต่แรก.
               ท้าวเธอ ครั้นปิดประตูทองแดงแล้ว ทรงคล้องตรากุญแจไว้ที่เชือกผูก ทรงวางแท่งแก้วมณีแท่งใหญ่ไว้ที่ตรงนั้นนั่นเอง โปรดให้จารึกอักษรไว้ว่า ในอนาคตกาล เจ้าแผ่นดินที่ยากจน จงถือเอาแก้วมณีแท่งนี้ กระทำสักการะพระบรมธาตุทั้งหลายเทอญ.
               ท้าวสักกะเทวราชเรียกวิสสุกรรมเทพบุตรมา ทรงส่งไปด้วยพระดำรัสสั่งว่า พ่อเอ๋ย พระเจ้าอชาตศัตรูทรงเก็บพระบรมธาตุแล้ว เจ้าจงตั้งกองรักษาการณ์ไว้ที่นั้น. วิสสุกรรมเทพบุตรมาประกอบหุ่นยนต์มีโครงร่างร้าย รูปไม้ (หุ่นยนต์) ถือพระขรรค์สีแก้วผลึกในห้องพระบรมธาตุ เคลื่อนตัวได้เร็วเสมือนลม. วิสสุกรรมเทพบุตรประกอบหุ่นยนต์แล้ว ติดลิ่มสลักไว้อันเดียวเท่านั้น เอาสิลาล้อมไว้โดยรอบ โดยอาการเสมือนเรือนสร้างด้วยอิฐ ข้างบนปิดด้วยสิลาแผ่นเดียว ใส่ฝุ่นแล้วทำพื้นให้เรียบ แล้วประดิษฐานสถูปหินไว้บนที่นั้น.
               เมื่อการเก็บพระบรมธาตุเสร็จเรียบร้อยอย่างนี้แล้ว แม้พระเถระดำรงอยู่จนตลอดอายุก็ปรินิพพาน แม้พระราชาก็เสด็จไปตามยถากรรม พวกมนุษย์แม้เหล่านั้น ก็ตายกันไป.
               ต่อมาภายหลัง เมื่อครั้งอโศกกุมารเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระธรรมราชา พระนามว่าอโศก ทรงรับพระบรมธาตุเหล่านั้นไว้แล้ว ได้ทรงกระทำให้แพร่หลาย.
               ทรงกระทำให้แพร่หลายอย่างไร?
               พระเจ้าอโศกนั้นอาศัยนิโครธสามเณร ทรงได้ความเลื่อมใสในพระศาสนา โปรดให้สร้างวิหาร ๘๔,๐๐๐ วิหารแล้ว ตรัสถามภิกษุสงฆ์ว่า โยมให้สร้างวิหาร ๘๔,๐๐๐ วิหารแล้ว จักได้พระบรมธาตุมาจากไหนเล่า ท่านเจ้าข้า.
               ภิกษุสงฆ์ทูลว่า ถวายพระพร พวกอาตมภาพฟังมาว่า ชื่อว่าที่เก็บพระบรมธาตุมีอยู่ แต่ไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน.
               พระราชาให้รื้อพระเจดีย์ในกรุงราชคฤห์ ก็ไม่พบ ทรงให้ทำพระเจดีย์คืนดีอย่างเดิมแล้ว ทรงพาบริษัท ๔ คือภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ไปยังกรุงเวสาลี แม้ในที่นั้นก็ไม่ได้ ก็ไปยังกรุงกบิลพัศดุ์ แม้ในที่นั้นก็ไม่ได้ แล้วไปยังรามคาม. เหล่านาคในรามคาม ก็ไม่ยอมให้รื้อพระเจดีย์. จอบที่ตกต้องพระเจดีย์ ก็หักเป็นท่อนเล็กท่อนน้อย. ด้วยอาการอย่างนี้ แม้ในที่นั้นก็ไม่ได้ ก็ไปยังเมืองอัลลกัปปะเวฏฐทีปะ ปาวา กุสินารา ในที่ทุกแห่งดังกล่าวมานี้ รื้อพระเจดีย์แล้วก็ไม่ได้พระบรมธาตุเลย ครั้นทำเจดีย์เหล่านั้นให้คืนดีดังเดิมแล้ว ก็กลับไปยังกรุงราชคฤห์อีก ทรงประชุมบริษัท ๔ แล้วตรัสถามว่า ใครเคยได้ยินว่า ที่เก็บพระบรมธาตุ ในที่ชื่อโน้น มีบ้างไหม.
               ในที่ประชุมนั้น พระเถระรูปหนึ่งอายุ ๑๒๐ ปี กล่าวว่า อาตมภาพก็ไม่รู้ว่า ที่เก็บพระบรมธาตุอยู่ที่โน้น แต่พระมหาเถระบิดาอาตมภาพ ให้อาตมภาพครั้งอายุ ๗ ขวบถือหีบมาลัย กล่าวว่า มานี่ สามเณร ระหว่างกอไม้ตรงโน้น มีสถูปหินอยู่ เราไปกันที่นั้นเถิด แล้วไปบูชา ท่านพูดว่า สามเณร ควรพิจารณาที่ตรงนี้. ถวายพระพร อาตมภาพรู้เท่านี้. พระราชาตรัสว่า ที่นั่นแหละ แล้วสั่งให้ตัดกอไม้ แล้วนำสถูปหินและฝุ่นออก ก็ทรงเห็นพื้นโบกปูนอยู่ แต่นั้นทรงทำลายปูนโบกและแผ่นอิฐแล้วเสด็จสู่บริเวณตามลำดับ ทอดพระเนตรเห็นทรายรัตนะ ๗ ประการ และรูปไม้ (หุ่นยนต์) ถือดาบ เดินวนเวียนอยู่ ท้าวเธอรับสั่งให้เหล่าคนผู้ถือผีมา แม้ให้ทำการเซ่นสรวงแล้ว ก็ไม่เห็นที่สุดโต่งสุดยอดเลย จึงทรงนมัสการเทวดาทั้งหลายแล้วตรัสว่า ข้าพเจ้ารับพระบรมธาตุเหล่านี้แล้ว บรรจุไว้ในวิหาร ๘๔,๐๐๐ วิหาร จะทำสักการะ ขอเทวดาอย่าทำอันตรายแก่ข้าพเจ้าเลย.
               ท้าวสักกะเทวราชเสด็จจาริกไปทรงเห็นพระเจ้าอโศกนั้นแล้ว เรียกวิสสุกรรมเทพบุตรมาสั่งว่า พ่อเอ๋ย พระธรรมราชาอโศกจักทรงนำพระบรมธาตุไป เพราะฉะนั้น เจ้าจงลงสู่บริเวณไปทำลายรูปไม้ (หุ่นยนต์) เสีย. วิสสุกรรมเทพบุตรนั้นก็แปลงเพศเป็นเด็กชาวบ้านไว้จุก ๕ แหยม ยืนถือธนูตรงพระพักตร์ของพระราชาแล้ว ทูลว่า ข้าจะนำไป มหาราชเจ้า. พระราชาตรัสว่า นำไปสิพ่อ. วิสสุกรรมเทพบุตรจับศรยิงตรงที่ผูกหุ่นยนต์นั้นแล ทำให้ทุกอย่างกระจัดกระจายไป.
               ครั้งนั้น พระราชาทรงถือตรากุญแจที่ติดอยู่ที่เชือกผูก ทอดพระเนตรเห็นแท่งแก้วมณีและเห็นอักษรจารึกว่า ในอนาคตกาล เจ้าแผ่นดินที่ยากจนถือเอาแก้วมณีแท่งนี้แล้ว จงทำสักการะพระบรมธาตุทั้งหลาย ทรงกริ้วว่า ไม่ควรพูดหมิ่นพระราชาเช่นเราว่า เจ้าแผ่นดินยากจน ดังนี้แล้ว ทรงเคาะซ้ำๆ กันให้เปิดประตู เสด็จเข้าไปภายในเรือนประทีปที่ตามไว้เมื่อ ๒๑๘ ปี ก็โพลงอยู่อย่างนั้นนั่นเอง ดอกบัวขาบก็เหมือนนำมาวางไว้ขณะนั้นเอง เครื่องลาดดอกไม้ก็เหมือนลาดไว้ขณะนั้นเอง เครื่องหอมก็เหมือนเขาบดวางไว้เมื่อครู่นี้เอง. พระราชาทรงถือแผ่นทอง ทรงอ่านว่า ต่อไปในอนาคตกาล ครั้งกุมารพระนามว่า อโศก จักเถลิงถวัลยราชสมบัติ เป็นพระธรรมราชาพระนามว่า อโศก ท้าวเธอจักทรงกระทำพระบรมธาตุเหล่านี้ให้แพร่หลายดังนี้ แล้วตรัสว่า ท่านผู้เจริญ พระผู้เป็นเจ้า มหากัสสปเถระเห็นตัวเราแล้ว ทรงคู้พระหัตถ์ซ้ายปรบกับพระหัตถ์ขวา.
               ท้าวเธอเว้นเพียงพระบรมธาตุที่ปกปิดไว้ในที่นั้น ทรงทำพระบรมธาตุที่เหลือทั้งหมดมาแล้ว ปิดเรือนพระบรมธาตุไว้เหมือนอย่างเดิม ทรงทำที่ทุกแห่งเป็นปกติอย่างเก่าแล้ว โปรดให้ประดิษฐานปาสาณเจดีย์ไว้ข้างบน บรรจุพระบรมธาตุไว้ในวิหาร ๘๔,๐๐๐ วิหาร ทรงไหว้พระมหาเถระแล้ว ตรัสถามว่า ท่านเจ้าข้า โยมเป็นทายาทในพระพุทธศาสนาได้ไหม?
               พระมหาเถระทูลว่า ถวายพระพร มหาบพิตรยังเป็นคนภายนอกของพระศาสนา จะเป็นทายาทของอะไรเล่า.
               ตรัสถามว่า ก็โยมบริจาคทรัพย์ถึง ๙๖ โกฏิ ให้สร้างวิหารไว้ถึง ๘๔,๐๐๐ วิหาร ยังไม่เป็นทายาท คนอื่นใครเล่าจะเป็นทายาท. พูดว่า ขอถวายพระพร มหาบพิตร ได้ชื่อว่าเป็นปัจจยทายก ก็ผู้ใดบวชบุตรหรือธิดาของตน ผู้นี้จึงจะชื่อว่าเป็นทายาทของพระศาสนา.
               ท้าวเธอจึงให้บวชพระโอรสและพระธิดา. ครั้งนั้น พระเถระทั้งหลายทูลพระองค์ว่า ขอถวายพระพร บัดนี้ มหาบพิตรเป็นทายาทในพระศาสนาแล้ว.
               แม้การเก็บพระบรมธาตุในอดีตกาลนี้ เคยมีมาแล้วในภาคพื้นชมพูทวีป ด้วยประการฉะนี้. 

               --------------------------------

หมายเลขบันทึก: 712349เขียนเมื่อ 17 เมษายน 2023 09:47 น. ()แก้ไขเมื่อ 17 เมษายน 2023 09:47 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

“ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราขอเตือนเธอทั้งหลาย สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงทำหน้าที่ให้สำเร็จด้วยความไม่ประมาทเถิด” …สาธุชนผู้มีธรรมพึงจดจำคำสอนสุดท้ายนี้ทุกขณะจิต…วฺิโรจน์ ครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท