หลานสาว (อายุ ๖๕) ของภรรยามาเยี่ยมอวยพรปีใหม่ ในบ่ายวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๕ และคุยเรื่องการทำหน้าที่ผู้พิพากษาสมทบ ในศาลเยาวชนและครอบครัวกลางสาขามีนบุรี ผมซักเพื่อเรียนรู้อยู่ถึงชั่วโมงเศษ ได้เรียนรู้เรื่องราวในบ้านเมือง และในกรณีของปัญหาครอบครัว และปัญหาเยาวชน อย่างน่าตกใจและกังวลใจ
เตือนให้ผมตระหนักว่า ชีวิตของผม เป็นชีวิตที่การรับรู้ไม่กว้างขวาง หากมีโอกาสต้องเรียนรู้จากคนรุ่นหลังให้มากๆ
และเตือนว่า สังคมของเรามีทั้งด้านขาว เทา และดำ ชีวิตของผมและครอบครัวโชคดีที่เข้าไปอยู่ในสังคมสีขาว ไม่เกลือกกลั้วสีเทาและสีดำเลย เป็นทั้งข้อดีและข้อจำกัดในชีวิต ข้อดีคือเรามีชีวิตที่มีความสุข ความราบรื่น ข้อเสียคือเราไม่เข้าใจสังคมอย่างแท้จริง
ที่ศาลนี้มีผู้พิพากษาจริงๆ ๕ คน ผู้พิพากษาสมทบ ๒๐ คน ผู้พิพากษาสมทบทำหน้าที่ทั้งร่วมพิจารณาคดี และร่วมทำหน้าที่ฝึกอบรมให้แก่ครอบครัว และเยาวชนที่มีปัญหา ผู้พิพากษาสมทบได้รับค่าตอบแทนไม่สูงนัก ผมเพิ่งทราบว่า ผู้พิพากษานอกจากได้เงินเดือน ยังได้ค่าตอบแทนเป็นรายคดีอีกด้วย
ฟังเรื่องเล่าแล้ว ก็เห็นว่ามนุษย์ที่เกิดมา ส่วนหนึ่งโชคร้าย เกิดมาในครอบครัวที่มีปัญหา ที่พ่อแม่หรือสังคมรอบข้างอยู่ในอบายภูมิ จึงได้รับการหล่อหลอมให้มิติด้านชั่วร้ายของมนุษย์ออกมาครองใจครอบความประพฤติ กลายเป็นคนที่สร้างปัญหาให้แก่สังคม ในช่วงที่เป็นเยาวชนเขาควรได้รับความเมตตา หาทางช่วยให้กลับตัวกลับใจไปเป็นคนดี แต่ไม่ง่าย เพราะชีวิตของเขายังอยู่ในระบบนิเวศแบบเดิม เยาวชนเหล่านี้จึงมักอยู่ในสภาพทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า การช่วยให้ออกจากวงจรนี้จึงเป็นเรื่องท้าทายของสังคม และของเจ้าตัวเอง
ผมจึงคิดว่า ควรมีมาตรการ (working platform) ที่ใช้เรื่องราวชีวิต (โดยเฉพาะชีวิตครอบครัว และสภาพแวดล้อมของสังคมรอบตัว) ของเยาวชนที่มีปัญหาเหล่านี้เป็นข้อมูลเพื่อหมุน Kolb’s Experiential Learning Cycle และวงจรเรียนรู้โดยใช้เครื่องมือ DE – Developmental Evaluation ช่วย นำสู่การแก่ปัญหาในระดับป้องกันปัญหา และสร้างเสริมสังคมดี ที่น่าจะเป็นหน้าที่ของกระทรวง พม.
เกิดคำถามว่า กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ทำหน้าที่เชิงตั้งรับ หรือเชิงรุก การทำหน้าที่เชิงรุกคือเชิงสร้างสรรค์ และป้องกันปัญหาสังคม เพื่อลดปัญหาเยาวชนและครอบครัว นำสู่คำถามว่า ศาลเยาวชนและครอบครัวทำงานร่วมกับกระทรวง พม. แค่ไหน อย่างไร
หลักคิดของผมคือ ปัญหาคือโอกาส ศาลเยาวชนและครอบครัวทำหน้าที่แก้ปัญหาโดยตัดสินคดี ทำหน้าที่เผชิญปัญหา ควรทำหน้าที่เปลี่ยนปัญหาไปเป็นโอกาส ในการสร้างระบบนิเวศของสังคมที่เอื้อให้เยาวชนเป็นคนดี โดยร่วมมือกับกระทรวง พม. จัดวงจรเรียนรู้จากปัญหา นำสู่การสร้างเสริมความเข้มแข็งของครอบครัวและสังคม และแก้ปัญหาสังคม
หากดำเนินการตามที่เสนอ ผู้พิพากษาสมทบ ของศาลเยาวชนและครอบครัว จะไม่เพียงทำหน้าที่เชิงตั้งรับ จะทำหน้าที่เชิงรุกเพื่อหาทางร่วมมือกับหลายฝ่ายในสังคมของพื้นที่นั้นๆ อย่างกรณีเขตมีนบุรี เป็นชุมชนมุสลิม โอกาสร่วมมือกับผู้นำทางศาสนาอิสลาม และร่วมมือกับผู้นำชุมชน ในการรุกออกใช้ข้อมูลความรู้ที่ได้จากเยาวชนที่มีปัญหา สู่การร่วมกันคิดสร้างระบบนิเวศใหม่ที่เอื้อให้เด็กละเยาวชนได้รับการหล่อหลอมด้านความดี
ไม่ทราบว่า ข้อสะท้อนคิดนี้ มีทางเป็นจริงได้หรือไม่ จะเป็นจริงได้ ต่อเมื่อฝ่ายต่างๆ ในบ้านเมือง หันมาใคร่ครวญสะท้อนคิดหาทางทำหน้าที่เชิงรุก หลุดออกจากความเคยชินในการทำงานเชิงตั้งรับ และหันมาทำงานเชิงร่วมมือหลายฝ่าย หลุดจากความเคยชินในการทำงานแบบโซโล
ผมบอกหลานภรรยาว่า การทำหน้าที่ตัดสินคดีในศาลเยาวชนและครอบครัว ต้องใช้ความรู้สองด้าน คือด้านกฎหมาย ที่ผู้พิพากษาตัวจริงมีความชำนาญ กับความรู้ด้านสังคม ที่ผู้พิพากษาสมทบมีความชำนาญ เพราะผ่านชีวิตมามาก และนำเอาประสบการณ์ในชีวิตหลากลายด้านมาเป็นองค์ประกอบในการตัดสินคดี แต่ผู้พิพากษาสมทบ จะยิ่งทำประโยชน์ต่อสังคมด้มากยิ่งกว่า หากหาทางทำงานเชิงรุก
ผมภูมิใจที่หลานภรรยาท่านนี้ มีชีวิตที่พัฒนาต่อเนื่อง จนมาทำประโยชน์ต่อสังคมได้มากขนาดนี้ และมีโอกาสทำประโยชน์ได้มากกว่านี้
วิจารณ์ พานิช
๒ ม.ค. ๖๖
ไม่มีความเห็น