จากบันทึกที่แล้ว ที่นี่ เวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566 ผมไม่ได้จัดกระบวนการเรียนรู้แต่เฉพาะการทบทวนตัวเองผ่าน “ตารางคำถาม 4 ช่อง” เท่านั้น แต่ผมนำกระบวนการเรียนรู้ผ่านกรณีศึกษา (case study) มาหนุนเสริมในเวทีด้วย
ผมอยากให้นิสิตได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันด้วยตนเอง มากกว่าจะนั่งฟังคำบอกเล่าแต่เฉพาะผมคนเดียว ก็ด้วยแนวคิดเช่นนั้น ผมจึงเชิญผู้แทนนิสิตมาเป็นวิทยากรคู่กับผม นั่นคือ 1) ศูนย์ประสานงานเครือข่ายนิสิตจิตอาสาเพื่อสังคม และ 2) ชมรม BELIPS FOR ALL
กรณีศูนย์ประสานงานเครือข่ายนิสิตจิตอาสาเพื่อสังคม มากัน 3 คน พวกเขานำเรื่องราวจากโครงการ “เครือข่ายจิตอาสาเพื่อสังคม” ที่กำลังจะดำเนินการในวันที่ 3-4 มีนาคม 2566 ณ โรงเรียนบ้านวังแคน อำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่นมาบอกเล่า โดยสิ่งที่นำมาบอกเล่า ประกอบด้วยสาระสำคัญๆ เช่น
ประเด็นที่เด่นชัดของศูนย์ประสานงานฯ มีหลายประเด็น เช่น การสำรวจพื้นที่และการพัฒนาโจทย์แบบมีส่วนร่วมระหว่างนิสิตกับชุมชน ซึ่งนิสิตลงพื้นที่ต่อเนื่องด้วยตนเองถึง 2 ครั้ง พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมและโควิด-19 ที่ศูนย์ประสานงานฯ เคยเข้าไปหนุนเสริมกิจกรรมมาแล้ว อย่างน้อย 2 ครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้ขยายผลจากวัดเข้าสู่โรงเรียนและชุมชน
และกิจกรรมที่จะจัดขึ้นนั้น ล้วนเป็น “ความต้องการของชุมชน” โดยตรง และอยู่ในวิสัยที่ไม่เกินแรงของนิสิตจะสร้างสรรค์ได้
ส่วนกรณีของชมรม BELIPS FOR ALL ส่งผู้แทนมาร่วมกระบวนการ 2 คน โดยนำเสนอเรื่องราว 2 เรื่องหลักๆ คือ การบอกเล่าภาพรวมเรื่องกิจกรรมจิตอาสาของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ทั้งในระดับคณะ และระดับมหาวิทยาลัย โดยข้อมูลดังกล่าว ก่อนนี้ถูกนำเสนอในเวทีโครงการ “เทา-งาม สัมพันธ์ ครั้งที่ 25” มาแล้ว
เพียงแต่ครั้งนี้กลุ่มเป้าหมายที่ฟัง ไม่ใช่นิสิตในเครือเทา-งาม 6 สถาบัน แต่เป็นนิสิตจากชมรมฮวมศิลป์และศูนย์ประสานงานเครือข่ายนิสิตจิตอาสาฯ
ภาพรวมที่ชมรม BELIPS FOR ALL สะท้อนล้วนเป็นกิจกรรมนอกหลักสูตรในมิติ “จิตอาสา” ที่พบว่ามีทั้งที่บูรณาการกับวิชาชีพและเป็นกิจกรรมทั่วๆ ไป รวมถึงกิจกรรมที่สัมพันธ์กับกระแสหลัก หรือสถานการณ์ทางสังคม เช่น ภัยพิบัติต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องอุทกภัย
นอกจากนั้นก็เป็นการบอกเล่าถึงกิจกรรมหลักของชมรมที่จัดขึ้น คือ โครงการ ค่าย Belips on Tourวันที่11 - 12 มกราคม 2566 ณ โรงเรียนการกุศลวัดบ้านยางเครือ ตำบลเมืองทุ่ง อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ที่ประกอบด้วยกิจกรรมสำคัญๆ คือ
มีช่วงหนึ่งที่ชมรม BELIPS FOR ALL สะท้อนประเด็นอันเป็นข้อจำกัดของการดำเนินงานก็คือ “งบประมาณ” กล่าวคือ การเป็นชมรมที่ตั้งใหม่ ได้รับงบประมาณสนับสนุนไม่มากนัก จึงต้องบริหารงบประมาณอย่างรอบคอบ ประหยัดและรัดเข็มขัดแบบสุดๆ ถึงขั้นสำรวจพื้นที่เพียงครั้งเดียว และไม่มีการไปเตรียมค่าย เพื่อประหยัดงบประมาณ แต่เน้นการทำงานแบบมีส่วนร่วมกับชุมชน ซึ่งก็ได้ชุมชนนั่นแหล่ะที่เข้ามาสนับสนุนเรื่องข้าวปลาอาหาร
และนั่นยังรวมถึงการสะท้อนถึงปัญหาสำคัญ คือ ปัญหาสุขภาพของสมาชิกค่ายที่ไม่ยอมผ่อนพักตัวเอง โดยท่ามเททำงานเกินศักยภาพตัวเอง จนเจ็บไข้ได้ป่วย
เมื่อชมรม BELIPS FOR ALL สะท้อนข้อมูลเสร็จสิ้นลง ผมพยายามกระตุ้นให้นิสิตในเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน รวมถึงชักชวนให้ทุกคนหันกลับมารับฟังเรื่องราวของค่าย “เยาวชนคนสร้างศิลป์ ครั้งที่ 1” ของชมรมฮวมศิลป์ (ณ โรงเรียนบ้านศาลา อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม) อีกครั้งว่ามีกิจกรรมอะไรบ้าง ซึ่งโดยรวมแล้วกิจกรรมของทั้ง 3 องค์กรก็เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพราะมี “โรงเรียนเป็นศูนย์กลางของการจัดกิจกรรม” เป็นต้นว่า
เหตุผลหลักๆ ที่ผมเชิญผู้แทนนิสิตจากศูนย์ประสานงานฯ และชมรม BELIPS FOR ALL มาบอกเล่าเรื่องราวของพวกเขา เพราะผมต้องการให้ชมรมฮวมศิลป์ เรียนรู้ผ่านกรณีศึกษามากกว่าจะมาทนนั่งหลังขดหลังแข็งฟังการบรรยายทางวิชาการจากปากคำของผม
เพราะผมเชื่อว่า การเรียนรู้ผ่านกรณีศึกษาเช่นนี้ จะก่อเกิดเป็นรูปธรรมมากเป็นพิเศษ เห็นถึงความสำเร็จ ความล้มเหลว ก่อเกิดเป็นแนวทางการทำงานและเป็นแรงบันดาลใจในการขับเคลื่อนกิจกรรม รวมถึงก่อเกิดเป็นเครือข่ายการทำงานร่วมกัน
ทั้งนี้ในช่วงท้ายของการปฐมนิเทศ จะเน้นการบรรยายกึ่งกระบวนการในประเด็นสำคัญๆ ที่เกี่ยวกับค่ายอาสาพัฒนา เช่น
ไม่มีความเห็น