1. การวางแผน (Planning)
การวางแผน (Planning) เป็นกิจกรรมหลักทางการจัดการอันดับแรกจากทั้งสิ้น 4 กิจกรรม ที่ผู้บริหารต้องดำเนินการ ซึ่งประกอบด้วย การวางแผน (Planning) การจัดองค์กร (Organizing) การชี้นำ (Leading) และการควบคุม (Controlling) เมื่อผู้บริหารได้รับมอบหมายหน้าที่และความรับผิดชอบในการบริหารจัดการ ไม่ว่าจะเป็นทั้งองค์กรหรือเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่งขององค์กร การวางแผนถือเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับผู้บริหารที่ต้องการจะประสบความสำเร็จในการบริหารจัดการองค์กร ผู้บริหารจำเป็นจะต้องทราบว่ากระบวนการวางแผน ประกอบด้วยขั้นตอนหลัก 3 ประการ ได้แก่ การกำหนดพันธกิจ (Vision) การกำหนดเป้าหมาย (Goals) และการกำหนดแผนงาน (Plans) เพื่อให้องค์กรปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลตามที่ประสงค์ (สาคร สุขศรีวงศ์, 2559, หน้า 99)
เมื่อผู้บริหารดำเนินการครบทั้ง 3 ขั้นตอนนี้แล้ว จากนั้นจึงนำแผนงานไปสื่อสารให้สมาชิกในองค์กรให้เข้าใจในทิศทางเดียวกัน และดำเนินการควบคู่ไปกับเป้าหมายขององค์กร เพราะในการบริหารจัดการทั่วไปผู้บริหารอาจมุ่งกับการปฏิบัติตามแผนงานจนอาจละเลยเป้าหมายขององค์กร การยึดเอาแผนงานเป็นหลักโดยไม่ใส่ใจเป้าหมายอาจเกิดผลเสียได้ เพราะแม้ว่าจะปฏิบัติตามแผนงานได้แต่ก็ไม่อาจบรรลุเป้าหมายหลักที่กำหนดไว้ตั้งแต่ต้น ซึ่งไม่ถือว่าเป็นการดำเนินงานที่ครบถ้วนตามกระบวนการวางแผน
1) พันธกิจ (Mission) คือ เหตุผลในการดำรงอยู่และขอบเขตในการดำเนินงานขององค์กร ซึ่งมีความโดดเด่นและมีคุณลักษณะเฉพาะตัว โดยมีองค์ประกอบที่พบโดยทั่วไป ดังตารางที่ 1
ตารางที่ 1 องค์ประกอบของพันธกิจที่พบโดยทั่วไป
ปัจจัย/องค์ประกอบ (Factor/Components) | รายละเอียด |
1. ลูกค้า (Customer) | ลูกค้าหลักหรือลูกค้ากลุ่มเป้าหมายขององค์กรคือใคร หรือบุคคลกลุ่มไหนเป็นผู้ที่จะใช้ผลผลิตหรือบริการขององค์กร |
2. สินค้าหรือบริการ (Product or Services) | สินค้าหรือบริการหลักขององค์กรคืออะไร |
3. ทำเลที่ตั้ง (Location) | องค์กรมีที่ตั้งหรือสถานที่ภูมิประเทศในการประกอบการแบบใด หรือมุ่งหวังที่จำทำการแข่งขันในตลาดใด |
4. เป้าหมายทางเศรษฐกิจ (Economic Objective) | เป้าหมายทางเศรษฐกิจ หรือเป้าหมายทางธุรกิจ เช่น ผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น |
5. เทคโนโลยี (Technology) | การเลือกใช้เทคโนโลยี หรือความโดนเด่นในการเลือกใช้เทคโนโลยีขององค์กร |
6. ปรัชญา (Philosophy) | ครอบคลุมถึงความเชื่อ ค่านิยม และวัฒนธรรมขององค์กร |
7. จุดแข็ง (Strength) | ความแข็งแกร่งขององค์กรในด้านต่างๆ หรือความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง |
8. ภาพลักษณ์ต่อสาธารณะ (Public Image) |
ภาพลักษณ์ขององค์กรที่สาธารณะพึงรับรู้ หรือข้อควรคำนึง ด้านภาพลักษณ์ต่อสาธารณะที่องค์กรควรให้ความสำคัญ |
9. พนักงาน (Employees) | ลักษณะเฉพาะของพนักงาน หรือประเด็นต่างๆ ด้านพนักงานที่องค์กรให้ความสำคัญเป็นพิเศษ |
2) เป้าหมาย (Goals) เมื่อองค์กรกำหนดพันธกิจซึ่งระบุเหตุผลในการดำรงอยู่ตลอดจนขอบเขตของการดำเนินงานขององค์กรแล้ว ผู้บริหารต้องกำหนดเป้าหมายในลำดับถัดไป ทั้งนี้ เป้าหมายขององค์กร หมายถึง ผลลัพธ์ซึ่งองค์กรมุ่งประสงค์จากการดำเนินงาน ผู้บริหารจำเป็นต้องกำหนดเป้าหมายให้สอดคล้องกับพันธกิจ เพื่อให้องค์กรดำรงอยู่ได้ตามพันธกิจที่กำหนดและสนับสนุนให้พันธกิจขององค์กรเป็นจริง
องค์ประกอบของเป้าหมาย (Goal Content) เป้าหมายที่ดีจะต้องมีองค์ประกอบของเนื้อหาที่สำคัญที่สุดอย่างน้อย 5 ประการ (C-SMART) (สาคร สุขศรีวงศ์, 2559, หน้า 122) ได้แก่
(1) ท้าทาย (Challenging)
(2) เฉพาะเจาะจงและวัดได้ (Specific and Measurable)
(3) สามารถบรรลุได้ (Attainable)
(4) เกี่ยวข้องกับงานและมุ่งไปที่ผลลัพธ์ที่ต้องการ (Relevant and Result Oriented)
(5) กำหนดระยะเวลา (Time Limited)
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้องกับการตั้งเป้าหมาย ซึ่งผู้บริหารควรเร่งรัดหาหรือสร้างขึ้นเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงาน หากมีปัจจัยใดที่อาจเป็นอุปสรรคในการทำงาน ผู้บริหารต้องเร่งจัดการหรือกำจัดออกไปโดยเร็วที่สุด ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการตั้งเป้าหมาย
ข้อพึงระวังในการตั้งเป้าหมาย (Potential Pitfalls)
1) กรณีตั้งเป้าหมายสูงเกินไปหรือเป้าหมายไม่เหมาะสม แม้การตั้งเป้าหมายสูงจะเป็นการท้าทายและถูกต้องตามหลักการตั้งเป้าหมายที่ดี ตากรณีที่ตั้งหมายสูงเกินไปจะก่อให้เกิดผลเสียหลายประการ อาทิ เกิดความเสี่ยงสูงในการทำงาน เกิดการแข่งขันอย่างรุนแรงระหว่างผู้ปฏิบัติงาน สมาชิกในองค์กรอยู่ในภาวะกดดันและมีความเครียดสูงเกินไป นอกจากนี้ อาจส่งผลให้ผู้ปฏิบัติงานทำทุกวิถีทางเพื่อบรรลุเป้าหมายโดยไม่เลือกวิธีการ ซึ่งอาจนำไปสู่การโกงและการทุจริตได้
2) กรณีไม่บรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้ อาจทำให้ความเชื่อมั่นในตนเองลดน้อยลง ตลอดจนนำไปสู่ความไม่มั่นใจในการทำงานและท้อแท้หมดกำลังใจ ผู้บริหารจึงต้องคอยดูแลสมาชิกในองค์กร ให้กำลังใจ และสร้างความเชื่อมั่นให้กลับคืนมาอีกครั้งสำหรับการทำงานในอนาคต
3) กรณีที่ตั้งเป้าหมายไม่ครบทุกด้านหรือเน้นไม่ครบทุกช่วงเวลา เมื่อมีการตั้งเป้าหมายในด้านใด ผู้ปฏิบัติงานย่อมมุ่งเน้นดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในด้านดังกล่าวก่อน โดยอาจละเลยเรื่องอื่นๆ ดังนั้น ผู้บริหารจำเป็นต้องคิดและตั้งเป้าหมายให้ครบทุกด้าน และชี้แจงให้ผู้ปฏิบัติงานมองภาพรวมขององค์กรเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
3) แผนงาน (Plans) แผน หมายถึง วิธีการซึ่งกำหนดขึ้นเพื่อให้การดำเนินงานขององค์กรบรรลุเป้าหมาย ผู้บริหารจำเป็นต้องจัดทำแผนให้สอดคล้องกับเป้าหมาย และสนับสนุนให้องค์กรสามารถบรรลุเป้าหมายตามพันธกิจที่กำหนดขึ้น โดยสามารถแบ่งประเภทของแผนเป็น 3 ประเภท (สาคร สุขศรีวงศ์, 2559, หน้า 108-111) คือ แบ่งตามระยะเวลา แบ่งตามระดับการบริหารงาน และแบ่งตามปริมาณการใช้งาน ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
3.1) แบ่งตามระยะเวลา แผนงานสามารถแบ่งตามระยะเวลาได้เป็น 3 ระยะ คือ แผนระยะยาว (Long Term Plan) หมายถึง แผนซึ่งจัดทำให้สอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาว และกำหนดวิธีการทำงานเป็นเวลายาวเกิน 5 ปี ขึ้นไป แผนระยะกลาง (Medium Team Plan) หมายถึงแผนซึ่งจัดทำให้สอดคล้องกับเป้าหมายระยะกลาง และกำหนดวิธีการทำงานเป็นเวลา 1-5 ปี และแผนระยะสั้น (Short Term Plan) หมายถึง แผนซึ่งจัดทำให้สอดคล้องกับเป้าหมายระยะสั้น และกำหนดวิธีการทำงานเป็นเวลาน้อยกว่า 1 ปี อย่างไรก็ตาม องค์กรแต่ละแห่งอาจมีขอบเขตระยะเวลาที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับขนาด ประเภท และลักษณะการดำเนินงานขององค์กรนั้น
3.2) แบ่งตามการบริหารงาน มี 3 ระดับ คือ 1) แผนเชิงกลยุทธ์ (Strategic Plan) หมายถึง แผนที่กำหนดขึ้นให้สอดคล้องกับเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ โดยปกติจัดทำโดยผู้บริหารระดับสูง เพื่อระบุถึงวิธีที่จะทำให้องค์กรโดยรวมบรรลุเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ที่กำหนด 2)แผนเชิงยุทธวิธี (Tactical Plan) หมายถึง แผนที่กำหนดขึ้นให้สอดคล้องกับเป้าหมายเชิงยุทธวิธี โดยปกติจัดทำโดยผู้บริหารระดับกลาง เพื่อระบุถึงวิธีที่จะทำให้องค์กรโดยรวมบรรลุเป้าหมายเชิงยุทธวิธีของฝ่ายนั้นๆ และ 3)แผนเชิงปฏิบัติการ (Operational Plan) หมายถึง แผนที่กำหนดขึ้นให้สอดคล้องกับเป้าหมายเชิงปฏิบัติการ ยุทธวิธี โดยปกติจัดทำโดยผู้บริหารระดับต้น เพื่อระบุถึงวิธีที่จะทำให้พนักงานย่อยแต่ละหน่วยงาน บรรลุเป้าหมายเชิงปฏิบัติการของหน่วยงานย่อยนั้นๆ
3.3) แบ่งตามปริมาณการใช้งาน แบ่งออกได้เป็น 3 ลักษณะ คือ 1)แผนที่ใช้ครั้งเดียว หมายถึง แผนที่จัดทำขึ้นเพื่อรองรับเป้าหมายสำหรับงานใดงานหนึ่งเพียงงานเดียว โดยทั่วไปใช้สำหรับงานใน 2 ลักษณะ คือ โครงงาน (Project) และโครงการ (Program) 2)แผนที่ใช้ประจำ หมายถึง แผนที่จัดทำขึ้นเพื่อรองรับการทำงานประจำหรืองานตามปกติขององค์กรเพื่อให้งานนั้นๆ บรรลุเป้าหมายที่กำหนด แผนประเภทนี้มักจะประกาศใช้เพื่อให้สมาชิกรับทราบอย่างทั่วถึงทั้งองค์กรโดยไม่กำหนดระยะเวลาสิ้นสุดของแผน เนื่องจากแผนประเภทนี้จะใช้งานอย่างต่อเนื่องไปตลอดจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไข แผนที่ใช้ประจำอยู่โดยทั่วไป ได้แก่ กฎ นโยบาย และระเบียบวิธีปฏิบัติ และ 3)แผนฉุกเฉิน เป็นแผนที่จัดทำขึ้นโดยไม่มีกำหนดระยะเวลาการใช้งานที่ชัดเจน แต่จะถูกนำมาใช้เมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินตามที่กำหนด หรือแผนงานที่ใช้อยู่ปกติล้มเหลวหรือไม่สามารถนำมาใช้งานให้บรรลุเป้าหมายขององค์กรได้
นอกจากนี้สิ่งที่ผู้บริหารควรคำนึงถึง คือ ลักษณะของแผนที่ดี ควรปฏิบัติได้จริงและมุ่งความสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนด ชัดเจน ประหยัดและมีประสิทธิภาพ ยืดหยุ่นและสามารถปรับเปลี่ยนได้ และเป็นที่ยอมรับ หากมีการวางแผนที่ดีแล้วย่อมจะสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และช่วยลดความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งถือได้ว่าการวางแผนที่ดีย่อมมีประโยชน์ ดังตารางที่ 2
ตารางที่ 2 ประโยชน์ของการวางแผน
ช่วยเพิ่มหรือทำให้มีขึ้น | ช่วยลด |
- มีเป้าหมายและทิศทางในการทำงานร่วมกัน - สมาชิกขององค์กรเข้าใจหน้าที่ความรับผิดชอบของตน และสามารถประสานงานกับผู้อื่น - ประหยัดเวลาและทรัพยากรที่ใช้ในการทำงานอันเนื่องมาจากการทำงานในทิศทางเดียวกัน ประสานและสอดคล้องไม่ขัดแย้งกัน - เพิ่มแรงจูงใจในการทำงานเมื่อได้รับผลตามเป้าหมายและแผนงานที่วางไว้ - มีแนวทางในการประเมินผลและการควบคุมการทำงาน - ฝึกให้สมาชิกทำหน้าที่ในการจัดการได้ถูกวิธี |
- ลดความสับสนอันเนื่องมาจากการขาดเป้าหมายและแผนงาน - ลดความขัดแย้งและความซ้ำซ้อนในการทำงานจากการที่แต่ละฝ่ายทำงานโดยไม่ประสานกัน - ลดความสูญเปล่าและความเสียหายซึ่งอาจเกิดขึ้น - ลดความไม่พอใจและความท้อแท้อันเกิดจากการทำงานโดยไม่มีเป้าหมาย - ลดความผิดพลาดอันเกิดจากการไม่มีการวางแผน |
2. การจัดองค์การ (Organizing)
การจัดองค์การ (Organizing) เป็นการกำหนดภาระหน้าที่และความรับผิดชอบสำหรับสมาชิกในองค์การ อาจกล่าวได้ว่าการจัดองค์การเป็นจุดเริ่มต้นของการดำเนินกิจกรรมในองค์การให้เป็นไปตามแผนที่กำหนด ซึ่งโดยทั่วไปจะมุ่งเน้นให้เห็นระบบการทำงานขององค์การ โดยการประสานความร่วมมือของแต่ละหน่วยงานในองค์การ
การจัดองค์การ เป็นการจัดระบบความสัมพันธ์ของคนและงาน เพื่อการดำเนินงานในองค์การให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยออกแบบในรูปแผนภูมิองค์การแสดงตำแหน่ง อำนาจหน้าที่ และความรับผิดชอบที่แน่นอนและชัดเจน (อนิวัช แก้วจำนงค์, 2557, หน้า 93) โครงสร้างขององค์การที่ออกแบบสามารถบอกได้ถึงกิจกรรมแต่ละหน่วยงานภายในองค์การ
สาคร สุขศรีวงศ์ (2559, หน้า 126) ให้ความเห็นว่า ผู้บริหารที่ไม่ทำหน้าที่ในการจัดองค์กรให้ดีหรือทำไม่ครบถ้วน จะประสบปัญหาทางการบริหารจัดการมากมาย อาทิ พนักงานไม่ทราบขอบเขตภาระหน้าที่และความรับผิดชอบของตนอย่างชัดเจน จึงอาจทำงานซ้ำซ้อนกันจนเกิดความขัดแย้งภายในองค์กร งานบางประเภทอาจไม่มีผู้จัดทำให้เรียบร้อย เนื่องจากพนักงานเข้าใจว่าไม่ใช่หน้าที่ความรับผิดชอบของตนและอาจเกี่ยงงานกัน องค์กรที่ไม่กระจายอำนาจหน้าที่ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างเหมาะสม อาจเกิดความล่าช้าในการตัดสินใจแก้ปัญหา เกิดภาวะคอขวดจากการตัดสินใจแก้ปัญหาของผู้บริหารบางคน ซึ่งย่อมทำให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงทีจนเกิดความสูญเสียในด้านต่างๆ เช่น เสียลูกค้า และเสียโอกาสทางธุรกิจ เป็นต้น และในทางตรงกันข้าม หากองค์กรใดมีการจัดองค์กรที่ดี ก็จะส่งผลให้เกิดประโยชน์และความสำเร็จกับองค์กรอย่างน้อย 4 ประการ คือ การพัฒนาความรู้ความสามารถของสมาชิกในองค์กร ความก้าวหน้าทางหน้าที่การงานของสมาชิกในองค์กร ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในองค์กร และความสำเร็จขององค์กร
1) กระบวนการจัดองค์การ (Organizing Process) เป็นการจัดแผนกงาน การแบ่งอำนาจหน้าที่และการประสานงานระหว่างบุคคลและหน่วยงานต่างๆ ในองค์กร เพื่อให้องค์กรสามารถดำเนินงานได้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ การจัดองค์กร จึงประกอบด้วยขั้นตอนหลัก 4 ประการ (สาคร สุขศรีวงศ์, 2559, หน้า 127) ได้แก่ การออกแบบงาน การออกแบบโครงสร้างองค์กร การจัดแบ่งอำนาจหน้าที่ และการประสานงาน
2)การออกแบบงาน (Job Design) เป็นการกำหนดภาระหน้าที่และความรับผิดชอบสำหรับสมาชิกขององค์กรในแต่ละตำแหน่ง การที่ผู้บริหารจะสามารถกำหนดภาระหน้าที่และความรับผิดชอบสำหรับสมาชิกองค์กรในแต่ละตำแหน่งงานได้ ผู้บริหารจำเป็นต้องนำรายละเอียดต่างๆ ที่กำหนดไว้จากการวางแผน มาเป็นกรอบในการกำหนดภาระหน้าที่และความรับผิดชอบของแต่ละตำแหน่งงาน โดยจำเป็นที่จะต้องแยกแยะว่าในแผนการดำเนินงานนั้นๆ มีเนื้องาน (Task) อะไรบ้าง แล้วพิจารณาประเภทและความหลากหลายของเนื้องาน แล้วพิจารณาบุคคลากรที่เหมาะสมมารับผิดชอบ ซึ่งโดยทั่วไปผู้บริหารมักจะกำหนดเนื้องานตามความชำนาญเฉพาะด้าน อย่างไรก็ตามยังมีทางเลือกอื่นในการออกแบบงานด้วย
2.1) การกำหนดเนื้องานตามความชำนาญเฉพาะด้าน (Job Specialization) หมายถึง การกำหนดให้ผู้ปฏิบัติงานแต่ละตำแหน่งมีความรับผิดชอบในเนื้องานอย่างจำกัดเพียงไม่กี่ประเภท เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานเกิดความชำนาญเฉพาะด้าน วิธีนี้สอดคล้องกับหลักคิดของ อดัม สมิธ (Adam Smith) นักเศรษฐศาสตร์ ชื่อดังของโลก ซึ่งพบว่าประสิทธิภาพในการทำงานจะเพิ่มขึ้นโดยการแบ่งงานกันทำ และสอดคล้องกับแนวคิดของ เฟรดเดอริก วินสโลว์ เทย์เลอร์ (Frederick Winslow Taylor) บิดาแห่งการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าการแบ่งงานกันทำจะทำให้ผลผลิตในการทำงานสูงขึ้น (สาคร สุขศรีวงศ์, 2559, หน้า 128) อย่างไรก็ตาม การกำหนดเนื้องานตามความชำนาญเฉพาะด้านก็มีทั้งข้อดีและข้อจำกัด ดังแสดงในตารางที่ 3 ดังนี้
ตารางที่ 3 ข้อดีและข้อจำกัดของการกำหนดเนื้องานตามความชำนาญเฉพาะด้าน
ข้อดี | ข้อเสีย |
- เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานขององค์กร - ประหยัดและลดอัตราการสูญเสีย - หาบุคคลทำงานทดแทนในแต่ละตำแหน่งได้ง่าย - เวลาและค่าใช้จ่ายในการฝึกพนักงานใหม่ต่ำ - หน่วยงานมีโอกาสได้รับค่าตอบแทนสูงขึ้น - พนักงานมีโอกาสได้รับการฝึกฝนให้ทำงานด้านอื่นๆ |
- เหมาะกับตำแหน่งงานระดับปฏิบัติการ - ใช้กับงานที่ไม่ต้องใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจที่ยุ่งยากซับซ้อน - ไม่เป็นที่นิยมสำหรับผู้ที่ต้องการงานท้าทาย - ไม่เอื้อต่อการพัฒนาทักษะด้านความคิด - พนักงานเกิดความเครียด เบื่อหน่ายในการทำงานที่ซ้ำๆ |
2.2) ทางเลือกอื่นในการออกแบบงาน (Alternatives to Job Design) เนื่องจากพบว่ามีข้อจำกัดหลายประการในการกำหนดเนื้องานตามความชำนาญเฉพาะด้าน จึงมีความพยายามคิดค้นวิธีทางเลือกอื่นซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้ ได้แก่ 1) การหมุนเวียนงาน (Job Rotation) เป็นการกำหนดให้พนักงานสลับสับเปลี่ยนตำแหน่งหน้าที่งานระหว่างพนักงาน เพื่อให้พนักงานได้มีโอกาสปฏิบัติงานในหน้าที่ความรับผิดชอบที่แตกต่างจากเดิม ซึ่งในการหมุนเวียนงานให้มีประสิทธิภาพ ผู้บริหารจำเป็นต้องวางแผนล่วงหน้า กำหนดวิธีการและตำแหน่งงานที่ต้องการจะหมุนเวียน รวมทั้งกำหนดเวลาที่เหมาะสมในการหมุนเวียนแต่ละครั้ง 2) การขยายขอบเขตงาน (Job Enlargement) เป็นการเพิ่มปริมาณและความหลากหลายของเนื้องานในตำแหน่งหน้าที่หนึ่งๆ โดยปริมาณและความหลากหลายที่เพิ่มขึ้นนั้นผู้ปฏิบัติงานสามารถใช้ความรู้ความสามารถในลักษณะเดียวกับการทำหน้าที่เดิม
3) การเพิ่มคุณค่าในงาน (Job Enrichment) หมายถึง การยกระดับขอบเขตของเนื้องานจนผู้ปฏิบัติรับรู้ว่ามีอำนาจหน้าที่ ความรับผิดชอบ การยอมรับ มีโอกาสประสบความสำเร็จ และมีความก้าวหน้าทางหน้าที่การงานสูงขึ้น ซึ่งหลักการที่ใช้เพิ่มคุณค่างาน เรียกว่า การเพิ่มความลึกของงาน (Job Depth) โดยอาจเพิ่มคุณลักษณะด้านความหลากหลายของทักษะ (Skill Variety) เป็นการเพิ่มหน้าที่และความรับผิดชอบ เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานได้ใช้ทักษะด้านอื่นๆ เพิ่มเติม เอกลักษณ์ของงาน (Task Identity) เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานทำหน้าทีเพิ่มเดิมโดยให้รับผิดชอบงานตั้งแต่ต้นจนจบ ความสำคัญของงาน (Task Significance) เป็นการทำให้ผู้ปฏิบัติงานทราบว่าผลงานของตนมีผลกระทบหรือสำคัญต่อผู้อื่นเพียงใด และความมีอิสระในการทำงาน (Task Autonomy) เป็นการอนุญาตให้ผู้ปฏิบัติงานกำหนดรายละเอียดการทำงานได้เอง
4) การกำหนดเวลาทำงาน (Working Time) ซึ่งต้องคำนึงถึงปัจจัยที่ส่งผู้กระทบต่อการกำหนดเวลาทำงานสำหรับตำแหน่งต่างๆ เช่น
(1) เทคโนโลยีการสื่อสาร ซึ่งอาจไม่จำเป็นต้องทำงานในสำนักงานอย่างเดียว แต่สามารถใช้เทคโนโลยีสื่อสารเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน
(2) วิถีการใช้ชีวิต อาจเพิ่มเวลาทำงานเพิ่มขึ้นในวันทำงาน เพื่อให้มีวันหยุดพักผ่อน มากขึ้น
(3) ลักษณะงาน เป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบ เนื่องจากบางลักษณะงานอาจต้องการความต่อเนื่องในการทำงานจึงไม่สามารถหยุดได้ ผู้บริหารอาจจะให้หยุดพักยาวติดต่อกันได้
(4) สภาพแวดล้อมอื่นๆ เช่น การจราจรที่ติดขัดอาจปรับเวลาในการทำงานที่เหมาะสม
(5) กฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายแรงงานกำหนดให้พนักงานของไทย ทำงานไม่เกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน
3. การออกแบบโครงสร้างองค์กร (Organizational Structure Design)
เป็นการจัดกลุ่มตำแหน่งงานต่างๆ เข้าด้วยกันเป็นหมวดหมู่ เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกภายในองค์กรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สะดวก รวดเร็ว และได้รับผลตามเป้าหมายขององค์กร การออกแบบโครงสร้างองค์กรเป็นขั้นตอนที่ 2 ของกระบวนการจัดองค์กรต่อจากการออกแบบงาน ซึ่งปัจจัยประกอบการพิจารณาในการออกแบบโครงสร้างองค์กร ได้แก่ 1) ประสิทธิภาพขององค์กร ที่เอื้อต่อความสะดวก รวดเร็วในการประสานงานระหว่างหน่วยงานต่างๆ ภายในองค์กร การตัดสินใจแก้ปัญหา การตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมภายนอก ประหยัดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน 2) ประสิทธิผล เอื้อต่อการบรรลุเป้าหมาย รองรับกลยุทธ์ขององค์กร โอกาสในการเติบโตขององค์กร 3) ประโยชน์ทางการตลาด ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า 4) ปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวกับพนักงาน เช่น จำนวนพนักงานภายในองค์กร ความสับสนที่เกิดจากการรับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาหลายคน ความชำนาญในการทำงาน การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ความเที่ยงตรงในการวัดผลการปฏิบัติงาน โอกาสที่จะเกิดความขัดแย้งระหว่างบุคลากรและหน่วยงาน
การออกแบบโครงสร้างองค์กรสามารถทำได้หลายรูปแบบขึ้นอยู่กับประเภทขององค์กรนั้นๆ เช่น องค์การทางราชการก็จะมีรูปแบบในการจัดแผนกงานโดยเฉพาะตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง ขณะที่กองทัพ รัฐวิสาหกิจ โรงพยาบาลของรัฐ ฯลฯ ต่างก็มีรูปแบบในการจัดองค์กรของตนเอง เพื่อให้สอดคล้องและสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจตามเหมายที่วางไว้ การออกแบบโครงสร้างทางธุรกิจซึ่งองค์กรนำมาใช้โดยทั่วไปมี 4 ประเภท ดังนี้
1) โครงสร้างตามหน้าที่ธุรกิจ (Business Functional Structure) เป็นการจัดแบ่งความรับผิดชอบตามหน้าที่ทางธุรกิจซึ่งมีหลายประการ เช่น การตลาด การผลิต การบัญชี การเงิน และการบริหารทรัพยากรบุคคล เป็นต้น การจัดโครงสร้างองค์กรแบบนี้สามารถแสดงได้ตามผังองค์กร ซึ่งผู้ดำรงตำแหน่งในแต่ละฝ่ายจะดำรงตำแหน่งตามที่องค์กรกำหนด
2) โครงสร้างตามการตลาด (Market Driven Structure) แบ่งย่อยได้ 3 ลักษณะ คือ การจัดโครงสร้างตามลูกค้า การจัดโครงสร้างตามกลุ่มสินค้า และการจัดโครงสร้างตามภูมิศาสตร์
3) โครงสร้างแบบผสม (Hybrid Structure)
4) โครงสร้างเชิงซ้อน (Matrix Structure) เหมาะสำหรับองค์กรที่มีงานโครงการเกิดขึ้นเป็นการเฉพาะ โดยทีมงานผู้รับผิดชอบในแต่ละโครงการจะประกอบด้วยหัวหน้าโครงการและสมาชิกซึ่งได้รับการจัดสรรต่างๆ ขององค์กร เพื่อมารวมตัวกันเฉพาะกิจสำหรับเฉพาะโครงการนั้นๆ เสร็จสิ้นสมาชิกของทีมงานในโครงการก็จะกลับคืนสู่ฝ่ายต้นสังกัดเดิมของตนเอง
4. การจัดแบ่งอำนาจหน้าที่ (Authority Allocation)
อำนาจหน้าที่ (Authority) หมายถึง สิทธิอันชอบธรรมของผู้บริหารในการสั่งการผู้ใต้บังคับบัญชาให้ปฏิบัติงานเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กร (Robbins S & Coulter, M 2005 อ้างใน สาคร สุขศรีวงศ์, 2559, หน้า 138) การที่ผู้บริหารแต่ละคนจะสามารถใช้อำนาจหน้าที่ของตนกับใครแต่ละคนนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับสายบังคับบัญชา (Chain of Command) ซึ่งจะระบุว่าผู้บริหารคนหนึ่งจะมีผู้ใต้บังคับบัญชาจำนวนเท่าใด และใครบ้างที่ขึ้นตรงกับตนเอง โดยจะเรียงลำดับตั้งแต่ผู้บริหารสูงสุดขององค์กรลงไปจนถึงพนักงานระดับล่างสุดขององค์กร
เมื่อผู้บริหารได้รับทราบอำนาจหน้าที่ของตนเองอย่างชัดเจนแล้ว ผู้บริหารพึงพึงตระหนักว่า การบริหารงานองค์กรให้ประสบความสำเร็จได้ย่อมไม่สามารถทำได้เพียงลำพัง จำเป็นต้องมีการมอบหมายงาน (Delegation) ให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างเหมาะสม ซึ่งการมอบหมายงานที่ถูกต้องผุ้บริหารต้องมอบทั้งภาระหน้าที่ความรับผิดชอบ (Responsibility) และอำนาจหน้าที่ (Authority) ให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาด้วย แต่จะกระจายอำนาจหน้าที่ (Decentralization) ของตนออกไปมากน้อยเพียงใด เป็นเรื่องที่ผู้บริหารจำเป็นต้องพิจารณาให้รอบคอบและเหมาะสมกับสถานการณ์
1) สายการบังคับบัญชา (Chain of Command) หมายถึง สายการสั่งการและรายงานผลการปฏิบัติงานตามลำดับขั้นภายในองค์กร ตั้งแต่ระดับบนสุดจนถึงล่างสุด ซึ่งจะระบุว่าบุคคลใดขึ้นตรงกับบุคคลใด และบุคคลใดมีหน้าที่รายงานผลการปฏิบัติงานต่อบุคคลใด
2) ขอบเขตการบริหาร (Span of Management) หมายถึง จำนวนผู้ใต้บังคับบัญชาที่ขึ้นตรงต่อผู้บริหาร โดยปกติแล้วผู้บริหารจะมีขอบเขตการบริหารได้กว้างหรือมีจำนวนผู้ใต้บังคับบัญชาได้มากก็ต่อเมื่อ
(1) ผู้ใต้บังคับบัญชามีความรู้ความสามารถสูงและสามารถแก้ไขปัญหาได้เอง
(2) ลักษณะงานไม่จำเป็นต้องทำทำให้ผู้บริหารใช้เวลากับผู้ใต้บังคับบัญชามาก หรืองานของผู้ใต้บังคับบัญชามีลักษณะเหมือนกัน จึงทำให้ผู้บริหารสั่งการได้พร้อมกันหลายคน
(3) จำนวนและระดับความรุนแรงของปัญหาที่เกินขึ้นต่ำ หากปัญหาที่เกิดขึ้นมีจำนวนและระดับความรุนแรงต่ำ ผู้บริหารสามารถมีขอบเขตการบริหารได้สูง เนื่องจากไม่จำเป็นต้องใช้เวลาในการดูแลแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นมากเท่ากับกรณีที่มีปัญหาจำนวนมากหรือปัญหาที่เกิดขึ้นมีความรุนแรงสูง
3) การมอบหมายงาน (Delegation) หมายถึง การมอบอำนาจหน้าที่ (Authority) และความรับผิดชอบให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชา หากผู้บริหารมอบหมายงานได้อย่างถูกต้องเหมาะสม จะส่งผลดีต่อองค์กรหลายประการ อาทิ การทำงานเป็นไปด้วยความรวดเร็ว ไม่กระจุกตัวอยู่ที่ผู้บริหาร เนื่องจากมีผู้ใต้บังคับบัญชาช่วยปฏิบัติงานจนสำเร็จ นอกจากนี้การมอบหมายงานยังเป็นการฝึกให้ผู้ใต้บังคับบัญชา มีทักษะและความเชี่ยวชาญในการทำงานสูงขึ้น หากงานที่มอบหมายประสบความสำเร็จย่อมสร้างแรงจูงใจ ตลอดจนขวัญและกำลังใจในหมู่คนทำงานอีกด้วย อย่างไรก็ตาม การมอบหมายงานอย่างมีประสิทธิภาพมักจะเกิดปัญหาและอุปสรรค ไม่ได้รับความสนใจหรือแม้กระทั่งเกิดการต่อต้านจากผู้บริหารบางคนอันเนื่องจากสาเหตุหลายประการ เช่น
(1) ผู้บริหารหวงอำนาจ ต้องการเก็บอำนาจไว้กับตนเอง ในบางกรณีผู้บริหารบางคนจะมอบหมายเพียงหน้าที่ความรับผิดชอบ โดยไม่มอบหมายอำนาจหน้าที่ไปพร้อมกัน จึงไม่สามารถทำให้การทำงานบรรลุวัตถุประสงค์ตามที่ต้องการได้
(2) ผู้บริหารเกรงว่างานจะไม่สำเร็จและอาจถูกตำหนิได้ จึงรวบงานไว้ทำเอง
(3) ผู้บริหารไม่มีเวลาฝึกฝนผู้ใต้บังคับบัญชา
(4) ผู้บริหารอาจรู้สึกสนุกกับงานนั้นๆ และไม่ต้องการมอบหมายงานออกไป
(5) ผู้บริหารบางคนอาจเกรงว่าตนเองจะหมดความสำคัญลงไป หากผู้ใต้บังคับบัญชาสามารถปฏิบัติงานแทนที่ตนเองได้
4) การกระจายอำนาจ (Decentralization) หมายถึง การที่ผู้บริหารระดับสูงขององค์กรกระจายอำนาจหน้าที่ และอำนาจการตัดสินใจ ลงไปตามลำดับขั้นสู่ระดับต่างๆ ขององค์กร ซึ่งองค์กรแต่ละองค์กรอาจมีการรวมอำนาจ หรือกระจายอำนาจแตกต่างกัน ขึ้นกับปัจจัยหลายประการ ดังตารางที่ 4
ตารางที่ 4 ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการกระจายอำนาจ
ปัจจัยสนับสนุนการรวมอำนาจ | ปัจจัยสนับสนุนการกระจายอำนาจ |
- องค์กรมีขนาดเล็กหรือผู้บริหารระดับสูงมีเวลาดูแลและตัดสินใจแก้ไขปัญหา - ผู้บริหารระดับรองลงไปขาดประสบการณ์ความรู้ความสามารถ - ปัญหาที่เกิดขึ้นมีความเสี่ยงสูงหรือส่งผลกระทบรุนแรงต่อองค์กร - สภาพแวดล้อมไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง - ใช้เทคโนโลยีเดิมๆ ในการทำงาน - ผู้ปฏิบัติงานอยู่รวมกัน |
- องค์กรมีขนาดใหญ่หรือผู้บริหารระดับสูงไม่สามารถดูแลหรือตัดสินใจแก้ปัญหาได้เองทั้งหมด - ผู้บริหารระดับรองลงไปเพียบพร้อมด้วยประสบการณ์ ความรู้ ความสามารถ - ปัญหาที่เกิดขึ้น เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นประจำ - สภาพแวดล้อมไม่แน่นอนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว - ใช้เทคโนโลยีที่ยุ่งยาก สลับซับซ้อน - ผู้ปฏิบัติงานอยู่ห่างไกลกัน |
5. การประสานงาน (Coordination)
เป็นขั้นตอนสุดท้ายในการจัดองค์กร เพื่อให้ทราบว่าจะทำอย่างไรจึงจะทำให้บุคคลต่างๆ ภายในองค์กรมีความร่วมที่จะดำเนินงานต่างๆ อย่างสอดคล้องกันเพื่อให้การปฏิบัติงานราบรื่น ซึ่งผู้บริหารจำเป็นต้องวางกรอบของการประสานงานไว้ให้ชัดเจน เพื่อให้การประสานงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งกรอบของการประสานงานที่จำเป็น มี 3 ส่วน ดังนี้
(1) ผู้ประสานงาน (Coordinator) ผู้บริหารควรกำหนดให้มีผู้รับผิดชอบเป็นผู้ประสานงานเพียง 1 คน หรือกำหนดให้แต่ละหน่วยงานมีบุคคลที่ทำหน้าที่เป็นจุดติดต่อ (Contact Point) ระหว่างหน่วยงาน หรือในกรณีที่หน่วยงานต่างๆ จำเป็นต้องติดต่อประสานงาน องค์กรอาจจำเป็นต้องกำหนดให้แต่ละหน่วยงานตั้งตัวแทนเป็นกรรมการประสานงาน (Coordinating Committee) เพื่อจัดการงานให้สำเร็จลุล่วง
(2) บทบาทและความรับผิดชอบ (Roles and Responsibilities) ผู้บริหารควรกำหนดบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบให้กับผู้ทำหน้าที่ประสานงานให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงาน ผู้ตัดสินใจแก้ปัญหา และผู้ประสานงานเข้าใจบทบาทของแต่ละบุคคล โดยส่วนใหญ่ผู้ประสานงานจะทำหน้าที่เป็นเพียงฝ่ายสนับสนุนข้อมูล ไม่ใช่ผู้ปฏิบัติงานหรือผู้ตัดสินใจแก้ปัญหา ดังนั้นหากผู้บริหารประสงค์จะให้ผู้ประสานงานทำหน้าที่อื่นจึงจำเป็นต้องทำความเข้าใจบทบาท หน้าที่ และความรับผิดชอบให้ชัดเจน
(3) ระเบียบที่จำเป็น (Roles and Regulations) การประสานงานแนวดิ่ง (Vertical Coordinating) ภายในองค์กร มักเป็นไปด้วยความเรียบร้อย เนื่องจากผู้บริหารแต่ละลำดับชั้นจะทราบบทบาทและหน้าที่ของตนเองในการรับคำสั่งอย่างชัดเจน แตกต่างจากการประสานงานแนวราบ (Horizontal Coordinating) ซึ่งบุคคลหรือหน่วยงานต่างๆ ต่างไม่มีอำนาจหน้าที่เหนือหน่วยงานอื่น ดังนั้น การจะทำให้หน่วยงานแนวราบเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ผู้บริหารควรกำหนดกฎหรือระเบียบตลอดจนมอบอำนาจหน้าที่ที่จำเป็นให้แก่ผู้ประสานงาน เพื่อให้การประสานงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
6. การชี้นำ (Leading)
การจะทำให้สมาชิกภายในองค์กรทุ่มเททำงานตามภาระหน้าที่ความรับผิดชอบของตนเองอย่างเต็มที่เพื่อให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดและได้รับผลสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ได้นั้น ผู้บริหารจำเป็นต้องตั้งคำถามว่า ตนเองจะเป็นผู้นำที่ดีเพื่อให้เกิดความทุ่มเทได้อย่างไร ตนเองควรพัฒนาคุณลักษณะของผู้นำที่ดีด้านใดบ้าง ควรปรับปรุงและพัฒนาพฤติกรรมด้านใดในฐานะผู้นำองค์กรภายใต้สถานการณ์ต่างๆ เพื่อให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเชื่อถือ เชื่อมั่น และยินดีปฏิบัติงานอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ผู้บริหารต้องตั้งคำถามต่อว่าจะทำอย่างไรจึงจะสามารถจูงใจสมาชิกขององค์กร และจะตอบสนองความต้องการของสมาชิกในองค์กรได้อย่างไร ซึ่งการพิจารณาตามประเด็นคำถามที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ จัดว่าเป็นการทำหน้าที่ทางการจัดการ คือ การชี้นำ (Leading)
1) กระบวนการชี้นำ (Leading Process) การชี้นำ หมายถึง การใช้ภาวะผู้นำของผู้บริหารร่วมกับการจูงใจให้สมาชิกในองค์กรทำงานของตนเองอย่างเติมที่ เพื่อให้องค์กรได้รับผลสำเร็จตามเป้าหมาย การชี้นำจึงประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก 2 ส่วน คือ
(1) ภาวะผู้นำ (Leadership) ซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยที่เกี่ยวข้องหลายประการ อาทิ ผู้นำคนดังกล่าวมีอำนาจ (Power) อะไร และเลือกใช้อำนาจใดในการทำงาน ผู้นำมีคุณลักษณะของผู้นำที่ดีครบสมบูรณ์หรือไม่ แสดงพฤติกรรมได้เหมาะสมเพียงใด เลือกใช้วิธีแต่ละสถานการณ์ได้ถูกต้องหรือไม่ มีคุณลักษณะใดที่ยังบกพร่องอยู่และต้องพัฒนาให้เกิดขึ้นบ้าง
(2) การจูงใจ (Motivation) เป็นการชักจูงบุคคลอื่นแสดงพฤติกรรมที่พึงประสงค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่เพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์กรที่วางไว้ โดยสามารถทำได้หลายวิธี อาทิ การชักจูงโดยการตอบสนองความต้องการของบุคคลนั้นๆ การสร้างความเป็นธรรมและความเท่าเทียมกันให้เกิดขึ้นในองค์กร การทำให้สมาชิกขององค์กรเกิดเป้าหมายหรือความหวังแล้วผลักดันให้บุคคลนั้นๆ ใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ในการบรรลุเป้าหมายหรือความหวังที่ตั้งไว้
2) อำนาจ (Power) การนำพาองค์กรไปสู่ทิศทางที่ต้องการ และให้ได้รับผลสำเร็จสูงสุดนั้น ผู้บริหารจำเป็นต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับอำนาจประเภทต่างๆ การเลือกใช้อำนาจแต่ละประเภท ตลอดจนผลของการเลือกใช้อำนาจต่อสมาชิกขององค์กร ซึ่งผู้บริหารที่ดีควรเลือกใช้อำนาจแต่ละประเภทให้ถูกต้องและเหมาะสมกับสถานการณ์ เนื่องจากอำนาจแต่ละประเภทจะทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชามีพฤติกรรมและการแสดงออกต่ออำนาจแต่ละประเภทที่ใช้แตกต่างกัน โดยอำนาจประเภทต่างๆ สามารถแบ่งได้ตามแหล่งที่มา ได้แก่
(1) อำนาจโดยธรรม (Legitimate Power) เป็นอำนาจซึ่งผู้บริหารได้รับมาพร้อมกับตำแหน่งและหน้าที่ขององค์กร โดยปกติมักเป็นอำนาจอย่างเป็นทางการ
(2) อำนาจในการให้รางวัล (Reward Power) เป็นอำนาจซึ่งผู้บริหารมอบสิ่งที่มีคุณค่าให้กับบุคคลในองค์กร ซึ่งโดยทั่วไปมักเป็นการเพิ่มเงินเดือน ให้เงินโบนัส หรือการเลื่อนตำแหน่ง เป็นต้น
(3) อำนาจในการให้โทษ (Coercive Power) เช่น การว่ากล่าวตักเตือน การพักงาน การไล่ออก การย้ายออกจากตำแหน่งหน้าที่ที่พึงประสงค์ การลดหรืองดเงินโบนัส เป็นต้น
(4) อำนาจการชื่นชม (Referent Power) เป็นอำนาจซึ่งบุคคลได้รับจากการเป็นที่ชื่นชม หรือเป็นที่รัก
(5) อำนาจจากความเชี่ยวชาญ (Expert Power) ซึ่งเป็นที่ยอมรับของบุคคลทั่วไปจากความรู้ความสามารถเฉพาะด้าน
(6) อำนาจจากข้อมูลข่าวสาร (Information Power) ทั้งอำนาจจากการเข้าถึงข้อมูล การควบคุมการแพร่กระจายข้อมูลข่าวสารที่เป็นที่สนใจของบุคคลอื่น ก็ย่อมจะเป็นผู้มีอำนาจหรืออิทธิพลเหนือบุคคลอื่นๆ
ความสัมพันธ์ระหว่างการใช้อำนาจประเภทต่างๆ และผลลัพธ์เชิงพฤติกรรมของผู้ใต้บังคับบัญชาแสดงดังตารางที่ 5
ตารางที่ 5 การใช้อำนาจประเภทต่างๆ และผลลัพธ์เชิงพฤติกรรมของผู้ใต้บังคับบัญชา
ประเภทของอำนาจ |
การยินยอมพร้อมใจ (Commitment) |
การยินยอม (Comply) |
การต่อต้าน (Resistant) |
อำนาจโดยธรรม | เป็นไปได้ | เป็นไปได้มาก | เป็นไปได้ |
อำนาจในการให้รางวัล | เป็นไปได้ | เป็นไปได้มาก | เป็นไปได้ |
อำนาจในการให้โทษ | ไม่น่าเป็นไปได้ | เป็นไปได้ | เป็นไปได้มาก |
อำนาจจากการชื่นชม | เป็นไปได้มาก | เป็นไปได้ | เป็นไปได้ |
อำนาจจากความเชี่ยวชาญ | เป็นไปได้มาก | เป็นไปได้ | เป็นไปได้ |
อำนาจจากข้อมูลข่าวสาร | เป็นไปได้ | เป็นไปได้ | เป็นไปได้ |
7. การควบคุม (Controlling)
การควบคุม เป็นหน้าที่ทางการจัดการประการสุดท้ายของผู้บริหารในกระบวนการจัดการ กล่าวคือ เมื่อผู้บริหารได้วางแผนการดำเนินงานขององค์กร (Planning) จัดองค์กรให้อยู่ในสภาพพร้อมสำหรับการทำงาน (Organizing) และได้ชี้นำองค์กร (Leading) ซึ่งประกอบด้วยการใช้ภาวะผู้นำ (Leadership) และการจูงใจ (Motivation) ให้สมาชิกในองค์กรปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่แล้ว การกำกับดูแล และควบคุมการทำงานในส่วนต่างๆ ขององค์กรก็ถือว่าเป็นการทำหน้าที่ทางการบริหารจัดการขั้นสุดท้าย ซึ่งหากองค์กรใดมีระบบการควบคุมที่ดี ก็จะส่งผลให้เกิดประโยชน์กับองค์กรในหลายลักษณะ อาทิ สามารถติดตามความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นในการทำงานและสามารถแก้ไขได้ทันเวลา ช่วยให้องค์กรสามารถปรับตัวรับกับความไม่แน่นอน หรือปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น ทำให้เกิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ สามารถกระจายภาระงานและอำนาจหน้าที่ไปสู่ผู้ใต้บังคับบัญชาได้ สามารถจำกัดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน เป็นต้น
1) กระบวนการควบคุม(Controlling Process) องค์กรที่มีระบบการควบคุมที่มีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องมีระบบการควบคุมที่ประกอบไปด้วยขั้นตอนต่างๆ ดังนี้
(1) การกำหนดขอบเขตและสิ่งที่ต้องการควบคุม โดยปกติองค์กรมักให้ความสำคัญกับงานที่เป็นความสำเร็จขององค์กรเป็นลำดับแรก เช่น การควบคุมคุณภาพสินค้า กำหนดความถี่ในการควบคุม กำหนดบุคคลที่รับผิดชอบ ความเหมาะสมในการใช้ระบบการควบคุม
(2) การกำหนดมาตรฐาน/เป้าหมาย มาตรฐานการดำเนินงานสามารถกำหนดได้หลายวิธี ผู้บริหารอาจกำหนดมาตรฐานในการปฏิบัติงานจากดุลยพินิจของผู้บริหารเองก็ได้หากเป็นผู้มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ตรง
(3) การวัดผลการปฏิบัติงาน โดยจะต้องกำหนดให้ชัดเจนและเป็นธรรม ในบางกรณีอาจใช้อุปกรณ์เฉพาะด้านเพื่อใช้ในการวัดผล และต้องนำไปปรับค่าเทียบวัด (Calibrate) เพื่อให้สามารถวัดผลได้ความเที่ยงตรง
(4) การเปรียบเทียบผลกับมาตรฐาน/เป้าหมาย ขั้นตอนนี้เป็นการนำผลที่ได้มาเปรียบเทียบกับเป้าหมายหรือมาตรฐานที่กำหนดไว้ล่วงหน้า โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท คือ การเปรียบเทียบผลการดำเนินงานในอดีต การเปรียบเทียบกับคู่แข่งหรือมาตรฐานของอุตสาหกรรม และการเปรียบเทียบกับเป้าหมายหรือมาตรฐานที่กำหนดโดยฝ่ายบริหาร เป็นต้น โดยผู้บริหารจำเป็นต้องใช้วิจารณญาณและการพินิจพิเคราะห์ประกอบการเปรียบเทียบด้วย กล่าวคือไม่ว่าผลการเปรียบเทียบจะเป็นไปตามมาตรฐานหรือไม่ก็ตาม ผู้บริหารควรวิเคราะห์ความเบี่ยงเบนที่อาจเกิดขึ้น ตลอดจนหาสาเหตุที่ทำให้เกิดการเบี่ยงเบนดังกล่าว เพื่อให้มองเห็นผลที่แท้จริงและเห็นวิธีการแก้ไขในกรณีที่ได้รับผลไม่เป็นไปตามประสงค์
(5) การปรับปรุงแก้ไข ในกรณีที่ผลที่เกิดขึ้นไม่เป็นไปตามที่กำหนด ควรมีการค้นหาสาเหตุที่แท้จริงและแก้ไขที่ต้นเหตุนั้นๆ อยู่เสมอ ซึ่งอาจต้องปรับปรุงกระบวนการทำงาน ปรับปรุงปัจจัยการผลิต ทดสอบความเที่ยงตรงของวิธีการวัดผล ในกรณีที่จำเป็นและมีเหตุผลอันสมควร อาจต้องปรับเปลี่ยนมาตรฐานหรือเป้าหมายให้สอดคล้องกับระดับความสามารถที่แท้จริงในการปฏิบัติงานนั้นๆ
2) ระดับการควบคุม (Levels of Controlling) เมื่อองค์กรโดยทั่วไปแบ่งระดับของผู้บริหารและระดับของแผนงานออกเป็น 3 ระดับ ดังนั้นการควบคุมก็สามารถแบ่งออกได้ 3 ระดับเช่นกัน ได้แก่ 1) การควบคุมระดับกลยุทธ์ (Strategic Control) ซึ่งจะครอบคลุมประเด็นต่างๆ ในภาพรวมขององค์กร 2) การควบคุมระดับยุทธวิธี (Tactical Control) เป็นการควบคุมแผนเชิงยุทธิวิธีขององค์กร ซึ่งเน้นที่ฝ่ายงานหลักๆ ขององค์กร 3) การควบคุมระดับปฏิบัติการ (Operational Control) เป็นการควบคุมแผนปฏิบัติการของแต่ละหน่วยงานในองค์กร
3) ประเภทการควบคุม (Types of Controlling) การควบคุมสามารถจัดแบ่งได้อีกลักษณะหนึ่งคือ แบ่งตามกระบวนการทำงาน หรือกระบวนการผลิตสินค้า/บริการขององค์กร โดยองค์การสามารถจัดให้มีการควบคุมแต่ละขั้นตอน ได้แก่ 1) การควบคุมก่อนปฏิบัติงาน ซึ่งโดยส่วนใหญ่เป็นการควบคุมปัจจัยการผลิต (Input) ในการทำงาน 2) การควบคุมขณะปฏิบัติงาน เป็นการควบคุมว่าการทำงานเป็นไปตามมาตรฐานหรือแผนงานที่กำหนดไว้หรือไม่ โดยอาจกำหนดจุดตรวจเป็นระยะๆ 3) การควบคุมหลังปฏิบัติงานหรือการควบคุมผลผลิต เพื่อพิจารณาว่าผลผลิตเป็นไปตามมาตรฐานหรือเป้าหมายหรือไม่ โดยการสั่งการให้ผู้ใต้บังคับบัญชารายงานผลการปฏิบัติงาน การสุ่มตรวจผลผลิต การให้ลูกค้าประเมินคุณภาพและความพึงพอใจ นอกจากนี้ยังจำเป็นต้องจัดทำรายงานผลเพื่อให้ข้อมูลย้อนกลับแก่ผู้ปฏิบัติงานให้ทราบข้อบกพร่องและพิจารณาแก้ไขต่อไป
4) คุณลักษณะของระบบการควบคุมที่ดี (Characteristics of an Effective Controlling System) ระบบการควบคุมที่ดีนอกจากจะต้องสามารถตอบสนองต่อวัตถุประสงค์การใช้งานแล้วยังควรมีคุณลักษณะต่างๆ อาทิ มุ่งเน้นอนาคต วัดผลหลายด้าน คุ้มค่า เที่ยงตรง ใช้ได้จริง ทันเวลา ติดตามได้ เป็นที่ยอมรับ ยืดหยุ่น และเชื่อมโยงกับแผนงาน
5) ระบบการควบคุมหลักขององค์กร (Major Organization Control Systems) การควบคุมที่ใช้อยู่จริงโดยทั่วไป มักเป็นการควบคุมผ่านระบบต่างๆ ขององค์กร แต่ละองค์กรมีความจำเป็นต่อการนำระบบการควบคุมมาใช้แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับประเภทและลักษณะขององค์กร ตลอดจนวัตถุประสงค์ที่ผู้บริหารต้องการจะควบคุม ซึ่งระบบหลักที่มีใช้อยู่ในองค์กรธุรกิจ มีดังนี้
(1) การควบคุมโดยอัตราส่วนทางการเงิน (Financial Ratios Control) เป็นการควบคุมโดยการนำข้อมูลงบการเงิน อาทิ งบดุล และงบกำไร ขาดทุน มาวิเคราะห์และเปรียบเทียบกับเป้าหมายหรือมาตรฐานที่พึงประสงค์ ซึ่งการควบคุมโดยอัตราส่วนทางการเงินที่นิยมใช้อยู่โดยทั่วไปครอบคลุมการชี้วัดสถานะขององค์กร 4 ด้าน ได้แก่ อัตราส่วนสภาพคล่อง อัตราส่วนสภาพเสี่ยง อัตราส่วนความสามารถในการทำกำไร และอัตราส่วนความสามารถในการใช้ทรัพย์สิน
(2) การควบคุมงบประมาณ (Budgetary Control) งบประมาณเป็นเครื่องมือชนิดหนึ่งที่ผู้บริหารนิยมใช้ในการควบคุม โดยทั่วไปความหมายของงบประมาณตามความเข้าใจเบื้องต้น คือ กรอบการใช้เงินในกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตามความมุ่งหวังขององค์กร ผู้บริหารจำเป็นต้องจัดทำงบประมาณเพื่อเสนอขออนุมัติสำหรับในแต่ละช่วงเวลาที่กำหนด อาทิ ทุก 3 เดือน ทุก 6 เดือน ทุก 1 ปี หรืองบประมาณระยะยาว 3-5 ปี เป็นต้น ทั้งนี้งบประมาณที่ใช้อยู่โดยทั่วไปแบ่งออกได้ 2 ลักษณะ ได้แก่ งบประมาณดำเนินงาน (Operating Budget) ซึ่งเป็นงบประมาณที่ใช้แสดงรายได้และรายจ่ายขององค์กรในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ไม่เกิน 1 ปี และงบประมาณลงทุน (Capital Budget) เป็นงบประมาณที่ใช้แสดงการใช้เงินขององค์กรเพื่อการลงทุนระยะยาว อาทิ การซื้อที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ เป็นต้น ซึ่งงบประมาณลงทุนแบ่งเป็น 5 ลักษณะ ได้แก่ ศูนย์รายได้ ศูนย์ค่าใช้จ่าย ศูนย์ต้นทุนมาตรฐาน ศูนย์กำไร ศูนย์ลงทุน
(3) การควบคุมคุณภาพ (Quality Control) ซึ่งองค์กรธุรกิจมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการพัฒนา ปรับปรุงและรักษาคุณภาพของสินค้าและบริการด้วยวิธีการต่างๆ เพื่อประกันว่ากระบวนการทำงานมีคุณภาพที่จะนำไปสู่ผลผลิตที่มีคุณภาพตามที่ประสงค์ ซึ่งคุณภาพที่ต้องการควบคุมมีหลายมิติ ดังตารางที่ 6
ตารางที่ 6 มิติต่างๆ ของคุณภาพ
มิติต่างๆ | รายละเอียด |
1. สมรรถนะ (Performance) | คุณลักษณะเบื้องต้นของสินค้า เช่น รถยนต์ ขนาด 1,600, 2,800 CC |
2. คุณลักษณะพิเศษ (Features) | คุณลักษณะเพิ่มเติม เช่น ระบบเบรก ABS ของรถยนต์ |
3. ความน่าเชื่อถือ (Reliability) | โอกาสที่สินค้าจะชำรุดหรือใช้งานไม่ได้ |
4.ความตรงต่อมาตรฐาน (Conformance) | คุณภาพตรงตามที่ระบุไว้หรือไม่ |
5. ความคงทน (Durability) | ระยะเวลาในการใช้งานทนเพียงใดก่อนที่จะเสีย |
6. ความสามารถในการให้บริการ (Serviceability) |
การให้บริการสามารถสร้างความประทับใจ และความพอใจได้ มากน้อยเพียงใด |
7. สุนทรียภาพ (Aesthetics) | ความรู้สึกจากการได้เห็น ได้สัมผัส หรือได้ยิน |
8. คุณภาพที่รับรู้ (Perceived Quality) | คุณภาพที่รับรู้อาจแตกต่างจากคุณภาพจริง แต่คุณภาพที่รับรู้จะเป็นส่วนสำคัญในการตัดสินใจซื้อหรือเลือกใช้ |
(4) การควบคุมสินค้าคงเหลือ (Inventory Control) เนื่องจากการบริหารสินค้าคงเหลือที่ไม่มีประสิทธิภาพ จะนำมาซึ่งต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆ แก่องค์กรหลายๆ ด้าน เพราะหากซื้อสินค้าในปริมาณที่สูงเกินไป นอกจากจะทำให้ต้นทุนซื้อสินค้าสูงเกินความจำเป็นแล้ว ยังทำให้เกิดต้นทุนการเก็บรักษาสินค้าเกินความจำเป็น ในทางตรงกันข้ามหากสั่งซื้อน้อยเกินไปอาจทำให้สินค้าขาดมือ (Stock-out Cost) องค์กรย่อมต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการจัดส่งสินค้าอย่างเร่งด่วน หากสินค้ามาล่าช้า อาจทำให้ลูกค้าเสียความนิยมในองค์กรและตัวสินค้าได้ และในขณะที่การส่งซื้อสินค้าบ่อยเกินไปย่อมก่อให้เกิดต้นทุนจากการสั่งสินค้า (Ordering Cost) ได้แก่ ค่าใช้จ่ายการสั่งซื้อที่เกี่ยวข้องตั้งแต่การเสียเวลาขออนุมัติสั่งซื้อ ค่าเอกสารและค่าติดต่อสื่อสาร ค่าใช้จ่ายในการติดตามงานและการตรวจรับสินค้า เป็นต้น
(5) การควบคุมอื่นๆ โดยองค์กรสามารถนำระบบควบคุมในรูปแบบอื่นๆ มาใช้ให้เกิดประโยชน์ในองค์กร เช่น ใช้เทคนิค PERT (Program Evaluation Review Technique) มาใช้ในการการจัดการดำเนินงาน ใช้ระบบข้อมูลคอมพิวเตอร์ซึ่งรวมถึงการใช้ฐานข้อมูล และการวิเคราะห์ทางสถิติมาประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับการดำเนินงาน ใช้ระบบการตรวจสอบภายในซึ่งมีการกำหนดไว้ล่วงหน้าอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้ตรวจสอบตามขั้นตอนและวิธีการ ใช้ระบบประเมินผลการปฏิบัติ เพื่อช่วยให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเห็นข้อบกพร่องของตนเอง และเห็นความจำเป็น ที่ตนเองควรฝึกฝนในด้านต่างๆ และใช้ระเบียบวินัย (Discipline) เป็นการควบคุมพฤติกรรมของบุคคลมิให้ดำเนินการนอกกรอบที่กำหนด มิเช่นนั้นจะได้รับผลในด้านต่างๆ อาทิ อาจโดนตักเตือน ภาคทัณฑ์ ลงโทษ หรือโดนตัดสิทธิประโยชน์ เป็นต้น โดยองค์กรมักจะมีการออกระเบียบข้อบังคับ เพื่อให้สมาชิกขององค์กรปฏิบัติตาม และกำหนดบทลงโทษสำหรับผู้ที่ฝ่าฝืน
ไม่มีความเห็น